เสิ่นหลินได้พบเจอหลี่หลิ่วก็หมอบกราบไม่ยอมลุกขึ้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เป็นคำ
หลี่หลิ่วยื่นมือออกไป ดึงร่างทองของเหนียงเนียงตำหนักวารีผู้นี้ออกมา จากนั้นก็ยื่นมือกดลงไปบนศีรษะของร่างทอง พริบตาเดียวรอยปริแตกเล็กละเอียดนับพันนับหมื่นเส้นบนร่างทองก็ค่อยๆ ประสานเข้าหากัน
หลี่หลิ่วลดข้อมือลงเล็กน้อย ร่างทองก็กระแทกกลับใส่เนื้อหนังมังสาของเสิ่นหลินที่หมอบอยู่บนพื้น
หลี่หลิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวในศาลา
เสิ่นหลินหมอบกราบอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
หลี่หลิ่วเอ่ย “ลำบากเจ้าแล้ว หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่ๆ เกิดขึ้น วันหน้าเจ้าก็จะได้เป็นหลิงหยวนกงของลำน้ำจี้ตู๋”
เสิ่นหลินพูดเสียงสั่น “บ่าวไม่กล้าเพ้อฝันแบบนั้นอย่างแน่นอน! สามารถเฝ้าพิทักษ์ตำหนักวารีหนานซวินนานเป็นพันปี บ่าวก็พอใจมากแล้ว”
หลี่หลิ่วขมวดคิ้ว “หืม?”
เสิ่นหลินไม่กล้าขัดความประสงค์ของนางอีก รีบโขกหัวแรงๆ ตอบรับทันที “รับคำบัญชา!”
หลี่หลิ่วลุกขึ้นยืน เพียงชั่วพริบตาร่างก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เสิ่นหลินหมอบกราบตามมารยาทพิธีใหญ่อยู่อย่างนั้น เป็นนานก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน
จนกระทั่งหลี่หยวนเดินอาดๆ เข้ามาในตำหนักหลบร้อน มาที่ศาลาลมเย็นแห่งนี้ เสิ่นหลินถึงได้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน รู้สึกราวกับว่าอยู่คนละโลก
ตรงเอวของหลี่หยวนห้อยป้ายหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ เอาไว้ เขายืดอกตั้ง เวลาเดินตัวรู้สึกตัวลอยๆ ราวกับมีลมรองรับอยู่ใต้ฝ่าเท้า พอเข้ามาในศาลาก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเหนียงเนียงเทพวารีที่เหมือนจิตหลุดออกจากร่าง ใช้นิ้วชี้ไปยังแผ่นป้ายตรงเอวตัวเอง
ดูสินี่อะไร?
เสิ่นหลินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางของหลี่หยวน นางลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว สีหน้ายังคงล่องลอย พูดพึมพำว่า “หลี่หยวน ข้าจะได้เป็นหลิงหยวนกงของลำน้ำจี้ตู๋แล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่?”
