หลังจากสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันเดินมาหาตน จางซานเฟิงก็ลุกขึ้นยืน เก็บร่มกระดาษน้ำมัน เดินเข้าหาเฉินผิงอัน จากนั้นก็เดินถอยหลัง ถามอย่างเป็นกังวลว่า “ไม่มีเรื่องแล้ว?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “มีเรื่อง แล้วก็ไม่มีเรื่อง”
จางซานเฟิงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เล่าเรื่องที่ข้าฟังเข้าใจสักหน่อยสิ!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเรื่อง”
จางซานเฟิงถามอีก “จริงหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “จริงยิ่งกว่าเงินเทพเซียนเสียอีก”
พอจางซานเฟิงนึกถึงเรื่องนี้ก็ให้ปวดหัว “สำนักมังกรน้ำแห่งนี้ไม่มีคุณธรรม เอาเสียเลย ลำพังเพียงแค่เข้ามาในถ้ำสวรรค์วังมังกรก็ต้องเก็บเงินตั้งหนึ่งเหรียญ เงินร้อนน้อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้ข้าติดหนี้ตั้งสองพันกว่าเหรียญเงินฝนธัญพืช”
จางซานเฟิงนับนิ้วคำนวณ เฉินผิงอันเพิ่งจะพูดว่าหยุดเลย จางซานเฟิงก็หลุดปาก พูดออกมาแล้วว่า “เงินเกล็ดหิมะสองล้านกว่าเหรียญ?!”
เฉินผิงอันยกมือขึ้นมาเช็ดหน้า
ในเรื่องของการหาเงินนั้น คนชอบหักเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งให้เป็นเงิน เกล็ดหิมะมากที่สุด แต่เวลาที่ติดหนี้กลับชื่นชอบไม่ลงเลยจริงๆ
จางซานเฟิงพลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เรื่องบางอย่าง เพื่อนก็ช่วยไม่ได้ ได้แต่อาศัยตัวเองให้ค่อยๆ คิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้ง”
ลงจากเขามากำจัดปีศาจปราบมารฝึกประสบการณ์ครั้งแรก เทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ผู้นี้ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากทรมานจนแทบจะผ่านพ้นไปไม่ได้ เขาถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาด มุ่งหน้าตรงไปยังแจกันสมบัติทวีป ถึงได้รู้จักกับเฉินผิงอันและสวีหย่วนเสีย ปมในใจถึงได้ค่อยๆ คลายออก และยังบรรลุวิชาหมัดหยาบๆ ชุดหนึ่งที่ไม่อาจเอามาเป็นหน้าเป็นตาได้
เฉินผิงอันอืมรับเบาๆ
ส่วนลึกในใจที่ถูกเคาะถาม เจ็บปวดราวถูกคว้าน
สภาพจิตใจของเฉินผิงอันในเวลานี้ แน่นอนว่าไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนอย่างสีหน้าและอย่างที่ปากเขาว่า
จางซานเฟิงควักขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งออกมาจากห่อผ้า “โอสถวารีขวดนี้ สหายที่ทะเลสาบเสิ้นเจ๋อแผ่นดินกลางของอาจารย์คนหนึ่งมอบให้ อาจารย์บอกว่าเจ้ามอบตราประทับเทียนซือและกระบี่เจินอู่ให้กับข้า ข้าก็ควรต้องมอบของตอบแทน”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้แสดงความเกรงใจตามมารยาทอะไร เขารับขวดกระเบื้องใบนั้นมา เมื่ออยู่ในฝ่ามือก็ไม่เพียงรู้สึกเย็นฉ่ำ จวนน้ำในร่างของตนก็ยังมีความเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นด้วย เขาจึงอดไม่ไหวถามอย่าง ใคร่รู้ว่า “เทพวารีของทะเลสาบเสิ้นเจ๋อแผ่นดินกลางเป็นผู้มอบให้?”
เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นก็เคยมอบโอสถวารีให้เขาเหมือนกัน ในอดีตก่อนหน้านี้ เขาก็เคยได้สัมผัสกับโอสถของตำหนักวารีที่หลิวจ้งรุ่นเก็บรักษาไว้อย่างลับๆ มาก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับโอสถวารีทะเลสาบเสิ้นเจ๋อในมือตอนนี้ ก็ยังแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
จางซานเฟิงพยักหน้ารับ “คือโอสถวารีทะเลสาบเสิ้นเจ๋อ เพียงแต่อาจารย์บอกว่าระดับขั้นไม่สูงมากนัก อาจารย์ยังบอกอีกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเทพวารีของแต่ละฝ่ายธรรมดา จึงไม่อาจขอโอสถวารีที่ดีที่สุดมาได้”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คำว่า ‘ดีที่สุด’ ของฮว่อหลงเจินเหริน นั่นก็แสดงว่าต้องดีที่สุดในตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลแล้ว และคำว่า ‘ไม่สูงมาก’ ก็แสดงว่าต้องสูงมากๆ
ทะเลสาบเสิ้นเจ๋อมีชื่อเสียงในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาก อาณาเขตน่านน้ำกว้างขวาง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์ จวนน้ำของ เจ้าแห่งทะเลสาบก็คือตำหนักเหมี่ยนฉือที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว เล่าลือกันว่า วัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะคือข้องราชามังกรใบหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกมนุษย์ โบราณสถานของทะเลสาบเสิ้นเจ๋อมีเรื่องเล่ามหัศจรรย์สืบทอดต่อกันมามากมาย เล่าลือกันว่าเคยมีนักพรตไม่ทราบนามท่านหนึ่งล่องเรือท่องทะเลสาบเสิ้นเจ๋อในค่ำคืนที่แสงจันทร์ใสกระจ่าง คืนนั้นมีเจียวหลงหลบหนีทัณฑ์สวรรค์เข้ามาในทะเลสาบ เสิ้นเจ๋อ สายฟ้าที่เป็นดั่งโซ่ตรวนแลบปลาบบดบังไปทั่วฟ้าดิน เจียวหลงตัวนั้นจึงหนีเข้าไปในชายแขนเสื้อของนักพรตเต๋า นักพรตเต๋าเล่นงานให้ทัณฑ์สวรรค์ถอยร่นไปได้อย่างง่ายๆ ช่วยให้เจียวหลงข้ามพ้นหายนะมาได้ ภายหลังจึงมีบทกลอนงดงามที่ กล่าวว่า ‘ตรวนสายฟ้าไร้ที่ให้หลบเลี่ยง หนีเข้าไปในชายแขนเสื้อของท่านอาจารย์’
เฉินผิงอันกุมโอสถวารีที่หนักอึ้งขวดนั้นเอาไว้ หันหน้าไปมองแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “จางซานเฟิง เจ้ามีอาจารย์ที่ดี”
จางซานเฟิงอารมณ์ดีโดยพลัน “ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจินเหรินผู้เฒ่าก็มีลูกศิษย์ที่ดี”
จางซานเฟิงส่ายหน้า “ลูกศิษย์อย่างข้า ที่ยอดเขาพาตี้มีเยอะนักล่ะ”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าว่าไม่เยอะหรอก”
จางซานเฟิงยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง “เชิญพูดความจริงที่เหลวไหลได้ตามสบาย”
เฉินผิงอันกอดไหล่นักพรตหนุ่ม จางซานเฟิงงอตัว หมายจะเป็นฝ่ายกลับไป กอดคอเฉินผิงอัน
เล่นสนุกต่อยตีกันไปตลอดทาง
เฉินผิงอันพาจานซานเฟิงเข้ามาในเรือน เดินเข้าไปในห้อง
จางซานเฟิงชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวและเจี้ยนเซียนที่อยู่บนผนัง แล้วยิ้มกล่าวว่า “เหมือนเดิมเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันยกเก้าอี้มาให้เขา คนทั้งสองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
แล้วจางซานเฟิงก็เริ่มเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองพบเห็นมาระหว่างเดินทางผ่านทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและทักษินาตยทวีปพร้อมกับอาจารย์ให้เขาฟัง สุดท้ายจึงพูดถึง หลิวเสี้ยนหยางที่ไปขอศึกษาต่ออยู่ในสกุลเฉินผู้รอบรู้
เฉินผิงอันรับฟังเรื่องเล่าของจางซานเฟิงเงียบๆ จิตใจสงบสุข ระลอกคลื่นในหัวใจเริ่มสงบลง
แล้วจางซานเฟิงก็เริ่มพูดคุยถึงเส้นทางการเดินทางกลับบ้านเกิดของตนเอง อีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่า เจ้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฟังไปฟังมากลับหลับไปเสียอย่างนั้น
จางซานเฟิงรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเบามือเบาเท้า แอบออกจากห้องไปเงียบๆ หลังจากปิดประตูลงเบาๆ แล้วก็ไปนั่งอยู่ใต้ชายคา เริ่มเหม่อลอย
