กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 554

ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาก็อาจจะสามารถแย่งชิงโชควาสนามากมายมาจากมือของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลได้เหมือนกัน แต่จะกินโชควาสนา กินสมบัติพวกนี้ได้อย่างไร ความสำเร็จในท้ายที่สุดจะเป็นการกินไปได้เจ็ดแปดส่วน หรือกินไปได้เก้าสิบส่วน กุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่แปดคำของภูเขาตระกูลเซียนที่บอกว่า ‘การสืบทอดมีระบบระเบียบ วิชาคาถาทอดยาวสืบต่อไป’ ความต่างเล็กๆ น้อยๆ มากมาย เมื่อสะสมนานวันเข้า อาจชักนำให้เกิดความต่างทางด้านขอบเขต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต่างของประตูมังกรกับโอสถทองก็ยิ่งเป็นความต่างราวฟ้ากับดินสมชื่ออย่างแท้จริง

ตั้งแต่ต้นจนจบ เสิ่นหลินไม่ได้ถามประวัติความเป็นมาของเฉินผิงอันสักคำเดียว แม้แต่การหยั่งเชิงก็ยังไม่มี

เมื่อดื่มชาไปแล้ว เฉินผิงอันก็บอกลากลับไปยังเกาะเป็ดน้ำ

ยังคงเป็นหลี่หยวนที่เดินทางไปส่งด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันมาถึงจวนของเกาะเป็ดน้ำแล้วก็นั่งลงบนเบาะ เริ่มคิดคำนวณวางแผนขั้นตอนการฝึกตนต่อจากนี้

ส่วนหลี่หยวนก็ย้อนกลับทางเดิมไปยังตำหนักวารีหนานซวิน ไปเจอกับเสิ่นหลินที่ยังไม่ได้เก็บอุปกรณ์ชาในศาลาหลังนั้น

อันที่จริงหลี่หยวนไม่ชอบดื่มชา แต่ในเมื่อเสิ่นหลินต้มชาอีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ดื่มชาไปอย่างเนิบช้า ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าดื่มน้ำเปล่ากระมัง?

การมาเยือนและการจากไปของฮว่อหลงเจินเหรินครั้งนี้ คล้ายจะทำให้อารมณ์ของเสิ่นหลินผ่อนคลายได้มาก

ทั้งสองฝ่ายจึงพูดคุยกันถึงเรื่องบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปในช่วงที่ผ่านมา

ยกตัวอย่างเช่นจีเยว่และกู้โย่วที่พินาศวอดวายไปพร้อมกัน หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยเริ่มปิดด่านแล้ว สตรีเจ้าสำนักชิงเหลียงมีคู่บำเพ็ญเพียรแล้ว

ตอนที่หลี่หยวนพูดถึงเจ้าสำนักเฮ้อท่านนั้น เขาตีอกชกตัว บอกว่าโฉมสะคราญเทพเซียนเช่นนี้ หากชั่วชีวิตไม่ต้องถูกบุรุษสกปรกแตะต้อง คงจะดียิ่งนัก

เสิ่นหลินมองหลี่หยวน สีหน้าของนางเลื่อนลอยเล็กน้อย

นางค่อนข้างรู้สึกอิจฉาสุ่ยเจิ้งท่านนี้ที่ปีๆ หนึ่งไม่ทำอะไร เอาแต่ใช้เรือนกายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหยอกล้อเล่นสนุกกับโลกมนุษย์ไปวันๆ

ทางฝั่งของเกาะเป็ดน้ำ

เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะไม่มีเวลาว่างอีกแม้แต่เค่อเดียวแล้ว

ปณิธานเต๋าที่ซุกซ่อนอยู่ในอิฐเขียวสามสิบหกก้อนนั้น ตอนนี้เขาทำสำเร็จแค่ก้าวแรก พอจะถือว่าเชิญเทพเข้ามาในภูเขา ให้มาลงหลักปักฐานอยู่ในศาลภูเขาได้เท่านั้น การหลอมพวกมันให้กลายเป็นรากภูเขาได้อย่างสัมบูรณ์ต่อจากนี้ต่างหากถึงจะสำคัญในสำคัญอีกที ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นได้แค่ที่รองกระถางดอกไม้เอาไว้ตั้งประดับเท่านั้น ทว่าปณิธานเต๋ากลับหล่อหลอมได้ยาก เมื่อเทียบกับการค่อยๆ สาวดึงโชคชะตาน้ำเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ ย้ายเข้าไปในจวนน้ำแล้วยังเสียเวลามากกว่า เรื่องนี้ไม่มีทางลัดให้เดิน ได้แต่อาศัยความพยายามโง่ๆ ดั่งน้ำที่หยดลงหินทุกวัน ค่อยๆ หล่อหลอมไปด้วยความอดทน เฉินผิงอันลองคำนวณดูคร่าวๆ การหลอมอิฐเขียวก้อนแรกให้สำเร็จต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม หนึ่งวันอย่างน้อยต้องใช้เวลาหกชั่วยาม บางทียิ่งเป็นช่วงหลังๆ การหลอมปณิธานเต๋าของอิฐเขียวอีกสามสิบห้าก้อนที่เหลือ ยิ่งนานอาจยิ่งเร็วขึ้น แต่ต่อให้เร็วที่สุดก็น่าจะต้องใช้เวลาถึงสองสามปี

