จานชิงเดินลงเขาไปช้าๆ เกาหลิงที่เป็นขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถต้านทานทุกคนที่มาค้นหาสมบัติได้
แต่ขอแค่คนของแต่ละฝ่ายที่กรูกันเข้ามาในภูเขาไม่มีปัญญาที่จะรวมกลุ่มกัน พวกเขาก็ถือเป็นทรายที่กระจัดกระจายถาดหนึ่ง ปล่อยให้เขาจานชิงช่วงชิงสมบัติมาได้ตามใจชอบ
หลังจากเข้ามาในพื้นที่ลับและได้ปรึกษากับพี่หญิงป๋ายแล้ว จานชิงก็เปลี่ยนความคิดใหม่
ดังนั้นจานชิงจึงไม่คิดจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ แต่คิดว่าจะทำการค้าอย่างหนึ่งกับผู้ฝึกตน ผู้ฝึกยุทธที่ข้ามอาณาเขตมาเหล่านั้น
ขึ้นเขานั้นได้ แต่ตอนลงจากภูเขามา จำเป็นต้องมาพูดคุยกับเขาจานชิงเป็นการส่วนตัวเสียก่อน แล้วมอบวัตถุบนภูเขาที่เขาหมายตามาให้ชิ้นหนึ่ง
แค่ชิ้นเดียวก็พอ
ส่วนของอย่างอื่นที่ถูกพวกคนที่โชคดีพกติดตัวไป ถึงเวลานั้นพี่หญิงป๋ายจะจดบันทึกเงียบๆ แล้วนำไปมอบให้แก่ศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำ ให้พวกผู้ฝึกตนเซียนดินเหล่านั้นไปทวงสมบัติคืนจากมดตัวเล็กตัวน้อยพวกนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องให้เขาจานชิงลงมือสังหารใคร ถือเป็นการหาทรัพย์สินอย่างปรองดอง
นี่จะลดทอนปัญหาและเรื่องไม่คาดฝันไปได้มาก
ผู้ฝึกตนอิสระแห่งภูเขาสายน้ำ เว้นเสียจากว่ารู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในทางตันที่ต้องตายอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่ก็ล้วนกลัวตายกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทุกเรื่องก็ล้วนพูดคุยกันได้ง่าย
กลับกลายเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่รากฐานไม่มั่นคงซึ่งจะมองสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจน
อาจารย์ก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นของเขา ตอนนี้แขวนชื่อเป็นผู้ถวายงานอยู่ในสำนักมังกรน้ำ พี่หญิงป๋ายก็ยิ่งเป็นคู่รักเทพเซียนของเขาในอนาคต ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน
ดังนั้นซากปรักจวนเซียนแห่งนี้จึงเป็นของในกระเป๋าของสำนักมังกรน้ำแล้ว
ก่อนหน้านี้พี่หญิงป๋ายเคยปรึกษากับเขามาก่อน บอกว่าจะพยายามช่วงชิงสมบัติหนักมาให้ได้มากที่สุด โดยที่รับรองว่าต้องมีจำนวนอยู่ที่ห้าชิ้น หากโลภมากเกินไปจะเคี้ยวไม่ละเอียด ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่อาจอธิบายกับทางสำนักได้ อีกทั้งการช่วงชิงสมบัติของจานชิงกับนางจะต้องทำอย่างหลบซ่อนอำพราง พยายามใช้เวทอำพรางตาให้มาก ช่วงเวลาระหว่างนี้ หากเป็นสมบัติล้ำค่าที่แม้แต่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็ยังปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน คนทั้งสองจะไปแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกบรรพจารย์ของสำนัก ไม่ว่าใครก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน หากพวกเขาเร่งรุดมาเยือนเพราะได้ยินข่าว และยึดครองสถานที่แห่งนี้ได้สำเร็จ จะต้องไม่ปล่อยผ่านใครที่ข้ามผ่านขอบเขตเข้ามาแน่นอน หากคิดจะซักไซ้เอาเรื่องขึ้นมา วิธีการก็มีให้ใช้ไม่หมดสิ้น ถ้าพวกเขาใช้เวทคาถากับจิตวิญญาณของผู้ฝึกตน ถึงเวลานั้นขอแค่จานชิงถูกสืบสาวเบาะแสออกมาได้ พิรุธถูกเปิดเผย นางป๋ายปี้ก็ยากที่จะหาคำมาอธิบาย ถูกศาลบรรพจารย์สวมหมวกว่ากินบนเรือนขี้รดบนหลังคาให้ ก็จะได้ไม่คุ้มเสีย
