กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 552

นักพรตหนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มจ่ายเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญตรงปลายด้านหนึ่ง        ของสะพาน แล้วรับแผ่นไม้ต้นส้มตระกูลเซียนมาสองแผ่น

จางซานเฟิงถามเสียงเบา “อาจารย์ สรุปว่าเวทอำพรางตาของท่านใช้ได้ผลหรือไม่? ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าดูเหมือนมีคนมากมายกำลังมองมาที่พวกเรา? อีกอย่าง พวกเรามาจากภูเขาพาตี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไร ปีนั้นข้าออกจากสำนัก               ไปฝึกประสบการณ์ ล้วนไม่มีใครดูออกว่าข้ามาจากภูเขาพาตี้ แม้แต่คนที่เข้าใจผิด   คิดว่าข้าเป็นพวกศิษย์พี่ของภูเขาเถาซาน ภูเขาจื่อเสวียนก็ยังไม่มีเลยสักครั้ง พอข้าบอกว่าตัวเองเป็นเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์แผ่นดินกลางตามที่      อาจารย์สอน ก็ยิ่งไม่มีใครเชื่อเลย”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คิดดูแล้วคงเป็นเพราะชื่อเสียงของพวก   ศิษย์พี่เจ้าไม่โด่งดังมากพอ”

จางซานเฟิงถอนหายใจ “ข้ารู้สึกว่ามรรคกถาของพวกศิษย์พี่สูงมากเลย”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “เดินขึ้นเขาแต่ละทีเนิบช้า เดินลงจากเขาก็ยิ่งกระบิดกระบวน เจ้าก็มองออกด้วยหรือว่ามรรคกถาของศิษย์พี่สูงส่ง?”

จางซานเฟิงพยักหน้ารับอย่างแรง กดเสียงเบาเอ่ยว่า “ข้าได้ยินพวกศิษย์หลานบนภูเขาพูดกันหลายครั้ง บอกว่าพวกศิษย์พี่ชายหญิงที่สามารถออกไปเปิดขุนเขาเป็นของตัวเองได้ ล้วนมีขอบเขตสูงจนน่าตกใจ”

ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะร่าพลางเอ่ยถาม “สูงอย่างไร?”

จางซานเฟิงส่ายหน้า “เรื่องนี้บอกได้ไม่ชัดเจนนัก บางคนบอกว่าเป็นเซียนดินโอสถทอง บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเป็นเทพเซียนขอบเขตประตูมังกรกันทั้งหมด”

กล่าวมาถึงตรงนี้ จางซานเฟิงก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อาจารย์ แม้จะบอกว่าภูเขาพาตี้ของพวกเราไม่อนุญาตให้เอาเรื่องขอบเขตมาพูดอย่างส่งเดช แต่ถึงอย่างไรพวกศิษย์หลานก็อายุยังน้อย คำพูดคุยเล่นพวกนี้ล้วนมาจากนิสัยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ อาจารย์ห้ามเห็นเป็นเรื่องใหญ่ กลับไประบายโทสะใส่พวกเขาล่ะ ไม่อย่างนั้นวันหน้าข้าจะยังฝึกตนอยู่บนภูเขาพาตี้ได้อย่างไร พวกเขาจะไม่ด่าอาจารย์อาน้อยอย่างข้า   ลับหลังว่าเป็นผู้อาวุโสปากยื่นปากยาวหรือ?”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

จางซานเฟิงยังไม่ค่อยวางใจสักเท่าไร “อาจารย์ ท่านต้องรับปากกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่มั่นใจ”

ก็ไม่แปลกที่จางซานเฟิงจะตื่นตระหนก เพราะนับตั้งแต่ที่ตนจำความได้          เขาเคยเห็นอาจารย์ท่านผู้เฒ่ามีโทสะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

เคยมีครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าศิษย์พี่ท่านหนึ่งที่ไปบุกเบิกยอดเขาอยู่เพียงลำพังทะเลาะกับศิษย์พี่อีกคนหนึ่งที่ยังฝึกตนอยู่บนภูเขาพาตี้ด้วยเรื่องอะไร บางทีอาจเป็นเพราะถกเถียงกันด้วยเหตุผลไม่ได้ ก็เลยยกเรื่องขอบเขตสูงต่ำมาพูดกัน

อันที่จริงศิษย์พี่ที่โดนด่าคนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าต้องเก็บถ้อยคำพวกนั้นมาใส่ใจด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ที่เห็นๆ กันอยู่ว่านอนหลับมาสองสามปีแล้ว กลับสลายกองหิมะ    ที่ทับถมอยู่บนยอดเขา จากนั้นก็ร่างก็วูบหายไป ออกมาจากยอดเขาพาตี้