ย้ายอิฐเขียวขึ้นไปบนภูเขา ย้ายโชคชะตาน้ำเข้าจวน ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนาน

ยังดีที่เฉินผิงอันรู้ว่าการฝึกหมัดของตัวเองในตอนนี้ค่อนข้างมีแนวโน้มไปในทางการฝึกแบบตายตัวแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถสงบจิตใจใช้สถานะของผู้ฝึกลมปราณมาฝึกตนได้

อันที่จริงตนไม่จำเป็นต้องยึดติดจำนวนครั้งของการเดินนิ่งในทุกๆ วัน ขอแค่ปณิธานหมัดทั่วร่างไหลวนไม่หยุดนิ่ง คอขวดจะทะลุแต่ไม่ทะลุเสียที ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถใช้ขอบเขตหกที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองที่แข็งแกร่งที่สุดได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการ เพียงแต่ว่าจะเรียกร้องมากเกินไปไม่ได้ หากมาถึงแล้วก็อยู่ให้สุขสบาย แต่หากไม่มาก็คือไม่มา ไม่จำเป็นต้องเอาแต่ง่วนฝึกวิชาหมัดอย่างเดียวเพียงเพื่อโชคชะตายุทธส่วนหนึ่งที่จะเอามามอบให้เผยเฉียน หากแม้ตัวเองก็ยังเดินทางผิด แล้วจะเป็นอาจารย์ของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเองได้อย่างไร?

เขาเฉินผิงอันเคยเรียกร้องอยากได้ชะตาบู๊ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าขนาดอาจารย์ยังไม่ต้องการ ลูกศิษย์กลับจะต้องเดินทางลัดบนเส้นทางวรยุทธให้จงได้? ใต้หล้านี้ไม่มีหลักการเหตุผลเช่นนี้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะเผยเฉียนคือลูกศิษย์ของเจ้าเฉินผิงอันแล้วก็ควรมีเรื่องดีๆ เช่นนี้

อีกทั้งเฉินผิงอันก็มีลางสังหรณ์ที่พร่าเลือนบางอย่าง หลังจากที่ชะตาบู๊ส่วนของผู้อาวุโสกู้โย่วสลายหายไป ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดนี้คงยากแล้ว อันที่จริงการมอบให้ของผู้อาวุโสกู้ กับโชคชะตาบู๊ที่เฉินผิงอันแสวงหาและควรได้มาครอบครอง ทั้งสองอย่างนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องที่แน่นอน แต่เรื่องราวทางโลกมหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกยุทธเก้าทวีปและเหล่าผู้กล้ามากความสามารถในใต้หล้า ต่างคนต่างก็มีโชควาสนาและประสบการณ์เป็นของตัวเอง เฉินผิงอันหรือจะกล้าพูดว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธที่บริสุทธิ์เต็มตัวที่สุด?

ทัศนียภาพของด่านสุดท้ายที่ปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปเคาะหน้าด่าน เฉินผิงอันไม่ไปมองให้เสียเวลาอีก

การขัดกลึงคมกระบี่ของชูอีสืออู่ สุดท้ายการนำกระบี่บินสองเล่มมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

ต่อจากนี้อยู่ต่อบนเกาะเป็ดน้ำก็ยังคงต้องทำตามคำบอกของเจินเหรินผู้เฒ่า นั่นคือหลอมปราณวิญญาณเปี่ยมล้นที่สะสมอยู่ในช่องโพรงสามแห่งให้ดี

ด้านนอกมีฝนตกอีกครั้งแล้ว

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ลุกขึ้นยืนจากเบาะนั่ง กางร่มเดินออกจากเรือนไป

ภูเขาสายน้ำยังคงเป็นภูเขาสายน้ำ สภาพจิตใจยังคงมีปัญหาต้องให้ไปทบทวนตัวเอง แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองมีข้อหนึ่งที่ดี ขอแค่ไม่ตกอยู่ในสภาพที่มองไปทางใดก็สับสนเลื่อนลอย เมื่อเขาก้าวเดินก้าวแรกออกไปได้แล้ว ความลำบากแค่ไหนก็ยังพอทนรับได้