วิถีทางโลกนั้นแปลกประหลาดอย่างมาก คนบางคนเอาแต่จับจ้องว่าคนอื่น มีอะไร แต่ไม่คิดว่าเป็นเพราะอะไร อาจารย์บอกว่านี่เรียกว่าใบไม้บังตา และยังบอกอีกว่าจุดที่ยิ่งแปลกประหลาดของวิถีทางโลกก็คือ คิดเช่นนี้กลับไม่แน่เสมอไปว่า จะเป็นเรื่องร้ายไปเสียทั้งหมด
จางซานเฟิงรู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวเองเข้ากับวิถีทางโลกไม่ได้เลย นี่ไม่ได้เกี่ยว กับว่าขอบเขตสูงหรือต่ำ
มีเพียงอยู่บนภูเขาพาตี้แล้วฝึกตนไปช้าๆ หรือไม่ก็ออกเดินทางท่องยุทธภพร่วมกับเฉินผิงอัน สวีหย่วนเสีย หรือไม่ก็อยู่เพียงลำพังคนเดียว เผชิญหน้ากับ ภูเขาสายน้ำฟ้าดินที่เงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ห่างไกลจากเรื่องครึกครื้น เขาก็ไม่มีทางทำความผิดที่เป็นการทำร้ายคนอื่น ฟ้าดินก็ไม่ทำร้ายเขา จางซานเฟิงถึงจะได้ รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
จางซานเฟิงจึงถามอาจารย์ว่า จิตถามมรรคาของตนเกิดปัญหาใหญ่ใช่หรือไม่
อาจารย์กลับบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร ยังบอกอีกว่าลัทธิขงจื๊อกำลังทำเรื่องที่เป็นการบวกเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ฝึกตน ปกครองบ้านเรือน ปกครองแคว้น ใต้หล้าสงบสุข ล้วนเอามายกยอดรวมไว้ที่ตัวเองทั้งสิ้น หากแบกรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้ ก็จะได้เข้าไปอยู่ในศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ทว่าลัทธิเต๋ากลับกำลังลบให้น้อยลง แต่ละเรื่องล้วนสามารถขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจน ตัดขาดความสัมพันธ์ หากลืมทั้งตัวตนและวัตถุนอกกายได้ ก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวล สุดท้ายเจ้าก็จะได้เดินไปถึงสถานที่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ลัทธิพุทธใช้หีนยานพาตัวเองข้ามผ่านนทีแห่งทุกข์ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นมหายาน ที่นำพาทุกคนไปสู่พุทธภูมิ ค่อยๆ ตระหนักจนบรรลุธรรมกระจ่างแจ้ง ธงโบกสะบัดจิตใจก็ส่ายไหว ศีล สมาธิ ปัญญา ขาดไม่ได้ทั้งสามสิ่ง อันที่จริงก็ล้วนเป็น ลำดับขั้นตอนของการเพิ่มๆ ลดๆ มองดูเหมือนว่ารากฐานของทั้งสามฝ่ายแตกต่างกันอย่างมาก ทิศทางของเส้นทางก็ต่างกันนับพันนับหมื่น ทว่าแท้จริงแล้วการฝึกตน ก็คือคนเดินอยู่บนเส้นทาง ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างใกล้เคียงกัน
จางซานเฟิงนั่งอยู่บนขั้นบันได หันหน้าไปมองประตูห้องที่ปิดอยู่
อาจารย์พูดถูกแล้ว ทุกคนล้วนเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เมื่อปิดประตูแล้ว คนนอกก็มองไม่เห็นภาพบรรยากาศแท้จริงที่อยู่ในห้องอีกแล้ว
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงเฉินผิงอันเรียกหาจางซานเฟิงดังมาจากในห้องเบาๆ
จางซานเฟิงรีบตอบ “อยู่นี่ ข้าอยู่ข้างนอก”
เฉินผิงอันถึงได้พูดประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าอย่างนั้นข้าขอนอนต่ออีกหน่อย ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองค่อนข้างเหนื่อย”
จางซานเฟิงกล่าว “พักผ่อนให้ดี”
จางซานเฟิงเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งอยู่ที่เดิม โยกตัวไปด้านหน้าด้านหลังเบาๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
ด้านล่างภูเขามีเด็กบางคนที่เฉลียวฉลาดเกินวัย สุดท้ายจะได้เป็นตัวอ่อนผู้ฝึกตนบนภูเขาหรือไม่ อันที่จริงล้วนไม่ใช่เรื่องแปลก
เรื่องที่น่าแปลกอย่างแท้จริง ก็คือสามารถรองรับความรู้และจิตใจสองขั้ว ที่แตกต่างกันอย่างถึงที่สุดเอาไว้ได้ แล้วยังตีกันเองอยู่ตลอดเวลา ทว่าไม่ว่าใครก็ตี ใครตายไม่ได้ ในสายตาของฮว่อหลงเจินเหริน นี่ต่างหากถึงจะเป็นการขัดเกลา เป็นการฝึกตนที่แท้จริง
จิตใจที่บริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิด ยากตรงที่จะปกป้องรักษาเอาไว้ไม่ให้หายไปได้อย่างไร ความจริงใจหลังกำเนิด ยากตรงที่การตามหาให้เจอ คนที่จริงใจ จะมี ความจริงใจที่แท้จริง และความจริงใจที่แท้จริงจะสาดแสงส่องประกายดุจดวงตะวัน ทั้งยังสุกสกาวดุจแสงจันทรา
