กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 543

สรุปบท บทที่ 543.1 บนทางไส้แกะสายเล็ก ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 543.1 บนทางไส้แกะสายเล็ก ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 543.1 บนทางไส้แกะสายเล็ก ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

นักพรตซุนติดตามหวงซือตามหาสมบัติมาตลอดทาง ก็พอจะมีผลเก็บเกี่ยวอยู่บ้าง

คนทั้งสองนับว่ารู้ใจกันไม่น้อย พวกเขาแยกย้ายกันไปหาสมบัติ แต่กลับไม่ทิ้งระยะห่างจากกันมากนัก นักพรตซุนกลัวว่าหากอยู่ห่างจากหวงซือมากเกินไป แล้วเจอกับอันตรายไม่คาดฝัน ด้วยตบะน้อยนิดของตน ต้องไม่อาจหลุดพ้นสถานการณ์อันตรายมาได้แน่ ส่วนหวงซือนั้นก็ไม่อยากให้นักพรตร่างผอมสูงที่เป็นฝ่ายพาตัวมาหาเขาถึงที่ได้รับสมบัติชิ้นใหญ่แล้วเผ่นหนีไป

นักพรตซุนอยู่บนสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งที่มีสองชั้น ตำรามากมายที่เก็บสะสมไว้ล้วนสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว แต่เขากลับพบตำราลับของลัทธิเต๋าเล่มหนึ่งที่ไม่อาจเปิดออกอ่านได้ ทว่ามันกลับยังส่องประกายแสงห้าสี ต่อให้จะถูกห่อหุ้มไว้ในชุดคลุมเต๋าก็ยังมีลำแสงศักดิ์สิทธิ์เอ่อล้นออกมา ตัวอักษรโบราณสีทองเหล่านั้น นักพรตซุนอ่านไม่ออกสักคำเดียว ช่วยไม่ได้ มีเพียงเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลในสำนักอักษรจงที่มีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติได้แตะต้องตำราโบราณยุคบรรพกาลที่หายสาบสูญไปนานแล้ว

หลังจากกลับมาเจอกับหวงซืออีกครั้ง นักพรตซุนก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เจอสมบัติที่ดีเกินไปก็เป็นปัญหาเหมือนกัน

หวงซือคลี่ยิ้ม แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

นักพรตซุนถาม “พี่น้องหวงได้โชควาสนามาอยู่ในมือบ้างหรือไม่?”

หวงซือพยักหน้ารับ “พอได้”

คนทั้งสองแยกย้ายกันไปอีกครั้ง ต่างคนต่างไปหาวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดิน ภาชนะตระกูลเซียนอย่างอื่นๆ

หวงซือขยับเท้าเคลื่อนตัวไปช้ากว่า เขาชำเลืองตามองแผ่นหลังของนักพรตร่างผอมสูง รอยยิ้มยิ่งกดลึก

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลาหลังหนึ่ง หวงซือเจอโครงกระดูกสองโครงที่นั่งเล่นหมากล้อมหันหน้าเข้าหากัน บนโต๊ะหินแกะสลักเป็นกระดานหมากล้อม ช่องตัดแบ่งของกระดานหมากมีแค่สิบเจ็ดช่อง ดูจากบนกระดาน ทั้งสองฝ่ายกำลังเล่นหมากล้อมกันมาถึงช่วงท้ายแล้ว หวงซือไม่มีความสนใจด้านการเล่นหมากล้อมเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เห็นว่าบนกระดานมีเม็ดหมากวางไว้มากมายขนาดนั้นจึงรู้ว่าปีนั้นทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างจากผลแพ้ชนะไม่ไกลแล้ว น่าเสียดายที่หวงซือคร้านจะมองให้มากความ

ในศาลาเล็กๆ หลังนั้นหวงซือไม่เพียงแต่ได้ชุดคลุมอาคมมาสองชิ้น ยังได้เม็ดหมากมาอีกสองโถ เม็ดหมากโค้งกลมมนเป็นธรรมชาติ หวงซือมองไม่ออกว่าทำมาจากวัสดุใด ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้เส้นแสงสาดสะท้อน เม็ดหมากสีขาวที่ใสแวววาวกลับมีแสงสีทองอ่อนจางแผ่ออกมา ส่วนเม็ดหมากสีดำนั้นมีเพียงแค่ตรงใจกลางเท่านั้นที่มองไม่ทะลุ ภายใต้แสงที่สาดส่องจะแผ่กระเพื่อมเป็นวงแสงสีเขียวมรกตวงหนึ่ง ขอแค่ไม่ใช่คนตาบอดก็ต้องมองออกถึงความล้ำค่าของเม็ดหมากนี้