เฉินผิงอันเดินอยู่ท่ามกลางม่านฝนช้าๆ

เรื่องเรื่องหนึ่งที่เป็นรากฐาน เมื่อคิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วก็คือคำว่าเข้าใจหนึ่งวิชา ก็เข้าใจหมื่นวิชา

ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยแยกตัวออกจากกันย่อมเห็นฟ้าใส เห็นแสงจันทร์

หัวใจมีรูโหว่ขนาดใหญ่ มีตำหนิด่างพร้อยมากมายขนาดนั้น ก็แค่ชดเชยแก้ไขมันซะ

ยกตัวอย่างเช่นมีใจทำความดี แม้ว่าทำความดีไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน แต่ไม่ได้สิ่งตอบแทนแล้วจะอย่างไร? เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นก็จะไม่ใช่เรื่องดีแล้วหรือ? หากตนมีใจอยากทำความดี หากไม่สามารถแก้ไขความผิดได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่อาจชดใช้ความผิดที่ทำลงไป ไม่อาจช่วยสั่งสมบุญกุศลในชาติหน้าให้กับผีวิญญาณที่ตายไปอย่างอยุติธรรมพวกนั้นได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็หาวิธีแก้ไขความผิดแบบใหม่ ตลอดหลายปีที่ขึ้นเขาลงห้วยมานี้ ต่อให้มีเส้นทางมากน้อยแค่ไหนก็ล้วนเดินผ่านมาหมดแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าเฉินผิงอันเลื่อมใสในคำกล่าวที่ว่าวิญญูชนสร้างบุญคุณโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนมาโดยตลอด หรือว่าแค่เอามาไว้ใช้หลอกตัวเองหลอกคนอื่นเท่านั้น เพื่อให้ยามเกิดเรื่องกับตัวเองแล้วตัวเองจะสบายใจมากขึ้น? จิตเห็นแก่ตัวในส่วนลึกที่หลอกตัวเองเช่นนี้ หากยังปล่อยให้ขยายลุกลามต่อไปจะไม่ไปรังแกคนอื่น ทำลายคนอื่นเข้าจริงๆ หรือ? ถึงเวลานั้นหลักการเหตุผลมากมายที่บรรจุไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ที่สะพายไว้ด้านหลัง ยิ่งมากเข้าก็จะยิ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองไม่รู้หลักการเหตุผลพวกนั้นเลย

คลายปมในใจ

สภาพจิตใจผ่อนคลาย บนไหล่หนักอึ้ง

แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร ไม่สวมรองเท้าสานแล้ว ก็ยังเป็นเฉินผิงอันอยู่ดีไม่ใช่หรือ เรื่องที่คนยากจนทุกคนใต้หล้านี้ไม่จำเป็นต้องเอามาพูดกันมากที่สุด ก็คือการทนรับกับความลำบาก เพราะเมื่อทนรับกับความลำบากได้แล้วก็ย่อมเสวยสุขได้เช่นกัน

เฉินผิงอันเดินวนรอบเกาะเป็ดน้ำที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบกันไปรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมาที่ห้องในจวน นั่งลงบนเบาะนั่ง เริ่มเข้าฌานลืมตน ค่อยๆ หล่อหลอมปราณวิญญาณที่พักพิงอยู่ในเรือนไม้

ปราณวิญญาณของฟ้าดินก็คือเงินเทพเซียนที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกตน

ก็ถือเสียว่าเปลี่ยนวิธีมาหาเงินก็แล้วกัน

ในช่วงเวลาระหว่างที่รอให้หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนมาถึงเกาะเป็ดน้ำ เกี่ยวกับข้อที่ว่าจะดึงปราณวิญญาณมาในระดับที่มากที่สุดอย่างไร นอกจากเฉินผิงอันจะหลอมลมปราณวันละหกชั่วยามแบบที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนแล้ว แน่นอนว่าเขายังไม่ลืมที่จะวาดยันต์ด้วย

แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้ฝึกตนจนถึงขั้นลืมกินลืมนอน การฝึกตนตั้งแต่เช้าจรดค่ำใช้เวลาแค่หกชั่วยามเท่านั้น

วันนี้บนเกาะเป็ดน้ำมีนักพรตวัยกลางคนร่างกายผอมบางคนหนึ่งมาเยือน เขาไม่ได้นั่งโดยสารเรือยันต์ แต่แหวกทะเลเมฆทะยานลมมาโดยตรง

บนใบหน้าของนักพรตประดับรอยยิ้มน้อยๆ มองไปยังเฉินผิงอันที่ออกจากบ้านมาต้อนรับแขก

นักพรตประสานมือคารวะ “หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน ศิษย์พี่ห้าของจางซานเฟิง คุณชายเฉินสามารถเรียกข้าผู้เป็นนักพรตว่าหยวนจื่อเสวียนได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!