จางซานเฟิงลูกศิษย์ของตน กับเฉินผิงอันเพื่อนของเขา นิสัยสองอย่าง ก็จำเป็นต้องถ่ายทอดวิชาสองอย่าง
อันที่จริงฮว่อหลงเจินเหรินอยากจะตำหนิอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งและฉีจิ้งชุนผู้นั้นสักหน่อย เหตุใดในเมื่อยอมรับลูกศิษย์และศิษย์น้องเล็กของตนผู้นี้แล้ว ถึงได้ไม่ตั้งใจให้มากกว่านี้สักหน่อย ทำไมถึงปล่อยให้เขาเฉินผิงอันเตร็ดเตร่เพียงลำพังมาไกล ขนาดนี้? ไม่กลัวว่าเขานึกจะตายก็ตายไปจริงๆ หรือไร? แล้วก็ไม่กลัวว่าเขาจะ เดินทางผิด หรือไม่ก็ตัดใจวางลงได้อย่างสิ้นเชิง หันไปเป็นภิกษุแทน หรือไม่ก็คิด จนเข้าใจกระจ่างแล้วจึงเปลี่ยนไปเข้าลัทธิเต๋า? อันที่จริงนี่คือจุดที่ฮว่อหลงเจินเหรินไม่อาจทำความเข้าใจได้เลย เหตุใดอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งถึงได้ไม่เลือกพาเฉินผิงอันไปไว้ข้างกาย ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เขา แล้วก็แปลกใจที่ต่อให้ตอนนั้นฉีจิ้งชุนจำเป็นต้องตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยวิชาความรู้และความสามารถของฉีจิ้งชุน ก็เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถทำได้มากกว่านี้ แต่เหตุใดถึงไม่ยอมทำ
แต่ละคนใจกว้างไม่แพ้กันเลยจริงๆ
ฮว่อหลงเจินเหรินคิดว่าตัวเองใจกว้างมากพอแล้ว แต่เมื่อเทียบกับบัณฑิต สองคนนี้ ดูเหมือนว่าจะยังเทียบไม่ได้เลย
ฮว่อหลงเจินเหรินพลันร้องเอ๊ะหนึ่งที กวาดตามองไปรอบด้าน ดูเหมือนว่าเจอเรื่องที่ไม่เข้าใจอีกครั้ง แต่ฮว่อหลงเจินเหรินครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็คร้านจะถือสาให้มากความอีก
ใต้ทะเลสาบระหว่างเกาะป๋ายเจี่ยและเกาะชางหราน
รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่กลางน้ำ สุ่ยเจิ้งหลี่หยวนกับเหนียงเนียงตำหนักวารีหนานซวินยืนเคียงบ่ากัน
เสิ่นหลินกล่าวอย่างตกตะลึง “คนผู้นี้รู้จักฮว่อหลงเจินเหรินด้วยหรือ?”
หลี่หยวนหัวเราะเสียงหยัน “ข้าเองก็รู้จักตาแก่นั่นเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”
เสิ่นหลินหัวเราะ ต้องรู้จักแน่อยู่แล้ว แล้วยังถูกฮว่อหลงเจินเหรินใช้วิชาน้ำ สยบให้อยู่ใต้ลำน้ำจี้ตู๋ถึงเดือนกว่าๆ ด้วย
แม้จะบอกว่าคนทั้งอุตรกุรุทวีปต่างก็เชื่อมั่นว่าเจินเหรินผู้เฒ่าของยอดเขาพาตี้ คือผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญวิชาอัคคีที่สุดในโลก ไม่มีคำว่าหนึ่งใน แต่เรื่องที่แท้จริงแล้ว ฮว่อหลงเจินเหรินเชี่ยวชาญวิชาน้ำ กลับมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
เสิ่นหลินใคร่ครวญอย่างจริงจังตั้งใจ
และเวลานี้เอง หลี่หยวนก็พลันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ที่แท้เจินเหรินที่อยู่บนฝั่งคนนั้นกำลังยิ้มตาหยีกวักมือมาทางรถม้า
หลี่หยวนที่กำลังจะกลายร่างเป็นแสงสีทองจึงหยุดความคิดนั้นลง เพราะ ฮว่อหลงเจินเหรินมาปรากฎตัวอยู่ข้างรถม้าแล้ว โดยยืนอยู่บนหลังของม้าสีขาวหิมะตัวหนึ่ง
เสิ่นหลินรีบประสานมือคารวะ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เสิ่นหลินอดีตคนของตำหนักวารีหนานซวินคารวะฮว่อหลงเจินเหริน!”
สำหรับเหนียงเนียงตำหนักวารีท่านนี้ ฮว่อหลงเจินเหรินนับว่ายังเกรงใจ เขายิ้มกล่าวว่า “หมื่นคาถาเป็นธรรมชาติ ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาวาสนา น้ำมาคลองสำเร็จ”
เหนียงเนียงเทพวารีที่ใบหน้าเหมือนเครื่องกระเบื้องแตกร้าวจิตใจสั่นสะท้าน เอ่ยเสียงสั่นว่า “ขอบพระคุณเจินเหรินที่สั่งสอน”
ฮว่อหลงเจินเหรินเพียงยิ้มไม่เอ่ยต่อคำ สายตาชำเลืองมองหลี่หยวน “โอ้ นี่ไม่ใช่นายท่านใหญ่หลี่สุ่ยเจิ้งของศาลกลางลำน้ำจี้ตู๋ของเราหรอกหรือ ไม่ว่าข้าผู้เป็นนักพรตเดินไปที่ไหนก็ล้วนได้พบเจอนายท่านสุ่ยเจิ้ง ช่างสมกับคำว่าวาสนามาถึง ไม่ว่าจะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่จริงๆ”
หลี่หยวนหน้าตึง แสร้งทำเป็นหูหนวก
ทำไม มรรคกถาสูงแล้วร้ายกาจนักหรือ คงไม่ใช่ว่าเห็นข้าขวางหูขวางตา แล้วจะลงมือซ้อมคนทุกครั้งหรอกนะ?
