กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 543

ตอนที่คนทั้งสองเดินข้ามธรณีประตูออกไปจากตำหนักน้ำ หวงซือก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “อีกฝั่งหนึ่งของขั้นบันไดมีความเคลื่อนไหวจากการต่อสู้เกิดขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครไปเจอเข้ากับใคร”

ตอนนี้บนภูเขามีคนสามกลุ่มอยู่ปะปนกัน

พวกเขาสี่คนน่าจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้ามาในพื้นที่ลับตระกูลเซียนแห่งนี้

หวงซือไม่รู้ว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มที่สองซึ่งเป็นคู่ชายหนุ่มหญิงสาวคือเทพเซียนจากฝ่ายไหน โอกาสที่จะเป็นผู้ฝึกตนของนครเหนือเมฆค่อนข้างสูง เพราะถึงอย่างไรจวนไช่เฉวี่ยก็มีแค่ผู้ฝึกตนหญิง

กลุ่มที่สามนั้นรับมือได้ยากที่สุด

ดังนั้นสถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือ เซียนซือหนุ่มสาวสองคนนั้นเกิดความขัดแย้งกับฝ่ายของท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิง

หากเป็นตี๋หยวนเฟิงที่ไปประมือกับคนอื่นก่อน นั่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร

ด้วยสันดานเช่นนั้นของตี๋หยวนเฟิง หากเจอกับอันตรายเข้าจริงๆ จะต้องลากหายนะมาถึงตัวเขาหวงซือด้วยอย่างแน่นอน หากตกอยู่ในสถานการณ์อับจน ความคิดแรกของตี๋หยวนเฟิงจะต้องเป็นลากพวกเขาสามคนไปตายเป็นเพื่อน เพื่อที่จะได้มีคนเดินเคียงข้างบนเส้นทางไปสู่น้ำพุเหลือง

หวงซือพลันกระโดดขึ้นไปบนหลังคา เห็นเพียงว่าตรงแผ่นฝ้าเพดานทรงกลมมีคนร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องเหมือนเกี้ยวที่ถูกโยนลงหม้อ ไม่ต่ำกว่าสี่สิบคน ดูจากท่าทางแล้ว ต่อจากนี้จะต้องมีคนเข้ามาถึงที่นี่อย่างแน่นอน

ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงยิ่งกว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตรงอีกฝั่งหนึ่งของบันไดเสียอีก

หวงซือเริ่มไม่เข้าใจแล้ว สถานการณ์ที่ปลาและมังกรปะปนกันเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นผลดีมากกว่าผลร้าย

ขอแค่หาทางถอยได้เจอ จากนั้นก็ฉกชิงตำราลัทธิเต๋าบนร่างของนักพรตซุนไป เขาหวงซือก็สะบัดมือจากไปได้แล้ว

เขาคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว จึงไม่มีความละโมบในปราณวิญญาณของที่แห่งนี้เลยแม้แต่น้อย

ทุกคนที่เหลืออยู่ฆ่าแกงกันไปมา ดั่งสัตว์ที่ถูกจับขังให้ต้องต่อสู้กัน เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย

หวงซือเอ่ย “พวกเราไม่ผ่านบันไดเดินขึ้นเขา แต่อ้อมไปทางด้านหลังภูเขา”

เฉินผิงอันถาม “ไม่รอคุณชายฉินสักหน่อยหรือ?”

นักพรตซุนถอนหายใจอยู่ในใจ ช่างเป็นลูกนกหัดบินในยุทธภพที่ไม่รู้ความอันตรายของใจคนจริงๆ

ดูจากการค้าขายระหว่างสองฝ่ายในตำหนักน้ำ อันที่จริงนักพรตซุนก็พอจะมองออกถึงความระมัดระวังของสหายนักพรตคนนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นช่างเหลาะแหละพึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย

หวงซือยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่เฉินสามารถไปเรียกคุณชายฉินมาได้ ข้ากับนักพรตซุนจะรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”

นักพรตซุนเห็นว่าสหายนักพรตผู้นี้มีสีหน้ากระอักกระอ่วน แล้วก็ไม่พูดจาไร้สาระอะไรเพิ่มอีก

นักพรตซุนจึงใช้เสียงในใจบอกคนผู้นี้ว่า “สหายเฉิน จำเอาไว้ว่าพูดมากไปจะนำมาซึ่งความผิดพลาด เข้ามาในภูเขาเงินภูเขาทอง ต่างคนต่างอาศัยโชควาสนาช่วงชิงสมบัติมาครอง เจ้าก็อย่าได้วาดงูเติมขาอีกเลย ไม่แน่ว่าคุณชายฉินอาจจะได้โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าแล้ว เขาจะยินดีพบหน้าเจ้าหรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก เจ้าไปหาเขาแบบนี้จะไม่ทำให้คุณชายฉินลำบากใจหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่เสียแรงที่เป็นนักพรตซุน สุขุมหนักแน่น ทำอะไรมั่นคงเชื่อถือได้”