แต่สมบัติอาคมสามสี่ชิ้น พวกเขาสองคนที่เป็นเด็กรุ่นหลัง ในฐานะผู้บุกเบิกดินแดนที่เป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ที่สุด ต่อให้ทางศาลบรรพจารย์รู้เรื่อง เพราะต้องเห็นแก่หน้าของอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาของนางและอาจารย์ของจานชิง เหล่าผู้ฝึกตนใหญ่สิบกว่าคนที่มีคุณสมบัติได้นั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์พวกนั้นก็มีแต่จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง
ไม่ว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาคนใด ก็ทั้งได้รับการปกป้องจากกฎเกณฑ์ จากรากฐาน แล้วก็ถูกพันธนาการจากกฎเกณฑ์ จากวินัยข้อห้ามเช่นกัน
จานชิงมาถึงตีนเขาก็สั่งความเกาหลิงด้วยสีหน้าเป็นมิตร เกาหลิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองซึ่งเพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพบู๊ระดับสามชั้นเอกของแคว้นฝูฉวีไม่มีความเห็นต่างใดๆ
วันนั้นที่คุ้มครองป๋ายปี้ผู้ฝึกตนหญิงย้อนกลับบ้านเกิดเข้าสู่เมืองหลวง พระราชโองการก็มาถึงที่จวนแม่ทัพของเกาหลิงพอดี
ดังนั้นเกาหลิงจึงรู้เรื่องหนึ่ง อยู่ในแคว้นฝูฉวีที่การช่วงชิงคุณความชอบทางการทหารยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ การที่มีความสัมพันธ์กับสำนักมังกรน้ำนั้น ได้ผลยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
จานชิงยืนอยู่ฝั่งหนึ่งของสะพานหยกขาว ใช้พัดพับเคาะสัตว์ที่เป็นราวบันไดเบาๆ เรือนกายของเขาสูงโปร่งสะโอดสะอง อาภรณ์สีขาวพลิ้วไหวดุจสายน้ำไหล
เกาหลิงตะโกนบอกกฎให้กับทุกคนที่ขยับมาใกล้สะพาน
แน่นอนว่าไม่มีใครยอมรับ
มีคนไม่กล้าบุกเข้ามา ก็เลยคิดจะกระโดดข้ามลำคลองสีเขียวมรกตที่เป็นลำคลองปกป้องเมืองแห่งนั้นจากมุมอื่น
ผลกลับถูกเกาหลิงที่พุ่งทะยานออกไปใช้หนึ่งหมัดสกัดกั้นเอาไว้ คนผู้นั้นตายคาที่ทันที ศพแหลกกระจายเป็นเจ็ดแปดส่วน
หมัดนี้เกาหลิงไม่กักเก็บพลังเอาไว้แม้แต่น้อย
ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกยุทธตะโกนบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง อีกทั้งยังเรียกชื่อของเกาหลิงผู้ฝึกยุทธอันดับหนึ่งของแคว้นฝูฉวีออกมาด้วย
หลังจากหนึ่งหมัดผ่านไป
ฝั่งตรงข้ามที่แต่เดิมมีเสียงดังจอแจก็เงียบเสียงลงได้ทันที มีเพียงเสียงกระซิบจากคนที่จับกลุ่มกันสองสามคนเท่านั้น
ไม่รู้ว่าจากใครและจากจุดใด แต่น่าจะมีคนที่ใช้เวทลับตระกูลเซียน ถึงได้มีเสียงตะโกนผ่านริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจด้วยน้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นว่า “พวกเรามีคนเยอะกว่า ร่วมมือกันสังหารเจ้าสองคนนี้ ถึงเวลานั้นแยกย้ายกันขึ้นไปบนภูเขา ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ จะไม่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ?! เหตุใดจะต้องคอยดูสีหน้าของคนอื่น หากพวกเรามีใครที่โชคธรรมดา ได้สมบัติมาแค่ชิ้นเดียว หรือว่ายังจะต้องยกสองมือประคองส่งให้กับคนเสเพลแคว้นเป่ยถิงผู้นี้ไปเปล่าๆ? เวลานี้ไม่ร่วมแรงร่วมใจกัน ถึงเวลานั้นพอลงมาจากภูเขาก็ยิ่งยากที่จะสมัครสมานสามัคคีกันได้อีกกระมัง?”