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “หลี่สุ่ยเจิ้ง ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ มาคุยเล่นกับข้าผู้เป็นนักพรตหน่อยเป็นไง?”
หลี่หยวนพูดด้วยสีหน้าเหลอหรา “ข้ายุ่งนะ ยุ่งมากเลยล่ะ”
ฮว่อหลงเจินเหรินสะบัดชายแขนเสื้อ “อ้อ?”
หลี่หยวนรีบพูดทันที “ยังไม่ต้องยุ่งก่อนก็ได้”
ดังนั้นนักพรตเฒ่าคนหนึ่งกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งจึงออกจากรถม้า เดินเลี่ยงน้ำไปด้วยกัน
เสิ่นหลินร่ายใช้วิชาอภินิหาร ควบคุมรถม้าให้กลับไปยังตำหนักพักร้อนแห่งนั้น
รอจนเสิ่นหลินจากไปแล้ว หลี่หยวนก็รีบยิ้มประจบพูดขึ้นมาทันทีว่า “พี่ใหญ่ฮว่อหลง เหตุใดมาเป็นแขกที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรถึงไม่บอกกันสักคำเลยเล่า? ทำตัวห่างเหินเช่นนี้ เป็นเพราะดูแคลนน้องชายที่มีชีวิตตกอับใช่หรือไม่?”
ฮว่อหลงเจินเหรินอืมรับหนึ่งที
ใช่สิ ข้าผู้เป็นนักพรตดูแคลนเจ้าหลี่สุ่ยเจิ้ง
หลี่หยวนรู้สึกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องพูดกันอีกแล้ว
สุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำใหญ่ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้อยู่ในน้ำแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ในกรงขัง ไม่มีอิสระเอาเสียเลย
เงียบงันกันไปนาน คนทั้งสองเดินกันอยู่ใต้สายน้ำ เรือนกายล่องลอยดุจควันเขียว ดุจไอเมฆหมอก
ในที่สุดฮว่อหงเจินเหรินก็ยอมเปิดปากเอ่ยว่า “นับตั้งแต่ที่สำนักมังกรน้ำก่อตั้งสำนักมา พวกเขาคงปฏิบัติกับเจ้าหลี่หยวนไม่เลวกระมัง ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะยังวางมาดอะไรอีก จะยังต้องเอาเก้าอี้วางไว้บนตำแหน่งประธานในศาลบรรพจารย์ด้วยหรือ? คอยเตือนเจ้าสำนักมังกรน้ำแต่ละรุ่นอยู่ตลอดเวลาว่าศาลบรรพจารย์คือถิ่นของเจ้า? พวกเขาเป็นเพียงแค่คนที่มาเช่าอยู่เท่านั้น? สุ่ยเจิ้งอย่างเจ้าน้ำเข้าสมองหรืออย่างไร? เห็นตัวเองเป็นผู้ครองแม่น้ำทะเลสาบท่านนั้นจริงๆ หรือไร ถึงได้กล้าวางตัวเย่อหยิ่งโอหังขนาดนี้?”
หลี่หยวนกล่าวอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “อยากลงโทษหรือเล่นงานใครย่อมมีเหตุผลได้เสมอ เจินเหรินผู้เฒ่าท่านว่าอย่างไรก็คืออย่างนั้น ข้าล้วนยอมรับทั้งหมด”
ฮว่อหงเจินเหรินหัวเราะเสียงหยัน “ความสัมพันธ์ควันธูปที่ใหญ่เทียมฟ้าก็ยัง ไม่อาจทนการเผาผลาญอย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้ของเจ้าได้ การจัดการกับลมฝนใน ถ้ำสวรรค์วังมังกร โดยรวมแล้วไม่มีปัญหาอะไร นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? ไม่ใช่ เสิ่นหลินที่ต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจหรอกหรือ ปีนั้นเซียนกระบี่ผู้นั้นขโมยสมบัติล้ำค่าชะตาน้ำของถ้ำสวรรค์ไปได้ เหตุใดเจ้าถึงได้ดูดายอยู่เฉยๆ ? เขาหลอกเสิ่นหลินและตำหนักวารีหนานซวินที่ยุ่งจนหัวหมุนได้ แต่จะหลอกเจ้าที่วันๆ เอาแต่เดินเล่นเตร็ดเตร่ไปทั่วได้หรือ?”
หลี่หยวนมุ่ยปาก “สำนักมังกรน้ำก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ใช่หรือ”
ฮว่อหงเจินเหรินย่อมต้องรู้ว่าในเรื่องนี้มีเหตุพลิกผันอยู่มากมาย ไม่ใช่แค่ ความผิดถูก ดีเลวที่เรียบง่ายอะไร ทว่าเรื่องราวมากมายในโลกมนุษย์ ถึงอย่างไร ก็พอจะมองเห็นผลลัพธ์คร่าวๆ ได้ และส่วนใหญ่ผลลัพธ์ก็มักจะกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของผลกรรมครั้งต่อไปเสมอ
ก็เหมือนริ้วคลื่นบนทะเลสาบ หากจะมองให้ทั่วผืนน้ำที่กว้างใหญ่ เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ทุกครั้งที่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นลง ในฐานะผู้ฝึกตน หากยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนอีก ยังจะฝึกตนไปอีกทำไม?