หลี่หยวนเหมือนถูกวิชาห้าอสนีของฮว่อหลงเจินเหรินผ่ากลางหัว อึ้งงันเป็นไก่ไม้อยู่นาน จากนั้นก็กุมหัวร้องคร่ำครวญ ทิ้งตัวหงายผลึ่งลงนอนกับพื้น ปัดป่ายมือเท้าสะเปะสะปะ “ทำไมถึงไม่เป็นข้าล่ะ หลิงหยวนกงที่ไม่มีมาหลายพันปีแล้ว เหตุใดกงโหวของลำน้ำใหญ่ถึงไม่ใช่ข้าหลี่หยวนที่ทนทำงานเหนื่อยยากโดยไม่ปริปากบ่นบ้างนะ”
แม้ว่าจิตใจของเสิ่นหลินจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อตัวถึงได้หลุดพูดเรื่องนี้ออกมา แต่นางก็ไม่รู้สึกเสียใจที่เปิดเผยความลับสวรรค์นี้ เพราะไม่ช้าก็เร็วสุ่ยเจิ้งอย่างหลี่หยวนก็ต้องรู้เรื่อง แทนที่จะเก็บไว้เป็นความลับ ถึงเวลานั้นจะยิ่งทำให้หลี่หยวนรู้สึกแย่มากกว่าเดิม ก็ไม่สู้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเสียแต่เนิ่นๆ ซะยังดีกว่า
ไม่อย่างนั้นปมในใจของทั้งสองฝ่ายจะยิ่งขยายใหญ่
หลี่หยวนนอนนิ่งไม่ขยับราวกับเป็นซากศพ
เสิ่นหลินรู้สึกระอาใจเล็กน้อย
หลี่หยวนสูดน้ำมูก ในที่สุดบนใบหน้าก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา เขาพูดอย่างอัดอั้น “ยินดีกับเสิ่นฮูหยินด้วยที่ได้ครองตำแหน่งหลิงหยวนกง”
เสิ่นหลินยิ้มกล่าว “วันหน้าหากมาเที่ยวที่ตำหนักวารีหนานซวินอีกก็หยอกล้อขุนนางหญิงผู้ติดตามของที่นี่ให้น้อยๆ หน่อย”
หลี่หยวนเริ่มปัดป่ายมือเท้าอีกครั้ง พูดเสียงดังว่า “ข้าไม่ทำ ไม่ทำซะอย่าง!”
แล้วหลี่หยวนก็หยุดนิ่ง พูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้าจะไปขอร้องเจินเหรินผู้เฒ่าให้เขาขายยาแก้เสียใจภายหลังให้ข้าโถใหญ่ ข้าจะได้กินให้ท้องแตกตายมันไปเลย”
เสิ่นหลินพูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องการแต่งตั้งของลำน้ำจี้ตู๋ก็ยังไม่แน่เหมือนกันนะ”
หลี่หยวนหันหน้ามา เอาหน้าถูกับพื้นอย่างแรง สีหน้าเลื่อนลอย พูดอย่างน้อยใจว่า “เชิญเจ้าสาดเกลือลงบนบาดแผลของข้าได้ตามสบายเลย”
เสิ่นหลินเหม่อลอย รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวของฮว่อหลงเจินเหริน แล้วก็ซาบซึ้งในบุญคุณของคนหนุ่มที่วางตัวมีมารยาท ปฏิบัติตามหลักพิธีการทุกเรื่องคนนั้น
หลี่หยวนพลันกระโดดผลุงลุกขึ้นยืน แล้วก็แหวกม่านฟ้าของถ้ำสวรรค์วังมังกรออกโดยตรง พุ่งเข้าไปในลำน้ำใหญ่ ไล่ตามไปหาท่านเฉินที่ใจร้ายใจดำผู้นั้น
ริมตลิ่งของลำน้ำใหญ่
เฉินผิงอันกำลังวักน้ำล้างหน้า
จู่ๆ ก็มีศีรษะหนึ่งโผล่พรวดออกมา เพราะมาอย่างเงียบเชียบเกินไป เฉินผิงอันจึงเกือบจะปล่อยหมัดซัดเข้าให้
แต่พอเห็นว่าเป็นหลี่หยวน เขาถึงได้เก็บปณิธานหมัดที่ท่วมท้นไปทั่วร่างเหมือนน้ำทะลักเขื่อนในชั่วพริบตานั้นมา ยิ้มถามว่า “มาได้อย่างไร?”
หลี่หยวนขึ้นมาบนฝั่ง ยิ้มถาม “ท่านเฉินเหนื่อยหรือไม่ ให้ข้าช่วยแบกหีบไม้ไผ่ให้ไหม? หรือจะให้บีบไหล่ ทุบหลังให้ดี?”
เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ยิ้มจืดเอ่ยว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
หลี่หยวนทรุดตัวลงนั่ง กอดขาของเฉินผิงอันเอาไว้แล้วเริ่มคร่ำครวญ “ท่านเฉินต้องการโอสถวารีหรือไม่? หากต้องการ ที่ข้ามีอยู่สองขวด เอาไว้ที่ข้าก็มีแต่จะเป็นภาระ…”
มารดามันเถอะ นายท่านใหญ่หลี่จะยังต้องการหน้าตาไปอีกทำไม? วันนี้เขาจะทำตัวหน้าไม่อายดูสักครั้ง!
ปล่อยให้เสิ่นหลินเป็นหลิงหยวนกงของนางไป ตามกฎแล้วลำน้ำใหญ่จี้ตู๋ยังสามารถมีหลงถิงโหวได้อีกหนึ่งคน แม้จะบอกว่าระดับขั้นแย่กว่ากันเล็กน้อย แต่อันที่จริงหลงถิงโหวไม่ได้อยู่ในการดูแลของหลิงหยวนกงที่เป็นองค์เทพหลักผู้นำของลำน้ำจี้ตู๋ เพียงแต่ว่าอาณาเขตน่านน้ำที่หลงถิงโหวให้การดูแลจะด้อยกว่าหลิงหยวนกงเล็กน้อย เป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง หนึ่งตะวันออกหนึ่งตะวันตก ร่วมกันดูแลลำน้ำจี้ตู๋
เฉินผิงอันจึงได้แต่ย่อตัวลง กล่าวอย่างจนใจว่า “หากยังทำอย่างนี้อยู่อีก ข้าจะไปแล้วนะ”
หลี่หยวนปล่อยมือ นั่งอยู่บนพื้น พูดเสียงเบาว่า “ท่านเฉิน สรุปว่าท่านรู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องที่เจ้ารู้ ข้าย่อมไม่รู้แน่นอน ข้ารู้แค่ว่าแม่นางหลี่เป็นคนบ้านเดียวกับข้า เป็นพี่สาวของเจ้าเด็กป่วนคนหนึ่ง”
ในความเป็นจริงแล้วจนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังเดาตัวตนของหลี่หลิ่วไม่ออก
ส่วนตำแหน่งสูงต่ำของตำหนักวารีหนานซวินที่อยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกร เฉินผิงอันก็ไม่ยินดีไปสืบเสาะให้ลึกซึ้ง เพียงแค่พอจะเดาออกว่าเสิ่นฮูหยินผู้นั้นน่าจะมีสถานะที่พิเศษท่ามกลางบรรดาเทพวารีมากมายในถ้ำสวรรค์วังมังกร เพราะถึงอย่างไรนางก็ดูแล ‘ตำหนักน้ำ’ แห่งหนึ่ง
หลี่หยวนเองก็ไม่กล้าพูดมาก
หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ แม้แต่แผ่นหยกชือหลงที่ถูกนำไปตั้งบูชาไว้ในศาลแล้วก็อาจยังต้องหายไปเพราะฝีมือตนด้วย
หลี่หยวนเงียบงัน สีหน้าหม่นหมอง
เฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งลงบนพื้นเป็นเพื่อนเขา เอนหลังพิงหีบไม้ไผ่ พูดเสียงเบาว่า “ข้าสามารถช่วยอะไรได้ไหม? ไหนลองบอกมาสิ? ขอแค่เป็นเรื่องที่ช่วยได้ ข้าจะไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
คราวนี้เป็นตาของหลี่หยวนบ้างที่เปิดปากพูดไม่ได้
อันที่จริงการที่เขาแหกกฎออกมาจากอาณาเขตของสำนักมังกรน้ำในครั้งนี้ ก็แค่เพราะรู้สึกอึดอัดใจเท่านั้น
ไม่ได้ต้องการจะช่วงชิงตำแหน่งหลงถิงโหวของลำน้ำจี้ตู๋มาจริงๆ เพราะหลี่หยวนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า บนเส้นทางชีวิตคน คนที่เดินสวนไหล่ผ่านกันไปสามารถไล่ตามได้ทัน แต่เรื่องที่พลาดไปแล้วไม่อาจไล่ตามไปไขว่คว้ามาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!