คำพูดประโยคนี้ทำให้คนไม่น้อยหวั่นไหว
ผู้ฝึกตนหญิงสองคนของจวนไช่เฉวี่ยที่ร่ายเวทอำพรางตาหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
คนที่เอ่ยประโยคล่อลวงใจประโยคนี้ก็คือเด็กสาวผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์คนหนึ่งที่พวกนางมาเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้
อายุไม่มาก แต่นิสัยไม่เลว
และพวกนางก็คือซุนชิงเจ้าจวนไช่เฉวี่ยกับอู่ชวินอาจารย์ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์
เดิมทีมีอู่ชวินเป็นผู้ปกป้องมรรคาคนเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่ซุนชิงรู้สึกว่าตัวเองอยู่บนภูเขาก็อุดอู้ยิ่งนัก ก็เลยตามมาหาเรื่องผ่อนคลายจิตใจ คิดไม่ถึงว่าการผ่อนคลายจิตใจครั้งนี้จะทำให้เจอกับโชคครั้งใหญ่
อู่ชวินแอบสื่อสารกับเจ้าจวนสาว “เซียนดินอายุน้อยก่อนหน้านี้คงไม่ใช่ป๋ายปี้แห่งแคว้นฝูฉวีกระมัง?”
ซุนชิงหัวเราะเสียงหยัน “เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักมังกรน้ำแล้วอย่างไร ท่ามกลางศึกที่วุ่นวาย หากกลอุบายไม่มากพอ ความสามารถไม่ได้ความ ตายไปก็เสียเปล่า”
เอ่ยประโยคนี้จบ ซุนชิงก็พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยต่อว่า “เจ้าและข้าเองก็เหมือนกัน”
อู่ชวินกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “แต่อยู่ดีๆ สายน้ำภูเขาทางฝั่งของโพรงถ้ำแห่งนั้นก็เกิดไร้ระเบียบวุ่นวาย ตราผนึกถูกเปิดออก ทุกหนแห่งล้วนเป็นทางเข้ามายังพื้นที่ลับแห่งนี้ นี่จะเป็นเรื่องบังเอิญไปหน่อยหรือไม่?”
ซุนชิงชำเลืองตามองม่านฟ้าแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ในเมื่อมาแล้วก็ทำใจให้สบาย”
อู่ชวินถอนหายใจ ชำเลืองตามองเจ้าจวนสาวข้างกายที่มีท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน มิน่าเล่านางถึงได้เป็นเจ้าจวนโอสถทองอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของจวนไช่เฉวี่ย ส่วนตนนั้นกลับเป็นได้แค่บรรพจารย์ผู้คุมกฎอยู่ปีแล้วปีเล่า
ริมตลิ่งฝั่งนี้ของพวกเขามีเสียงเอะอะดังไม่ขาดสาย แต่ละคนร่ำร้องว่าจะต่อสู้เข่นฆ่า ป่าวประกาศว่าจะต้องปลิดชีพแม่ทัพบู๊ของแคว้นฝูฉวีผู้นั้น และจะเลาะเส้นเอ็นแร่เนื้อเถือหนังของท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงให้จงได้
ผลคือจานชิงกลับคลี่ยิ้มสดใส คลี่พัดพับออกดังพรึ่บ แล้วโบกเอาลมเย็นๆ อยู่ด้านหน้าตัวเองเบาๆ เพียงเปิดปากเอ่ยว่า “จะฆ่าข้าก็ได้ ใครที่มาก่อนก็ได้ก่อน”
ซุนชิงหัวเราะ ใช้ข้อศอกกระทุ้งอู่ชวินเบาๆ “เจ้าลงมือก่อน ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่ายคงเสียเวลาอยู่ได้เป็นร้อยปี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!