เจินเหรินผู้เฒ่าพูดเสียงทุ้มหนัก “หากไม่เป็นเพราะข้าผู้อาวุโสเคยมีอดีตเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น เจ้าคิดว่าข้าผู้อาวุโสจะยินดีมาพูดให้เปลืองน้ำลายกับเจ้า อยู่หรือ?”
หลี่หยวนถอนหายใจ แล้วก็ไม่แสร้งทำเป็นแกล้งโง่อีก เขาที่มีสีหน้าเคร่งขรึม พูดอย่างจนใจว่า “ความรุ่งเรืองความตกอับ การเพิ่มการลดของควันธูปสำนัก มังกรน้ำ ข้าเห็นมาแล้วหลายปี ความหวังก็ตายไปมากมาย ตอนนี้จึงไม่รู้สึกว่า มีความหมายใดๆ แล้ว ซุนเจี๋ยเจ้าสำนักรุ่นนี้ แม้ว่าจะนิสัยไม่เลว แต่แล้วจะ อย่างไรเล่า? ใช่ว่าข้าจะไม่เคยคิดอยากให้สำนักมังกรน้ำหลอมกลางให้กับศาลกลางของลำน้ำจี้ตู๋เสียหน่อย แต่คนสองคนที่ข้าเคยให้ความสำคัญต่างก็ไม่ได้กลายเป็น เจ้าสำนัก คนหนึ่งในนั้นยังถือว่าถูกข้าและสำนักมังกรน้ำร่วมมือกันเล่นงานจนตาย สำนักมังกรน้ำพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ถูกข้าทำให้สะอิดสะเอียนปีแล้วปีเล่า ก็ล้วนเป็นพวกเขาที่หาเรื่องใส่ตัวเอง”
ดูเหมือนฮว่อหลงเจินเหรินจะรู้สึกสะท้อนใจในความโชคร้ายของอีกฝ่าย แล้วก็โมโหในความไม่ได้เรื่องของเขา “เจ้าคนพยศดื้อดึง!”
บนภูเขา แต้มนัยน์ตามังกร ก้อนหินพยักหน้า สีซอให้ควายฟัง ไก่พูดกับเป็ด คำกล่าวใดบ้างที่ไม่เป็นความรู้
มีเพียงความต่างของเทพเซียนที่ทำให้พูดคุยกันไม่รู้เรื่องมากที่สุด
ฮว่อหลงเจินเหรินจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองทำตัวเป็นคนดีๆ แล้วกัน”
หลี่หยวนอับอายจนพานเป็นความโกรธ “ฮว่อหลงเจินเหริน อย่าได้อาศัยว่ามรรคกถาสูงกว่าแล้วจะมารังแกข้าได้นะ!”
ฮว่อหลงเจินเหรินเอาฝ่ามือกดศีรษะของเด็กหนุ่มสุ่ยเจิ้งผู้นี้เอาไว้ ถามกลั้วหัวเราะว่า “จะรังแกเจ้า แล้วจะทำไม?”
หลี่หยวนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เขายู่หน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ฟังเจินเหรินผู้เฒ่า ยอมเป็นคนอย่างว่าง่ายก็แล้วกัน”
ฮว่อหลงเจินเหรินตบลงไปเบาๆ แต่กลับทำให้หลี่หยวนจมดิ่งลงไปในหลุมใหญ่ ใต้ทะเลสาบ เขาด่ายิ้มๆ ว่า “พูดดีๆ ไม่ฟัง ต้องให้ตบตีถึงจะฟัง”
หลี่หยวนแกล้งนอนตายอยู่ในหลุม
ฮว่อหลงเจินเหรินพลิ้วกายลงในหลุมใหญ่ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เลิกเห็นตัวเองเป็นองค์เทพที่สูงส่งเหนือผู้ใดสักที”
หลี่หยวนลืมตาขึ้น “หากไม่ได้ผลทั้งสองด้าน จะไม่ยิ่งวุ่นวายใจกว่าเดิมหรอกหรือ”
ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้า “คิดไปเองว่าใช่ สอนยากจริงๆ เสียด้วย”
หลี่หยวนเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย พูดด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ “ก็ข้าเป็นแค่ กบใต้บ่อที่เงยหน้าไม่เห็นแสงตะวันตัวหนึ่งนี่นา”
ไม่รู้ว่าฮว่อหลงเจินเหรินจากไปอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไหร่
หลี่หยวนทอดถอนใจหนึ่งที ข้าผู้อาวุโสโดนตบเปล่าๆ อีกทีหนึ่งแล้ว
……
ฮว่อหลงเจินเหรินเดินเข้ามาในจวนบนเกาะเป็ดน้ำช้าๆ
เฉินผิงอันตื่นแล้ว กำลังดูจางซานเฟิงต่อยหมัดอยู่ในลานบ้าน
เห็นเจินเหรินผู้เฒ่า เฉินผิงอันก็เตรียมจะลุกขึ้นคารวะ ฮว่อหลงเจินเหริน กลับโบกมือ “ไม่เหนื่อยหรือไง แค่มีใจก็พอแล้ว แววตาน้อยนิดแค่นี้ข้าผู้เป็นนักพรตยังพอมีอยู่บ้าง เขาไปในห้อง ไปดูวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามของเจ้า หากมีช่องโหว่ ก็จะได้รีบหลอมแต่เนิ่นๆ ฝึกตนอยู่บนภูเขา คิดมากเกินไป ย่อมไม่มีปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาทำเรื่องอะไรแล้วจะต้องช้าเสมอไป นอกจากนี้การเดินช้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะเดินอย่างเนิบนาบได้ทุกก้าวจริงๆ เฉินผิงอัน เจ้าลองไล่เรียง ความแตกต่างของสองอย่างนี้ให้ชัดเจน”
เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ และเก็บเอาไปใส่ใจ