ตอนนั้นจางซานเฟิงที่ยังเป็นเด็กกำลังเล่นปาหิมะกับพวกนักพรตน้อยวัยเดียวกัน ผลคือพวกเขาต่างก็หันมามองหน้ากันเอง จากนั้นก็เล่นปาหิมะต่อ เพราะอาจารย์    จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ล้วนไม่ถ่วงเวลาการเล่นสนุกของพวกเขา ถึงอย่างไรอยู่บน         ยอดเขาพาตี้ หิมะตกเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง มีเพียงตอนที่อาจารย์หลับเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้พบเจอ พวกเขาดีใจยิ่งกว่าได้ฉลองวันปีใหม่เสียอีก

ภายหลังจางซานเฟิงถึงได้ยินมาว่าศิษย์พี่ที่พูดผิดไปเพียงคำเดียวผู้นั้นถูกขับไล่ออกจากสำนักในวันนั้นเลย ศิษย์พี่คนนั้นนั่งคุกเข่าอยู่ริมอาณาเขตของยอดเขาพาตี้นานหนึ่งเดือนเต็ม แล้วก็โขกหัวอยู่นานหนึ่งเดือนเต็ม แต่อาจารย์ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ศิษย์พี่คนอื่นๆ ต่างก็พากันเดินขึ้นมาบนยอดเขาพาตี้ แต่ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแต่    ยืนอยู่บนยอดเขา ราวกับว่าความผิดที่พวกเขาก่อไม่ได้น้อยไปว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง    ร่วมสำนักคนนั้นเลย

อาจเป็นเพราะอายุยังน้อย ตอนนั้นจางซานเฟิงจึงเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว       ที่กล้าเปิดปากถามเรื่องนี้ เพราะเขาสงสัยมากว่าทำไมอาจารย์ถึงต้องโกรธขนาดนี้

ตอนนั้นหลังจากที่ลูกศิษย์ทุกคนไปจากยอดเขาพาตี้แล้ว อาจารย์ถึงได้พูดกับ   จางซานเฟิงสองประโยคว่า

“ใต้หล้านี้ไม่มีถ้อยคำที่ไร้เจตนา มีเพียงถ้อยคำมีเจตนาที่หลุดปากพูดออกมาโดยไม่ทันระวัง”

“คนด้านล่างภูเขานั้นไม่เป็นไร แต่คนบนภูเขากลับสำคัญดุจชีวิต ไม่ใช่ว่าสำคัญต่อชีวิตของผู้ฝึกตนเอง แต่สำคัญต่อชีวิตของคนธรรมดาด้านล่างภูเขามากกว่า”

จางซานเฟิงยังคิดจะขอร้องแทนศิษย์พี่คนนั้น ฮว่อหลงเจินเหรินกลับส่ายหน้า ลูบศีรษะของนักพรตน้อยเบาๆ บอกว่าให้เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว ในเมื่อศิษย์พี่ของเจ้าคนนั้นเดินมาสุดปลายทางของการฝึกตนบนภูเขาแล้ว ก็ไม่สู้ออกไปฝึกจิตใจนอกภูเขา

บนสะพานเวลานี้ ฮว่อหลงเจินเหรินก็ได้แต่ยอมรับปากว่า “ตกลง อาจารย์จะถือว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”

เดินอยู่บนสะพานยาว จางซานเฟิงพบว่ามีเด็กหนุ่มชุดเหลืองหน้าตาฉลาดเฉลียวคนหนึ่งกำลังยืนเหม่ออยู่ห่างไปไม่ไกล ราวกับว่ากำลังมองพวกเขาสองอาจารย์     และศิษย์อยู่ จากนั้นเด็กหนุ่มหันหลังได้ก็วิ่งหนีเผ่นแน่บ แผล็บเดียวก็ไม่เหลือแม้เงา

จางซานเฟิงกล่าวอย่างสงสัย “อาจารย์ นี่คือ?”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “เมื่อก่อนเคยพบหน้า เคยพูดคุยกัน”

หลี่หยวนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเหงื่อแตกท่วมหัว ชักเท้าวิ่งตะบึง เคยพบหน้ากับท่านปู่เจ้าน่ะสิ ข้าผู้อาวุโสเป็นถึงสุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำใหญ่ ผลกลับกลายเป็นว่าปีนั้นต้องมา    ถูกเจ้าใช้เวทน้ำสยบให้อยู่ใต้ลำน้ำใหญ่นานถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ

ฮว่อหลงเจินเหรินขมวดคิ้ว หันหน้าไปมอง

คือซุนเจี๋ยเจ้าสำนักที่ร่ายใช้เวทอำพรางตาเช่นเดียวกับพวกเขา

ซุนเจี๋ยแข็งใจเดินเร็วๆ มาด้านหน้า ช่วยไม่ได้ หากเจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้เพียงแค่ผ่านทางมายังสำนักมังกรน้ำ ในเมื่อเขาซุนเจี๋ยได้รับคำสั่งแล้วก็แค่ไม่ปรากฏตัวเท่านั้น แต่นี่เห็นได้ชัดว่าเจินเหรินผู้เฒ่าจะไปเยือนถ้ำสวรรค์วังมังกร จะให้เขาซุนเจี๋ยอยู่ต่อที่ศาลบรรพจารย์ก็ไม่เหมาะสมตามหลักมารยาทอย่างยิ่ง ต่อให้จะถูกเจินเหรินผู้เฒ่าตำหนิต่อหน้า แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้สำนักมังกรน้ำของตนเสียมารยาท