ชุดคลุมอาคมทั้งสองชิ้นยังคงเสียหายอย่างหนัก มีเพียงเม็ดหมากสองโถนี้ที่กลับกลายเป็นว่าได้รับโชคดีหลังเจอเคราะห์ร้าย เหมือนก้อนหินธรรมดาที่ถูกกระแสน้ำในภูเขาลึกโอบล้อมให้ชุ่มชื้นมานานร้อยปีพันปี จึงยิ่งกลมเกลี้ยงเนียนละเอียด ชวนให้คนที่เห็นรู้สึกชื่นชอบ

ตอนที่หวงซือเก็บเอาเม็ดหมากขาวดำมาจากกระดานหมากที่เป็นหินแกะสลัก เม็ดหมากสีขาวร้อนลวกมือทำให้จิตวิญญาณของหวงซือเหมือนถูกเผาไหม้ ส่วนเม็ดหมากสีดำนั้นเยียบเย็นเสียดแทงกระดูก หลังจากที่คีบเม็ดหมากขาวดำโยนเข้าใส่โถเก็บอย่างว่องไว หวงซือก็ค้นพบว่านิ้วของตัวเองไม่มีรอยแผลแม้แต่น้อย หวงซือทั้งตกตะลึงทั้งยินดีอยู่ในใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโถเก็บเม็ดหมากนี้ต้องมีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมอย่างแน่นอน วัตถุวิเศษที่ใช้ในการโจมตีทั่วไป ผู้ฝึกตนออกแรงเต็มกำลัง บางทีอาจจะทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองบาดเจ็บได้ แต่อยู่ไกลเกินกว่าจะสั่นคลอนจิตวิญญาณของหวงซือ ทว่าเม็ดหมากนี้ เพียงแค่คีบขึ้นมาถือไว้ครู่เดียวก็ทำให้หวงซือไม่ยินดีจะจับไว้นานแล้ว

ด้วยเหตุนี้หวงซือจึงแน่ใจว่า โต๊ะหินที่สามารถแบกรับกระดานหมากมาได้นานร้อยปีพันปีตัวนี้จะต้องเป็นสมบัติหนักของตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางรองรับเม็ดหมากพวกนี้ได้อย่างสงบนิ่งโดยที่กระดานหมากไม่เคยมีความเสียหายใดๆ ได้นานถึงเพียงนี้

แต่หวงซือก็ไม่คิดจะแบกโต๊ะหินตัวหนึ่งวิ่งส่งเดชไปทั่ว

ตอนนั้นหวงซือจึงคิดจะทำลายโต๊ะหินทิ้งซะ ในเมื่อข้าไม่ได้ไปครอง คนที่มาภายหลังก็อย่าหวังว่าจะได้โชควาสนานี้ไปเลย แต่เมื่อเขาตบฝ่ามือลงหนักๆ โต๊ะหินกลับแน่นิ่งไม่ขยับ ไม่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนว่ามันจะยังเป็นโต๊ะตัวหนึ่งที่กินพายุหมัดได้เก่งอีกด้วย นี่ยิ่งทำให้หวงซือรู้สึกเสียดายที่ไม่อาจเก็บของชิ้นนี้เข้ามาไว้ในกระเป๋าได้ ไม่อย่างนั้นหากรวมกับเม็ดหมากสองโถนั่น ก็จะต้องขายได้ราคาสูงเทียมฟ้าอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบอยู่ในศาลา สถานการณ์หมากบนโต๊ะ บางทีอาจเป็นเพราะเม็ดหมากฝังรากอยู่บนกระดานมานานหลายปีเกินไป จึงเหมือนว่าสีสันของเม็ดหมากแทรกซึมลงไปบนโต๊ะหิน เวลานี้จึงยังมีริ้วคลื่นสีทองอ่อนและสีเขียวมรกตทิ้งไว้ เฉินผิงอันกวาดตามองปราณวิญญาณทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่บนเม็ดหมากบนกระดานหนึ่งรอบ แล้วหลับตาลง จดจำสถานการณ์หมากนี้ไว้ในใจ แต่พอลืมตาขึ้นมาก็รู้สึกว่าอาศัยความจำไม่สู้การจดบันทึก จึงหยิบกระดาษและพู่กันออกมาจากวัตถุฟางชุ่นที่เต็มไปด้วยสิ่งของ แล้วบันทึกกระดานหมากเก่าแก่กระดานนี้ลงบนกระดาษ