ตอนนี้แผนการที่ดีที่สุดของเฉินผิงอันก็คือไปหาคนนอกคนหนึ่งก่อน เพื่อยืนยันให้แน่ใจถึงความเร็วในการไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ พอมั่นใจว่าจะไม่ถ่วงเวลาการท่องลำน้ำใหญ่ของเขาแล้ว ถึงจะสามารถหยุดอยู่ที่นี่ต่อได้อีกสามสี่วัน พยายามอยู่ร่วมกับเซียนซือของแต่ละฝ่ายอย่างปรองดองให้ได้มากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ฝึกตนอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบ สั่งสมปราณวิญญาณให้เต็มสองช่องโพรงลมปราณอย่างจวนน้ำและศาลภูเขา

พยายามช่วงชิงแก่นชะตาน้ำที่ซุกซ่อนอยู่ในอิฐเขียวของอารามเต๋าพวกนั้นมาให้ได้มากที่สุด

จวนน้ำและศาลภูเขาขอบเขตสามมีขีดจำกัดในการ ‘กักเก็บน้ำ’ ส่วนช่องโพรงลมปราณแห่งอื่นๆ เนื่องจากมีปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นดำรงอยู่ จึงไม่อาจรั้งปราณวิญญาณไว้ได้มากนัก เกรงว่าเมื่อเอามารวมกันแล้วยังสู้การรวบรวมปราณวิญญาณบนชุดคลุมอาคมเถาเถี่ยร้อยตาตัวนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ทว่าจวนน้ำและศาลภูเขาสองแห่งนั้น ต่อให้จะมีปราณวิญญาณเอ่อล้นออกมา อันที่จริงก็ไม่เป็นไร และเฉินผิงอันก็ยังสามารถมาวาดยันต์อยู่ที่นี่ได้

ใช้ชาดตระกูลเซียนที่ดีที่สุดของสวนน้ำค้างวสันต์ไหนั้นวาดยันต์ลงบนกระดาษสีทอง ยิ่งเผาผลาญปราณวิญญาณมากเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะระดับขั้นของยันต์ก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น

หล่อหลอมลมปราณ ศึกษาวิชาการเขียนยันต์ หาเงินเทพเซียนเข้ากระเป๋า ยิงธนูนัดเดียวได้นกสามตัว

เฉินผิงอันยังถึงขั้นคิดจะอาศัยปราณวิญญาณของที่แห่งนี้มาทดลองบุกเบิกช่องโพรงที่สำคัญแห่งที่สาม เพื่อหาตำแหน่งที่ว่างไว้ให้สำหรับวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุชิ้นที่สามในอนาคต

เพราะเฉินผิงอันมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า วัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุไม้หนึ่งในห้าธาตุควรจะเป็นสิ่งใด

อันที่จริงหากลองคิดในมุมมองใหม่ มาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ สำหรับเฉินผิงอันที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายทั้งหมด

เพราะนี่จะช่วยสะบั้นความเชื่อมโยงระหว่างเขากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียงให้สิ้นซากได้

ตอนนั้นนางติดตามตนเข้าไปในหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูก ไปจับตามองตนอยู่ในระยะประชิดที่นครจิงกวาน รวมไปถึงหลังจากที่ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยเพราะตนแบกรับทัณฑ์สายฟ้า นางก็จำต้องเป็นฝ่ายตัดขาดความเชื่อมโยงในโลกมืดที่มองไม่เห็นนั้นทิ้งไป ตอนนี้คงจะหลบเข้าไปในอยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ หากถูกเฉินผิงอันเล่นงานอีกครั้ง ก็จะเป็นหลักการเดียวกันนี้

ดังนั้นผลได้และผลเสียทั้งหมดจากการที่เข้ามาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ก็ล้วนเป็นเรื่องของเฉินผิงอันเพียงลำพังแล้ว

อันที่จริงนี่คือเรื่องดี

ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่เฉินผิงอันคิดเอาไว้ นั่นคือเฉินผิงอันต้องใช้กระบี่ผ่าตราผนึกฟ้าดิน เผ่นหนีออกไปเพื่อความปลอดภัยของตน

ต่อให้ไม่พูดถึงกระเบื้องแก้วมรกตและอิฐเขียวบนพื้น ลำพังเพียงแค่ข้องปลาไผ่สานขนาดจิ๋วสองใบนั้นก็ทำให้เฉินผิงอันตกตะลึงได้มากแล้ว

เพราะพวกมันมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นข้องราชามังกร!