แม้ว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะไม่ค่อยยินดีพบปะพูดคุยด้วยมากนัก แต่จะดีจะชั่ว   อีกฝ่ายก็เป็นถึงเจ้าสำนักอักษรจง ไม่ควรยื่นมือไปตบคนที่ยิ้มให้ เขาจึงกล่าวว่า     “ข้าผู้เป็นนักพรตเพียงแค่มาท่องเที่ยวที่นี่พร้อมกับลูกศิษย์เท่านั้น”

เวลาเดียวกันนั้นเขาก็ได้ใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่ซุนเจี๋ยอย่างชัดเจน “เจ้าสำนักซุน ลูกศิษย์ของข้าคนนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องด้านล่างภูเขา รบกวนช่วยปิดบังไว้สักหน่อย”

ซุนเจี๋ยพลันเข้าใจได้ทันที เขาประสานมือคารวะ เปิดปากยิ้มกล่าวว่า       “คารวะเจินเหริน”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม

จางซานเฟิงมึนงงไปหมด แม้แต่เรื่องที่ว่าจะเรียกอีกฝ่ายอย่างไรก็ยังไม่รู้ จึงได้แต่ประสานมือคารวะอีกฝ่าย “ผู้น้อยจางซานเฟิงคารวะผู้อาวุโส”

ซุนเจี๋ยรีบคารวะกลับคืนทันที

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฮว่อหลงเจินเหริน คู่ควรได้รับการคาระจากเจ้าสำนักมังกรน้ำเช่นเขาแล้ว

นี่ทำให้จางซานเฟิงรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง จึงได้แต่คารวะกลับคืนไปอย่าง    นอบน้อมอีกครั้ง

ฮว่อหลงเจินเหรินรู้สึกจนใจเล็กน้อย

ซุนเจี๋ยเองก็รู้สึกว่าแบบนี้ไม่เหมาะสมนัก จึงไม่ยึดติดกับพิธีการอันซับซ้อนอีก    ทำเพียงแค่เดินไปเป็นเพื่อนเจินเหรินผู้เฒ่าระยะทางหนึ่ง

ทุกครั้งที่ฮว่อหลงเจินเหรินลงจากเขามาฝึกประสบการณ์ มักจะไปมาเพียงลำพัง    แทบไม่เคยมีครั้งไหนที่พาลูกศิษย์ติดตามมาข้างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็น                     ไท่เสียหยวนจวินที่โชคร้ายลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรือว่าลูกศิษย์ทั้งหลายของสายอื่น    ที่ได้เปิดภูเขาเป็นของตัวเองอย่างภูเขาเถาซาน ภูเขาจื่อเสวียน ต่อให้แต่ละคน        จะมีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้า แต่ก็ไม่เคยได้ติดตามอยู่ข้างกายเจินเหรินผู้เฒ่าที่ชอบ  นอนหลับ เป็นคู่อาจารย์ศิษย์ที่ออกท่องเที่ยวไปด้วยกันทั่วสารทิศ และในความ     เป็นจริงแล้ว จางซานเฟิงลงจากภูเขามาครั้งนี้ ก็เป็นการเดินทางช่วงครึ่งหลังซึ่งผ่านมาได้หลายปีแล้ว เขาเดินทางลงใต้ไปตลอดจนกระทั่งไปถึงทวีปอื่น แล้วอาจารย์   ของตนถึงได้ตามไปเจอ จากนั้นก็ไปท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและ       ทักษินาตยทวีปด้วยกัน ก่อนหน้านั้นต่อให้ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย           ท้องร้องโครกครากไปตลอดทาง ก็ล้วนเป็นเขาจางซานเฟิงที่เผชิญอยู่คนเดียว        แม้จะบอกว่าเป็นการขัดเกลามรรคกถา แต่แท้จริงแล้วก็คือการลองลิ้มรสกับ      ความทรมานทุกข์ยากสารพัดรูปแบบ

ซุนเจี๋ยพาฮว่อหลงเจินเหรินและจางซานเฟิงไปส่งที่เหลาสุรา แล้วจึงขอตัวลาจากไป

ตลอดทางมานี้ล้วนเป็นจางซานเฟิงที่พูดคุยกับเขา น่าจะเป็นเพราะกังวลว่าอาจารย์จะรับมือกับการสมาคมกับผู้อื่นไม่ได้ เขาที่เป็นลูกศิษย์จึงได้แต่ทำหน้าที่แทน

ในขณะที่ซุนเจี๋ยกำลังจะหมุนตัวกลับ ฮว่อหลงเจินเหรินก็ได้เปิดปากเอ่ยว่า    “ทางฝั่งของหลี่หยวน ข้าผู้เป็นนักพรตจะช่วยเจ้าพูดสักคำสองคำแล้วกัน”