เส้นตั้งเส้นนอนบนกระดานมีทั้งหมดสิบเจ็ดช่อง ไม่ใช่สิบเก้าช่องที่นิยมมาอย่างยาวนานในใต้หล้าไพศาล เดิมทีนี่ก็คือเบาะแสเส้นหนึ่ง

และการเล่นหมากล้อมด้วยวิธีที่ตายตัว วิธีที่แน่นอนทั้งหลายของสถานการณ์หมากหลายๆ กระดานก็ยิ่งสามารถเปิดเผยความลับสวรรค์ได้

ผู้ฝึกยุทธอย่างหวงซือไม่สนใจเบาะแสพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ทว่าเฉินผิงอันกลับใส่ใจและเก็บเอามาใส่ใจ แต่ก็แน่นอนว่าเขาไม่อาจเป็นเหมือนลู่ไถหรือชุยตงซานที่บางทีเพียงแค่มองสถานการณ์บนกระดานหมากปราดเดียวก็สามารถอนุมานช่วงยุคสมัยได้คร่าวๆ

เฉินผิงอันรู้สึกอิจฉาคนที่เป็นวิชาจักรวาลในชายแขนเสื้อซึ่งเป็นหนึ่งในคาถาอาคมของบนภูเขาอยู่ไม่น้อย

ล้วนเป็นวิชาอภินิหารที่เฉินผิงอันอยากเรียนรู้ให้เป็นที่สุดพอๆ กับวิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ

เพียงแต่ว่าวิชาชั้นสูงสองอย่างนี้ ต้องเป็นเซียนดินก่อกำเนิดเท่านั้นถึงพอจะควบคุมได้ หากคิดจะฝึกให้เชี่ยวชาญจนเอามาใช้ได้อย่างคล่องแคล่วก็มีแค่ห้าขอบเขตบนเท่านั้น

เฉินผิงอันรู้สึกว่าศาลาหลังนี้คือสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่เหมาะให้ผู้ฝึกลมปราณมาฝึกตนมากที่สุด เม็ดหมากสองโถรวบรวมปราณวิญญาณไว้ได้มากอย่างถึงที่สุด เนิ่นนานก็ไม่สลายหายไปไหน นี่ก็คือแก่นโชคชะตาน้ำ อีกทั้งยังไม่ดึงดูดสายตาได้มากเท่าอิฐเขียวที่ปูไว้เต็มพื้นของอารามเต๋าที่ตอนนี้กลายเป็นซากไปแล้ว

ความเข้มข้นของลมปราณที่แห่งนี้ไม่อาจปล่อยผ่านให้พลาดไปได้เด็ดขาด

เฉินผิงอันจึงปลดห่อสัมภาระวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ถอดชุดคลุมเถาเถี่ยร้อยตาที่อยู่บนร่างออก สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดตัวนั้นไว้ก่อน สุดท้ายแม้แต่ชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะที่ได้มาจากบนร่างของผีสาวนครฟูนี่ก็ยังถูกสวมไว้บนร่างพร้อมกันด้วย สุดท้ายถึงเอาชุดคลุมอาคมสีดำมาสวมทับไว้เหมือนเดิมอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีชุดคลุมอาคมสามตัวอยู่บนร่าง และชุดคลุมอาคมพวกนี้ก็จะช่วยให้เขาดูดซับปราณวิญญาณที่แฝงเร้นไว้ด้วยโชคชะตาน้ำมาได้มากขึ้น

เฉินผิงอันทะยานขึ้นไปบนศาลา แล้วนั่งขัดสมาธิ อาศัยยันต์แบกศิลาแผ่นนั้นมาอำพรางลมหายใจ ร่างแน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขา พยายามมองตามหวงซือและนักพรตซุนเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา

ปราณวิญญาณเป็นเส้นๆ ของกระดานหมากที่แฝงไว้ด้วยสีทองอ่อนจางกับสีเขียวมรกตถูกดูดมาเหมือนมังกรสูบน้ำ พากันมารวมตัวอยู่บนหลังคาของศาลา แล้วค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในชุดคลุมอาคม

นี่แสดงให้เห็นถึงระดับความบริสุทธิ์ของปราณวิญญาณบนกระดานหมากได้เป็นอย่างดี

ภายใต้การจงใจชักนำของเฉินผิงอัน ชุดคลุมอาคมจินหลี่เป็นฝ่ายที่กินดื่มจนเต็มคราบก่อนใคร ปราณวิญญาณโชคชะตาน้ำที่ถูกเม็ดหมากชักนำมาและถูกรั้งเก็บไว้ในศาลามาอย่างยาวนานก็ถูกดึงไปแล้วเจ็ดแปดในสิบส่วน เมื่อเทียบกับระดับความสมบูรณ์ของปราณวิญญาณในตำหนักแห่งอื่นก็ถือว่าพอๆ กัน เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เก็บรวบรวมปราณวิญญาณทั้งหมดมาจนเกลี้ยง หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเผยพิรุธ ในเมื่อคิดจะช่วงชิงผลประโยชน์ทั้งหมดมาครอบครองไว้เพียงลำพัง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดีว่า โชคและเคราะห์จะสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันหรือไม่

เพราะถึงอย่างไรต่อจากนี้เทพเซียนจากฝ่ายต่างๆ ก็จะพากันขึ้นเขามา การวางอุบายปัดแข้งปัดขากันซึ่งจะตามมาหลังจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นการทดสอบที่แท้จริง

ในเรื่องของความโชคดีนั้น หากเหลือไว้ได้ก็ควรเหลือเก็บไว้ก่อน

สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว การหาเงินเล็กๆ น้อยๆ มาชั่วครู่ชั่วยามก็เพื่อการหาเงินที่มากกว่าเดิมได้อย่างยาวนานนั่นเอง

สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้วถึงจะสามารถมาพูดคุยเรื่องการเก็บผลกำไรได้

แล้วก็จริงดังคาด หลังจากพบว่าจู่ๆ ร่องรอยของนักพรตซุนก็หายไป หวงซือก็เริ่มหยุดการเก็บกวาดสมบัติทั้งหลาย เขาเริ่มไล่ตามเบาะแสจากประตูที่เปิดออกอย่างรีบร้อน แล้วก็มาพบตำหนักเล็กแห่งนี้

หลังจากที่หวงซือขยับเข้ามาใกล้ เฉินผิงอันก็ไม่อยู่ในท่านั่งอีกต่อไป เปลี่ยนมาเอนตัวนอนคว่ำอยู่บนหลังคา กลั้นลมหายใจจนไม่เหลือริ้วคลื่นใดๆ อีก

หวงซือชำเลืองตามองแผ่นป้ายที่อยู่บนพื้นแล้วยิ้มเอ่ย “นักพรตซุน เจอสมบัติหนักในตำหนักน้ำนี่อีกแล้วหรือ? ไม่สู้ให้ข้าช่วยเจ้าดีไหม? วางใจเถอะ ตามกฎที่พวกเราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ใครเป็นคนเปิดประตูก่อน สมบัติทั้งหมดที่อยู่ในห้องซึ่งไม่ว่าจะล้ำค่าแค่ไหนก็ล้วนตกเป็นของคนผู้นั้น”

ในตำหนักน้ำ นักพรตซุนตัวสั่นอย่างหวาดกลัว เขาขอพรจากบรรพจารย์ซานชิงของลัทธิเต๋าอยู่ในใจว่า ขอให้หวงซือผู้นี้รีบๆ จากไปซะ

แต่คงเป็นเพราะนักพรตซุนไม่ถือเป็นลูกศิษย์ในสามสายของลัทธิเต๋า คำขอของเขาจึงไร้ผล หวงซือถึงได้เดินข้ามธรณีประตูเข้ามาโดยตรง ยิ้มกล่าวว่า “นักพรตซุน เป็นอะไรไป ได้สมบัติบางอย่างมาก็เริ่มเปลี่ยนสีหน้าไม่จำคนแล้วหรือ แม้แต่พันธมิตรก็ยังต้องป้องกันด้วย? คนที่พวกเราสองคนต้องระวังไม่ใช่ตี๋หยวนเฟิงที่ในมือถืออาวุธร้ายผู้นั้นหรอกหรือ? ข้าที่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้า คงไม่ทำให้นักพรตซุนต้องหวาดกลัวขนาดนี้กระมัง?”