ต่อให้รูปลักษณ์ภายนอกจะถูกทำลายให้เสียหายอย่างหนัก ทว่าข้องไม้ไผ่ใบเล็กสองใบที่ระดับขั้นต่ำที่สุดก็ยังเป็นข้องราชามังกรที่ควรค่าแก่การทุ่มเงินซ่อมแซมให้เหมือนใหม่ จากนั้นก็เอาไปใช้จับเจียวหลง

ถ้าอย่างนั้น

เขาควรจะคอยช่วยดูแลไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันต่อนักพรตซุนต่อไปหรือไม่?

รังแกคนอื่นไม่ยาก รังแกตัวเองก็ยิ่งง่าย เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตน ขอแค่ยังมีจิตแห่งการพิสูจน์มรรคา มีความหวังต่อการเดินขึ้นสู่ยอดเขาสูง เดิมทีการรังแกตัวเองก็เป็นปมของโรคร้ายที่ใหญ่ที่สุด

มองดูเหมือนว่าเรียบง่ายที่สุด เพราะฉะนั้นด่านในอนาคตถึงได้ใหญ่ที่สุด

ยกตัวอย่างเช่นหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เกือบจะต้องกายดับมรรคาสลายเพราะสาเหตุนี้

เมื่อมอบยันต์กระดาษสีทองสองแผ่นให้กับนักพรตซุนแล้ว ตัวเองก็จะสบายใจ ถามใจตัวเองแล้วไม่รู้สึกผิดจริงๆ หรือ?

หรือจะบอกว่า เพื่อประหยัดแรงกายแรงใจก็ควรถือโอกาสกำจัดต้นกำเนิดของเรื่องไม่คาดฝันอย่างหวงซือที่เป็นผู้ฝึกยุทธนี่ไปเสียเลย?

สนแต่สาเหตุไม่สนความรู้สึก? หรือว่าจะสนความรู้สึก ไม่สนสาเหตุ? หรือต้องสนทั้งสองอย่าง?

หากเป็นกู้ช่านก็คงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

หม่าขู่เสวียนเองก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาทั้งหมดบนโลกก็อาจไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

ส่วนชุยตงซาน ลู่ไถ จงขุย ฉีจิ่งหลง ก็อาจจะมีทางเลือกเป็นของพวกเขาเอง ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาเลือกจะเหมือนเฉินผิงอันหรือไม่ แต่ก็คงไม่รู้สึกลำบากใจอย่างที่เฉินผิงอันเป็นอยู่ในตอนนี้

เมื่อเฉินผิงอันขึ้นมาเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนที่แท้จริง หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกตนได้ครึ่งตัวแล้ว เขาก็ค้นพบว่าหลักการเหตุผลทั้งหมดที่ประคับประคองให้เขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้

ทำให้เขารู้สึกว่าพวกมันกลายเป็นภาระจริงๆ

ก็เหมือนตอนเด็กที่เดินขึ้นเขา แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ขนาดนั้น ด้านในยังบรรจุยาสมุนไพร นั่นก็ทำให้คนรู้สึกหนักอึ้งได้มากแล้ว

ทว่าจุดที่ชวนให้ลำบากใจกลับกลายเป็นว่า ก็เพราะภาระในอดีตเหล่านี้ ถึงพาเขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้

ลำบากใจกับตัวเอง คือความยากที่ซ้ำเติมลงบนความยากของการเดินขึ้นเขาฝึกตน

และในเวลานี้เอง นักพรตซุนก็ได้ใช้เสียงในใจบอกแก่เฉินผิงอันว่า “สหายเฉิน ระวังตัวไว้สักหน่อย หวงซือผู้นี้อำพรางตนอย่างลึกล้ำ ไม่นึกว่าเขาจะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก ยันต์โจมตีของสหายเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตถือว่าพอจะเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ประชิดตัวอยู่บ้าง ถึงเวลานั้นเจ้าก็ถอยห่างไปให้ไกลสักหน่อย แต่อย่าลืมช่วยคุมหลังให้ข้าผู้เป็นนักพรตด้วย อย่าได้ประหยัดยันต์มากเกินไป ยันต์อะไรก็โยนๆ ใส่หวงซือไปเถอะ แต่ก็อย่าโยนพลาดทำร้ายข้าผู้เป็นนักพรตเข้าล่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!