ซุนเจี๋ยเตรียมจะคารวะ

ฮว่อหลงเจินเหรินกลับโบกมือ “ช่างเถิด”

หลังจากที่ผู้อาวุโสที่มีมารยาทอย่างถึงที่สุดผู้นั้นจากไปแล้ว จางซานเฟิงถึงได้ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงไม่สนใจคนเขาเลย”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ไม่ใช่สหาย ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องพูดคุย ต่อให้เป็นสหายก็ใช่ว่าจะมีเรื่องให้คุย”

ฮว่อหลงเจินเหรินเผยสีหน้าของการระลึกถึงความทรงจำ ตนมีสหายหรือไม่? แน่นอนว่ามี อีกทั้งยังมีไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ล้วนเป็นคนในอดีตไปหมดแล้ว

มีชีวิตอยู่มานานเกินไป ก็ดูเหมือนว่าจะทำได้แค่ส่งอำลาสหายแต่ละคน บางคนสามารถบอกลาต่อหน้า บางคนไม่อาจทำได้

ทำได้หรือไม่ได้ อันที่จริงก็ล้วนเป็นเรื่องที่ชวนเสียใจทั้งสิ้น

นี่ไม่เกี่ยวข้องว่ามรรคกถาสูงหรือต่ำ

ดังนั้นการที่ลูกศิษย์ข้างกายได้รู้จักกับเฉินผิงอันที่ชอบใช้เหตุผล รู้จักกับสวีหย่วนเสียที่ชอบเขียนบันทึกภูเขาสายน้ำ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก

และจางซานเฟิงกับเฉินผิงอันต่างก็ให้ความเคารพจอมยุทธเคราดกผู้นั้น       อย่างแท้จริง นี่ก็ยิ่งดีเข้าไปอีก

นิสัยใจคอเข้ากันได้ ร่วมทุกข์ร่วมยาก ดื่มน้ำเปล่าก็ยังได้รสชาติยิ่งกว่าดื่มสุรา

การปักบุปผาลงบนผ้าแพรที่ปากเรียกขานกันเป็นที่เป็นน้อง แท้จริงแล้วในกลุ่ม  บุปผากลับซ่อนมีดเอาไว้

แต่การส่งถ่านท่ามกลางหิมะในบางครั้ง เป็นสหายที่ใช้สองมือประคองถ่านร้อนๆ มาส่งให้ ส่งเสร็จแล้วก็กุมหมัดโบกมือ บอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

ยังอยู่ห่างจากประตูเมือง ‘จี้ตู๋หลบร้อน’ แห่งนั้นมาอีกประมาณสามสิบสี่สิบลี้ จางซานเฟิงก็เอ่ยถามว่า “อาจารย์ท่านรู้ตำแหน่งของเฉินผิงอันได้อย่างไร?”

เจินเหรินผู้เฒ่าตอบ “นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก เพียงแต่ว่าเขาเฉินผิงอันมีความเชื่อมโยงกับเจ้าอย่างลึกล้ำ ยกตัวอย่างเช่นตราประทับเทียนซือชิ้นนั้น และยังมี    กระบี่โบราณที่เจ้าสะพายไว้บนหลังตอนนี้ ล้วนเป็นโชควาสนาเขาที่ได้มาครองก่อน จากนั้นก็ส่งมอบมันต่อให้แก่เจ้า นี่ถึงเป็นการมอบเบาะแสบางอย่างให้กับอาจารย์ บวกกับที่เฉินผิงอันอยู่ที่อุตรกุรุทวีปพอดี หากอยู่ที่ทวีปอื่น อาจารย์ก็คำนวณได้    ยากแล้ว”

อันที่จริงยังมีความลับอีกเรื่องหนึ่งที่ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ได้บอกกับจางซานเฟิงอย่างชัดเจน นั่นก็คือในตรอกของหมู่บ้านทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปปีนั้น ทั้งสองฝ่ายได้พบเจอกัน เพื่อให้เป็นของขวัญตอบแทน เจินเหรินผู้เฒ่าจึงได้มอบของขวัญพบหน้าชิ้นหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน ช่วยให้ในอนาคตเด็กคนนั้นสามารถเดินบนเส้นทางของการฝึกยุทธได้มั่นคงอีกหน่อย เพราะถึงอย่างไรความสัมพันธ์ควันธูปที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาพูดคุยอะไร

แล้วนับประสาอะไรกับที่ลูกศิษย์ของตนคนนี้รู้สึกว่ามรรคกถาของอาจารย์ตัวเองไม่สูง

ฮว่อหลงเจินเหรินก็ไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ผิด

มรรคกถาของข้าผู้เป็นนักพรตสามารถสูงได้เท่ามรรคาจารย์เต๋าหรือ?