นักพรตซุนที่ไม่เหลือพื้นที่ให้หลบเลี่ยงก็ได้แต่เดินออกมาจากด้านหลังเทวรูป ยิ้มอย่างขลาดๆ “น้องหวงพูดล้อเล่นแล้ว”

หวงซือเอ่ยสัพยอก “นี่เพิ่งจะเดินผ่านพื้นที่ของจวนเซียนแห่งนี้มาได้สองสามในสิบส่วนเท่านั้น ยังมีระยะทางให้เดินอีกตั้งไกล อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราอยู่ในอารามเต๋าบนยอดเขา ต่างก็สังเกตเห็นกันว่าด้านหลังภูเขายังมีทัศนียภาพที่งดงามรออยู่ เหตุใดนักพรตซุนถึงได้รีบทิ้งห่อสัมภาระชุดคลุมอาคมชิ้นนั้นไปเร็วขนาดนี้เล่า? ข้ารู้น่ะว่า เข้าวัดวาอารามมาจุดธูป หากเดินย้อนกลับทางเดิมจะไม่ค่อยดีนัก”

นักพรตซุนจึงได้แต่เดินย้อนกลับไปทางเดิม หยิบห่อสัมภาระที่ก่อนหน้านี้วางไว้บนพื้นด้านหลังเทวรูปอย่างระมัดระวังขึ้นมาสะพายไว้บนร่าง หน้าผากของเขาเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดซึม “น้องหวง ไม่สู้เจ้าและข้ามาร่วมมือกัน พยายามป้องกันตี๋หยวนเฟิงผู้นั้น จะไม่ดีกว่าหรอกหรือ เจ้าและข้าขัดคอกันเองแบบนี้ก็มีแต่จะทำให้ตี๋หยวนเฟิงเป็นผู้ได้ผลประโยชน์ไปเปล่าๆ”

หวงซือพยักหน้ารับ “ขอตำราลับที่แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากชุดคลุมให้ข้าดูบ้างสิ?”

นักพรตซุนทอดถอนใจ “น้องหวง เจ้าก็ได้กระถางธูปใบนั้นไปแล้ว เมื่อได้ไปพอสมควรแล้วก็ควรหยุดกระมัง แล้วนับประสาอะไรกับที่ตำราลับเล่มนี้ของข้าคือตำราของลัทธิเต๋า น้องหวงเอาไปก็ไม่ได้มีความหมายเลย”

หวงซือยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีความหมายหรือไม่มี ไม่ใช่นักพรตซุนเป็นคนตัดสิน”

สีหน้าของนักพรตซุนมืดทะมึน “หวงซือ ถ้าอย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็คงต้องแนะนำเจ้าหนึ่งประโยค ไม่ว่าอย่างไรข้าผู้เป็นนักพรตก็คือนักพรตเต๋าขอบเขตชมมหาสมุทรที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวคนหนึ่ง”

หวงซือเอ่ย “หากเป็นอย่างนี้ นั่นก็คงเป็นปัญหาแล้ว ข้ารู้ว่าสมบัติก้นกรุของเจ้าก็คือกระพรวนเจดีย์สมบัติที่แหลกสลายไปแล้วชิ้นนั้น สามารถเอามาใช้ป้องกันได้ น่าเสียดายที่อยู่ๆ ก็พังไปเสียอย่างนั้น นอกจากนี้แล้ว ก็คงหนีไม่พ้นวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ใช้ในการโจมตีชิ้นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วข้าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนหนึ่ง ต่อยให้เจ้าตายด้วยสองสามหมัดก็ง่ายเหมือนยื่นมือไปหยิบของในห่อสัมภาระ?”

นักพรตซุนกล่าวอย่างตกตะลึง “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก?!”

แต่ต่อมานักพรตซุนก็หัวเราะเสียงหยัน “ใครบ้างที่หลอกขู่คนอื่นไม่เป็น? หากข้าผู้อาวุโสบอกว่าตัวเองคือเซียนดินโอสถทอง เจ้ากลัวหรือไม่เล่า?”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!