จางซานเฟิงหยุดท่าหมัด เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับอาจารย์และเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันหยิบเอาเศษเทวรูปไม้ที่ตั้งบูชาอยู่ในอารามบนยอดเขาออกมาจาก วัตถุจื่อชื่ออย่างระมัดระวัง
ฮว่อหลงเจินเหรินโบกชายแขนเสื้อ ในห้องก็ปรากฏริ้วคลื่นลมปราณชั้นหนึ่ง ราวกับผิวโต๊ะสีเขียวเข้มที่ทั้งราบเรียบและแวววาวเหมือนกระจก
แล้วเฉินผิงอันก็หยิบอิฐเขียวสามสิบหกก้อนที่ปูไว้บนพื้นของอารามเต๋าออกมาอีก
กระเบื้องแก้วมรกตหนึ่งร้อยยี่สิบสองแผ่น
และยังมีกิ่งไม้กองใหญ่ กิ่งไผ่กองใหญ่ที่กวาดเอามาจากต้นไผ่เขียวต้นนั้น
ฮว่อหลงเจินเหรินถาม “เดินทางผ่านถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลมาหลายแห่ง นี่ก็คือสมบัติที่เก็บเล็กผสมน้อยมาได้?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ล้วนหามาได้จากสถานที่เดียวกัน”
ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าพูดว่า ‘เก็บตกมาได้’
สีหน้าของฮว่อหลงเจินเหรินปั้นยาก “เจ้าเป็นโจรหรือไร?”
เฉินผิงอันที่เตรียมจะหยิบสมบัติบนภูเขาอีกหลายชิ้นออกมา จึงได้แต่หยุดมือ
พัดกลมวาดภาพสตรีอันหนึ่ง และข้องราชามังกรคู่หนึ่งที่ซื้อมาจาก ‘นักพรตซุน’ และยังมีกระจกโบราณที่หวงซือมอบให้ในภายหลัง ป้ายฝึกจิตของลัทธิเต๋า รวมถึงกำไลที่สลักบทกลอนกับกาซู่อิงหนึ่งใบ
เดิมทีคิดจะเอาออกมาให้เจินเหรินผู้เฒ่าช่วยดูและประเมินราคาให้
ฮว่อหลงเจินเหรินเหลือบตามองเศษไม้กองนั้นอีกรอบหนึ่ง ไม่ได้รีบร้อน พูดเปิดเผยความลับสวรรค์ เพียงแค่ชี้ไปที่อิฐเขียวพวกนั้น “ระดับความแข็งแกร่งทนทานไม่แพ้ให้กับแท่นสังหารมังกรที่ผู้ฝึกกระบี่บนโลกปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน เพราะมีปณิธานแท้จริงของมรรคกถาให้ความชุ่มชื้นมานานหลายปี แก่นโชคชะตาน้ำที่ซ่อนแฝงอยู่ด้านในเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ภาพที่แสดงออกให้เห็นภายนอกเท่านั้น หากทิ้งอิฐเขียวไว้ไม่สนใจ แล้วดึงเอามาแค่ชะตาน้ำ นั่นต่างหากจึงจะเป็นการย่ำยีวัตถุสวรรค์อย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันจึงมองจางซานเฟิงที่อยู่ด้านข้าง
ฮว่อหลองเจินเหรินยิ้มกล่าว “ยกให้อะไรกัน เก็บไว้เองนั่นแหละ! จำนวนดาวเทียนกังสามสิบหกดวง เดิมทีก็สอดคล้องกับการพิสูจน์มรรคาของวาสนาเต๋าอยู่แล้ว หากขาดไปแม้แต่ก้อนเดียว ก็จะทำไม่สำเร็จ”
เจินเหรินผู้เฒ่าชี้ไปยังช่องโพรงที่สำคัญจุดหนึ่งของเฉินผิงอัน “ฟ้าดินขนาดเล็กร่างกายมนุษย์ พายุลมกรดสี่เที่ยงตรงคือลม ดึงเอาตรงกลางของสี่เที่ยงตรง นั่นคือ ใจของข้า พายุบนท้องนภา แก่นหยินหยาง คือดินที่แท้จริง หนึ่งลวงหนึ่งจริง ล้วนเป็นคำกล่าวที่ยิ่งใหญ่ของลัทธิเต๋าเรา เจ้าไม่ได้จะหล่อหลอมดินห้าสีเป็นวัตถุแห่ง ชะตาชีวิตห้าธาตุหรืออย่างไร? พอดีเลย หลอมกลางให้อิฐเขียวทั้งสามสิบหกก้อน ให้เป็นฐานภูเขาของภูเขาที่อยู่ใจกลางลูกนั้น
และยังสามารถหล่อเลี้ยงปกป้องความคิดจิตใจของผู้ฝึกตนได้อีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่การหล่อหลอมวัตถุชิ้นนี้จำเป็นต้องเผาผลาญปราณวิญญาณมหาศาล การสร้างรากภูเขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ วันหน้าข้าผู้เป็นนักพรตจะถ่ายทอดคาถาบทหนึ่งให้เจ้า เส้นทางมังกรก็แบ่งขุนเขาสายน้ำเหมือนกัน วิธีการหลอมวัตถุของเจ้า ไม่ค่อยเหมาะกับการสร้างภูเขาสักเท่าไร”
ฮว่อหลงเจินเหรินหยิบกระเบื้องแก้วมรกตใบหนึ่งขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่ากระเบื้องแก้วชิ้นนี้ หากขายให้คนที่ถูกต้อง จะมีมูลค่ากี่เหรียญเงินเทพเซียน?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ฮว่อหลงเจินเหรินยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาส่ายเบาๆ
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “สิบเหรียญเงินร้อนน้อย?”
ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ยสัพยอก “สิบเหรียญเงินร้อนน้อย? คู่ควรให้ข้า ผู้เป็นนักพรตส่ายมือหรือ?”
จางซานเฟิงเอ่ยเตือนเบาๆ “สิบเหรียญเงินฝนธัญพืช เงินฝนธัญพืช!”
เฉินผิงอันถาม “ต้องขายให้กับหอแก้วของนครจักรพรรดิขาวในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถึงจะได้?”
ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ พูดคุยกับคนฉลาดก็ประหยัดแรงกายแรงใจเช่นนี้เอง “หากเปลี่ยนมาเป็นนักพรตตระกูลเซียนทั่วไป กระเบื้องแก้วหนึ่งแผ่น อย่างมาก ก็ขายได้ราคาแค่หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น คนที่มองของไม่เป็น ราคาแค่ ไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยก็ยังไม่ยินดีซื้อไว้ เพราะของชนิดนี้ต้องเก็บสะสมให้มาก ถึงจะแสดงประสิทธิผลที่มหัศจรรย์ได้ น้อยไป ก็เป็นได้แค่เครื่องประดับ ไม่มีประโยชน์อะไร”
เฉินผิงอันจึงรู้สึกโชคดีที่ตัวเองไม่ได้เอาสมบัติพวกนี้ไปขาย ไม่อย่างนั้นหากตนมารู้ความจริงในภายหลัง จิตแห่งมรรคาที่วุ่นวายอยู่แล้วจะไม่ยิ่งวุ่นวายเข้าไปอีก หรอกหรือ?
ฮว่อหลงเจินเหรินคีบกิ่งไม้อันหนึ่งขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “คือลูกหลานของหนึ่งในสิบไม้ไผ่บรรพบุรุษของภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ สามารถเรียกได้ว่าเป็นหลานสาว สายตรง เนื้อไผ่แข็งแกร่งดุจก้อนหิน สามารถนำมาทำเป็นภาชนะได้ มีคุณธรรม ยืนหยัด ตัวของไม้ไผ่ยืดตรง ปล้องไม่ไผ่เติบโตงอกงามได้ดี จิตใจกว้างใหญ่ดุจขุนเขา บันทึกภาษาสืบทอดต่อไปหลายรุ่น ล้วนเป็นการประพฤติตัวอย่างมีคุณธรรม เจ้าคิดว่าตัวเองพบเจอกับต้นไผ่ต้นนี้ เป็นเพราะมีคุณธรรมแบบใด? เจ้าถึงได้ไป พบเจอมันโดยบังเอิญได้?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าก็เดาไม่ออก”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว”
อันที่จริงนี่ก็คือการให้การยอมรับหลังจากที่ปฏิเสธมามากมายหลังการถามใจของเฉินผิงอัน
หากการถามใจแสวงหาความจริงของผู้ฝึกตน ต้องการแค่จิตใจที่ตายแล้ว อย่างเดียว ถ้าอย่างนั้นร้อยสำนักนอกจากลัทธิเต๋า ผู้ฝึกตนมากมายขนาดนั้น จะบำเพ็ญตนไปอีกทำไม
ไม่ว่าจะไปเจอต้นไผ่คุณธรรมต้นไหนพันธุ์ไหน อันที่จริงก็ล้วนไม่สำคัญ
ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกที่ตรงไหน
จางซานเฟิงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าอาจารย์พูดว่าถูกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถูกแล้ว
ไม่อย่างนั้นหากอาจารย์เอาแต่ทำให้เฉินผิงอันลำบากใจอยู่อย่างนี้ คงไม่ค่อยดี สักเท่าไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!