ไม่ได้แน่นอน

ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าไม่สูงน่ะสิ

ไปถึงทางเข้าถ้ำสวรรค์วังมังกร ผลกลับได้ยินว่าต้องควักเงินร้อนน้อยสองเหรียญ ตอนนั้นจางซานเฟิงก็รู้สึกแล้วว่าสำนักมังกรน้ำแห่งนี้ใจดำยิ่งนัก

จางซานเฟิงกัดฟัน ควักเงินร้อนน้อยสองเหรียญออกมาจากชายแขนเสื้อ      อย่างอิดออด แล้วมอบให้กับผู้ฝึกตนสำนักมังกรน้ำที่เป็นคนเฝ้าประตู

ตอนที่ผ่านประตูเมือง จางซานเฟิงลูบคลำหมุดที่ปักอยู่บนริมขอบของประตูใหญ่สีชาด แล้วก็ไม่ลืมหันหน้ามาพูดกับเจินเหรินผู้เฒ่าว่า “อาจารย์ ลองลูบดูบ้างไหม?    ปีนั้นเฉินผิงอันเคยพูดให้ฟังถึงขนบธรรมเนียมของบ้านเกิดหลายข้อ หนึ่งในนั้นก็คือเดินบนหัวกำแพงเมืองร้อยโรคหายสิ้น เดินผ่านประตูเมืองลูบหมุดประตูล้วนสามารถขับไล่เสนียดชั่วร้ายไปได้”

ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้ายิ้มๆ “อาจารย์คงไม่ทำแล้วล่ะ”

จางซานเฟิงเดินผ่านกรอบประตูเมืองมาก็เห็นแท่นบันไดหยกขาวที่ยาว          เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้นนั้น เขาพลันเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “มีพลัง มีพลังอำนาจจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นตระกูลเซียนอักษรจง!”

ยอดเขาพาตี้บ้านตัวเองเป็นแค่ทางขึ้นเขาเล็กๆ ที่คดเคี้ยวเส้นหนึ่งเท่านั้น      บนทางยังมีกอหญ้างอกเติบโต เพียงแต่ว่าผลไม้ป่าก็มีเยอะ ก่อนที่จางซานเฟิง        จะลงเขาไปฝึกประสบการณ์จึงมักจะพาพวกนักพรตน้อยกลุ่มใหญ่ไปเก็บผลไม้        ในภูเขา ทุกครั้งล้วนได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมาเต็มไม้เต็มมือ

เดินไปถึงบนยอดเขา มองเห็นกำแพงมังกรสิบหกตัวใต้ฝ่าเท้า จางซานเฟิงก็ยิ่งรู้สึกว่าสำนักมังกรน้ำช่างร่ำรวยจริงๆ พอคิดว่าบารมีตระกูลเซียนของสำนักมังกรน้ำแห่งนี้ มีเงินร้อนน้อยสองเหรียญที่ตนเป็นผู้อุทิศให้รวมอยู่ด้วย เขาก็พลันอารมณ์ดี

ฮว่อหลงเจินเหรินถามด้วยรอยยิ้ม “ยังคงรู้สึกว่ารังเงินรังทองก็ไม่สู้รังหญ้าของบ้านตัวเองอยู่อีกไหม?”

จางซานเฟิงพยักหน้ารับ “ก็ใช่น่ะสิ ได้พบเฉินผิงอันแล้ว พวกเรากลับบ้านกันเถอะขอรับ!”

เจียวหลงหิมะขาวสิบหกตัวทะยานขึ้นกลางอากาศ ทะลุเข้าสู่ทะเลเมฆ มุ่งตรงไปยังถ้ำสวรรค์วังมังกร

ในห้องบนเกาะเป็ดน้ำ

เฉินผิงอันเริ่มหลับตาทำสมาธิ ครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะหยิบพู่กันและกระดาษออกมา เขาคลี่กระดาษออก แล้วเริ่มยกพู่กันเขียนจดหมายตอบกลับ

ชื่อพื้นที่มงคลรากบัวนี้ ฟังแล้วไม่เลว ก็ให้ตั้งชื่อไปตามนี้

หลังจากที่ช่องโหว่ของพื้นที่มงคลแห่งนี้ได้รับการชดเชย จนเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางแล้ว ที่ตั้งของศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในอนาคตก็สามารถ      ทำการตรวจสอบอย่างลับๆ แล้วเลือกให้เป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยวิเศษได้ แต่ภูเขาลั่วพั่ว      ไม่ต้องรีบร้อนลงนามในสัญญาใดๆ กับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน รอให้เขากลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วก่อนค่อยว่ากัน ถึงเวลานั้นเขาจะไปเยือนด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่ว่าฮ่องเต้พระองค์นี้จะเสนอเงื่อนไขที่ดีมากแค่ไหน จูเหลี่ยนเจ้าก็ต้องถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน

เว่ยป้อฝ่าทะลุขอบเขตคือเรื่องน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องเตรียมของขวัญแสดงความยินดีชิ้นหนึ่ง ในส่วนของเขาเฉินผิงอันต้องเป็นวัตถุบนภูเขาที่เป็นระดับขั้นของสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง สามารถยืมเอาจากเจียงซ่างเจินแห่งสำนักเจินจิ้งก่อนชั่วคราวได้ หากจูเหลี่ยนรู้สึกว่าเหมาะสมดีแล้ว ก็สามารถตอบตกลงให้เขาใช้สถานะของก่อกำเนิดและนามแฝงว่าโจวเฝยมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว เงื่อนไขก็คือสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมา ส่วนของขวัญแสดงความยินดีของผู้น้อยอย่างพวกเผยเฉียน หากเป็นของขวัญที่     เบาหน่อยก็ไม่เป็นไร ยกตัวอย่างเช่นสามารถให้เผยเฉียนเขียนกลอนคู่ที่เป็น      ถ้อยคำมงคล แน่นอนว่าหากเผยเฉียนมีความคิดเป็นของตัวเอง ก็ยิ่งดี

ทางฝั่งของหลิวจ้งรุ่น จูเหลี่ยนสามารถเรียกหลูป๋ายเซี่ยงให้ไปขุดค้นตำหนักวารีกับเรือมังกรด้วยกันได้ นี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ก่อนที่จะทำเรื่องนี้จำเป็นต้องบอกกล่าวให้ชุยตงซานรู้เสียก่อน รอฟังคำตอบกลับที่แน่ชัดจากเขา ทั้งสองฝ่ายถึงจะสามารถเดินทางออกจากต้าหลีได้ หากชุยตงซานรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำ ถ้าอย่างนั้น  ก็ปฏิเสธหลิวจ้งรุ่นไปโดยตรง ไม่เพียงเท่านี้ ยังต้องเตือนนางให้ตัดใจจากเรื่องนี้       ให้ขาด พูดจารุนแรงได้ไม่เป็นไร ในเมื่อทั้งสองฝ่ายจะเป็นเพื่อนบ้านกันบนภูเขาไป  อีกนาน ถ้อยคำจากใจจริงที่ไม่น่าฟัง อีกฝ่ายจะฟังหรือไม่ฟังเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ตัวเองจะพูดหรือไม่พูดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เขียนจดหมายมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หยุดพู่กันครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ยกพู่กันเขียนจดหมายต่อ

หากหลิวจ้งรุ่นดึงดันจะเสี่ยงอันตรายทำเรื่องนี้ ภูเขาลั่วพั่วก็จะดึงเอาสัญญาเช่าของภูเขาหลังอ๋าวกลับคืนมา ผลลัพธ์ที่ตามมาและค่าชดเชยหลังจากที่ทำลายสัญญา ภูเขาลั่วพั่วควรจะแบกรับเท่าไรก็จะแบกรับไว้เท่านั้น

แทนที่ภายหลังจะต้องถูกผู้ฝึกตนของเกาะจูไชพาให้เดือดร้อนจนหัวหูไหม้       ถูกหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันรู้ตัวลามมาสู่ตัว ก็ไม่สู้รีบตัดขาดความสัมพันธ์กัน      แต่เนิ่นๆ ภูเขาลั่วพั่วต้องการดำเนินกิจการไปอย่างยาวนาน ดั่งกระแสน้ำเส้นเล็ก   ไหลยาว บางอย่างที่ต้องสละทิ้งและเลือกเก็บรักษาไว้ ก็ยังต้องทำ แทนที่วันหน้า     จะถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเปลี่ยนจากมิตรกลายมาเป็นศัตรูกัน ต่างคนต่างเคียดแค้นกันเอง ก็ไม่สู้ตัดขาดกันแต่เนิ่นๆ ยอมถูกเกาะจูไช่ที่เดินทางมาเสียเที่ยวตำหนิยังดีกว่า หากเกิดภาวะชะงักงันเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็จำเป็นต้องทำการชดเชยอย่างลับๆ ยกตัวอย่างเช่นติดต่อทักทายไปหาเจียงซ่างเจินและกวนอี้หราน ให้พวกเขาช่วยดูแลเกาะจูไชบนทะเลสาบซูเจี่ยน เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกแก่หลิวจ้งรุ่น น้ำใจไม่เล็กที่ภูเขาลั่วพั่วติดค้างไว้ก็ให้ติดไว้ก่อนสองครั้งนี้ รอให้เขาเฉินผิงอันกลับไปถึง         แจกันสมบัติทวีปเมื่อไหร่ ย่อมมีแผนการอย่างอื่นมาใช้รับมือเอง

ทางฝั่งของต่งสุ่ยจิ่ง หากเป็นเรื่องที่ภูเขาลั่วพั่วสามารถช่วยเหลือได้ ขอแค่        ไม่เกี่ยวข้องกับความถูกผิดที่เป็นเรื่องใหญ่ก็พยายามช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด          ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องผลได้ผลเสีย แต่การช่วยเหลือใดๆ ก็ตาม            ที่มีต่อต่งสุ่ยจิ่งก็ไม่สามารถเอามาหักลบผลประโยชน์จากฝั่งของกวนอี้หรานแม่ทัพ    ที่ปักหลักอยู่ในนครน้ำบ่อได้เด็ดขาด เรื่องนี้จำเป็นต้องให้จูเหลี่ยนคิดพิจารณา     อย่างละเอียด ชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวังเอาเอง ส่วนความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างต่งสุ่ยจิ่งกับเจ้าเมืองหยวนและผู้ตรวจการเฉา ภูเขาลั่วพั่วจะไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแม้แต่นิดเดียว แต่เว่ยหลี่ผู้ว่าคนใหม่ที่เคยเป็นเจ้าเมืองของแคว้นหวงถิง            ภูเขาลั่วพั่วสามารถไปมาหาสู่กับเขาบ่อยๆ ได้ คนผู้นี้มีค่ามากพอให้คบหาเป็น     สหายได้ แต่แรงไฟที่เป็นรูปธรรมควรเป็นอย่างไร จูเหลี่ยนเจ้าก็กะเอาเองแล้วกัน    อีกอย่างก็คือเทพอภิบาลเมืองคนใหม่ของจังหวัดที่จู่ๆ ก็โผล่มาคนนั้น ในเมื่อ          คนจิ๋วควันธูปของท่านเทพอภิบาลเมืองสนิทสนมกับเผยเฉียนมานานแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถแอบกำชับกับเผยเฉียนได้ว่า ให้คบหากับคนจิ๋วควันธูปผู้นั้นด้วยจิตใจที่เป็นปกติดังเดิมก็พอ นอกจากนี้แล้ว ภูเขาลั่วพั่วก็จำเป็นต้องมีการไปมาหาสู่กับ         เทพอภิบาลเมืองที่จู่ๆ ก็โผล่มาท่านนี้เช่นกัน แต่ก็เอาแค่พอสมควร

ให้มีแค่มิตรภาพที่ตื้นเขิน ไม่ลึกซึ้ง เพราะอีกฝ่ายสามารถเปลี่ยนจากเทพแห่งผืนดินเล็กๆ คนหนึ่ง กระโดดขึ้นมาเป็นเทพอภิบาลเมืองของจังหวัดหนึ่งได้ ภูมิหลังจะต้องซับซ้อนมากอย่างแน่นอน ภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ยังคงแสวงหาความมั่นคงเป็นหลัก หลีกเลี่ยงไม่ให้โดนลูกหลงจากการตีกันของเทพเซียนบางคนในราชสำนักต้าหลี ตอนนี้ใจกลางของต้าหลีต้องเป็นสถานการณ์อันตรายที่มีแต่ลูกคลื่นประหลาด          มีน้ำวนกระจายตัวอยู่ทั่วทุกแห่งอย่างแน่นอน

ทางฝั่งของฟ่านเอ้อร์และซุนเจียซู่ของนครมังกรเฒ่า ตอนที่จูเหลี่ยนมีเวลาว่าง     ก็รบกวนให้เขาไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองรอบหนึ่ง ถือว่าเป็นตัวแทนของเฉินผิงอัน     ไปเยี่ยมเยือนเพื่อขอบคุณ ในระหว่างนี้หากกุ้ยฮูหยินของเกาะกุ้ยฮวาไม่ได้           ออกเดินทางข้ามทวีป จูเหลี่ยนก็ต้องไปเยี่ยมนางด้วยตัวเองด้วย และยังมีผู้ถวายงาน  ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตระกูลฟ่านอย่างท่านผู้เฒ่าหม่าจื้อ จูเหลี่ยนก็สามารถ       พกเหล้ากาหนึ่งไปเยี่ยมหา เหล้าหมักตระกูลเซียนที่ฝังไว้ใกล้กับเรือนไม้ไผ่       สามารถขุดเอาออกมาสองกาไปมอบให้ท่านผู้เฒ่าเป็นคู่ได้

เรื่องที่หลิวจื้อเม่าผู้ถวายงานขอบเขตก่อกำเนิดเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ     ไม่จำเป็นต้องสนใจ ยิ่งไม่ต้องส่งของขวัญไปร่วมอวยพร

ภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นของสกุลสวี่สองสถานที่นี้ ให้อาศัยมือของคนอื่นรวบรวมข้อมูลน้อยใหญ่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างลับๆ ต่อไป

นอกจากนี้กิจธุระน้อยใหญ่อีกยี่สิบกว่าอย่าง เฉินผิงอันล้วนทยอยเขียนลงไปในจดหมายฉบับนี้ เรื่องส่วนใหญ่ล้วนบอกให้จูเหลี่ยนจัดการเอาเอง เฉินผิงอันเพียงแค่เอ่ยเตือนเท่านั้น แค่บอกจูเหลี่ยนว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่

นอกจากนี้ก็คือเรื่องบางอย่างที่เขาเฉินผิงอันตัดสินใจได้แล้ว หากพวกจูเหลี่ยนสามคนรู้สึกว่าทิศทางไม่ถูกต้อง จำเป็นต้องใคร่ครวญต่ออีก ถ้าอย่างนั้นก็สามารถส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้หลี่หลิ่วได้ เพราะก่อนที่เขาจะย้อนกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป จะต้องไปเยือนยอดเขาสิงโตก่อนรอบหนึ่งแน่นอน

สุดท้ายเฉินผิงอันไม่ได้เขียนจดหมายให้เผยเฉียนโดยเฉพาะ เพียงแค่เขียนไว้ในช่วงท้ายของจดหมายว่าให้นางเขียนจดหมายติดต่อกับพี่หญิงเป่าผิงของนางบ่อยๆ แล้วยังต้องช่วยฝากบอกเฉินหรูชู เฉินหลิงจวิน แน่นอนว่ายังมีโจวหมี่ลี่                 รวมไปถึงสือโหรวที่เป็นเถ้าแก่อยู่ในร้านตรอกฉีหลงแทนอาจารย์อย่างเขาว่าให้ดูแลตัวเองด้วย แล้วก็ยังพร่ำพูดอีกหลายอย่าง กำชับเผยเฉียนว่าอยู่โรงเรียนห้ามเกเรเด็ดขาด หากรู้สึกว่าอาจารย์ที่สอนหนังสือยังมีความสามารถไม่สูงพอ ถ้าอย่างนั้น     ก็เรียนรู้วิธีการวางตัวจากอาจารย์เหล่านั้น หากรู้สึกว่าพวกอาจารย์ในโรงเรียนมี      วิธีวางตัวในสังคมที่ไม่โดดเด่นอะไร ถ้าอย่างนั้นก็เรียนรู้แค่หลักการเหตุผลของ     อริยะปราชญ์บนตำรามาจากพวกเขา

ช่วงท้ายของจดหมายฉบับนี้ เฉินผิงอันตอบรับเผยเฉียนว่า ภายใต้การแนะนำอย่างสุดกำลังของลูกศิษย์เปิดขุนเขาของตน เขาจึงตกลงให้เลื่อนขั้นโจวหมี่ลี่           ภูตน้ำใหญ่ของทะเลสาบคนใบ้ให้เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังอนุญาตให้เผยเฉียนเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศให้รับรู้ทั่วกันทั้ง        ภูเขาลั่วพั่ว

ตอนที่ตวัดพู่กันเบาๆ เขียนประโยคนี้ แม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็ยังไม่รู้ว่าใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตาอ่อนโยน

เขียนจดหมายเสร็จ เฉินผิงอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สอดสองมือรองไว้ใต้       ท้ายทอย หลับตาลง หวนนึกถึงคนจิ๋วดอกบัวที่ว่ากันว่ายังคงไม่ชอบปรากฎตัวตนนั้น ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิด ต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นสองข้างขั้นบันไดทางขึ้นเขา บุปผาที่จะผลิบานในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าจะงอกงามได้ดียิ่งกว่าในอดีตหรือไม่

ทุกครั้งที่เป็นช่วงงานพิธีกรรมยันต์ทอง ถ้ำสวรรค์มังกรจะต้องมีฝนตกชุก

เฉินผิงอันเก็บจดหมายแล้วเดินออกมาจากห้อง หยิบร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นขึ้นมา ออกจากเรือนไปเดินเล่นอยู่ข้างนอกอีกครั้ง

คิดว่าหลังจากเดินเล่นเสร็จแล้วจะมอบจดหมายฉบับนี้ให้หลี่หยวนส่งไปยังภูเขาลั่วพั่ว

เฉินผิงอันเดินบนทางเส้นเล็กหินเขียวที่อยู่ติดกับสายน้ำของเกาะเป็ดน้ำ แล้วจู่ๆ ก็หันหน้าไปมองมุมหนึ่ง พอจะมองเห็นว่ามีเรือยันต์ลำหนึ่งลอยมาช้าๆ

เขาที่อยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกร นอกจากหลี่หยวนและเหนียงเนียงของตำหนักหนานซวินแล้ว ก็ไม่รู้จักใครอีก

เรือยันต์พลันพุ่งมาอย่างรวดเร็วราวกระบี่บิน พลิ้วกายลงบนทะเลสาบ แล้วจอดเทียบท่าอย่างมั่นคง

เฉินผิงอันเพ่งสายตามองไป ต้องขยี้ตาตัวเองถึงจะมั่นใจได้ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด

เขารีบบังคับแผ่นหยก ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ ให้สลายตราผนึกภูเขาสายน้ำของเกาะเป็ดน้ำ

ฮว่อหลงเจินเหรินได้สลายเวทอำพรางตาที่อยู่บนร่างของพวกเขาสองอาจารย์และศิษย์ออกแล้วเช่นกัน จางซานเฟิงหัวเราะร่าเสียงดัง “เฉินผิงอัน!”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้ามาได้อย่างไร? ข้ายังคิดอยู่ว่าเดินเที่ยวลำน้ำจี้ตู๋สายนี้เสร็จจะไปหาเจ้าที่ยอดเขาพาตี้อยู่พอดี”

จางซานเฟิงก้าวเดินยาวๆ เข้าหาเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยื่นร่มกระดาษน้ำมันที่อยู่ในมือให้กับจางซานเฟิง จากนั้นก็ค้อมเอว    กุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยเฉินผิงอันคารวะเจินเหรินผู้เฒ่า!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!