หลี่หลิ่วไม่ได้สนใจการแพ้การชนะบนกระดานหมากพวกนี้ ไม่ว่าจะในหรือนอกกระดานหมากล้อมก็ล้วนเป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะผ่านประสบการณ์มามากมายเกินไป แม้แต่ชีวิตนี้ร่างกายนี้ นางก็ยังไม่ค่อยใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
มองว่าเป็นการท่องเที่ยวตามภูเขาลำน้ำซ้ำอีกครั้งเสียมากกว่า
ในเมื่อเกิดมาก็เข้าใจหลักการเหตุผล สิ่งที่หลี่หลิ่วรู้ แน่นอนว่าต้องมากยิ่งกว่า ไม่เพียงแค่เรื่องราวทางโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตใจคนหลากหลายรูปแบบอีกด้วย
เทวรูปในวัดวาอารามของโลกมนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนมีการชุบทอง หยางเหล่าโถวจึงเรียกร้องให้นักโทษกากเดนที่เหลืออยู่อย่างพวกเขาปฏิบัติในทางตรงกันข้าม ห่อหุ้มจิตใจคนเอาไว้ก่อนชั้นหนึ่ง ต่อให้จะแค่แสร้งทำพอเป็นพิธี ก็ยังต้องออกมาท่องโลกมนุษย์อย่างจริงจังสักครั้ง
แต่ตอนนี้หลี่หลิ่วก็มีเรื่องที่ตัวเองใส่ใจจริงๆ อยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นการช่วงชิงบนมหามรรคาที่ต่อสู้กันจนฟ้าคว่ำแผ่นดินพลิกในอดีตคราวนั้นที่เริ่มเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง บางครั้งหลี่หลิ่วจึงคิดว่าเพิ่งจะเปิดฉากก็ควรให้ปิดม่านเสียเลย จะได้สอนให้คนผู้นั้นที่อยู่ภพนี้ชาตินี้รู้ว่าการพ่ายแพ้อย่างราบคาบเป็นอย่างไร
คราวนี้ฮว่อหลงเจินเหรินวางหมากลงบนสถานการณ์หมากของสำนักมังกรน้ำ หากไม่พูดถึงเฉินผิงอัน ก็ถือว่าเขาพอจะมีความตั้งใจอยู่บ้าง เสิ่นหลินที่เป็นดั่งน้ำมาคลองสำเร็จ การทำเพื่อซุนเจี๋ยเจ้าสำนักมังกรน้ำ และคำพูดที่เอ่ยกับสุ่ยเจิ้งหลี่หยวน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฮว่อหลงเจินเหรินคล้อยตามชะตาลิขิตช่วยให้ทั้งสามฝ่ายผ่านด่านยากน้อยใหญ่ไปได้ก็จริง แต่เขายิ่งหวังว่าจะอาศัยการกระทำบางอย่างหลังจากที่สติปัญญาเปิดโล่งแล้วของหลี่หยวน ไปถ่ายทอด ‘ถ้อยคำ’ บางอย่างให้กับหลี่หลิ่วที่อยู่ตรงหน้าฟัง
เพราะถึงอย่างไรในเรื่องของการ ‘วางตัวเป็นคน’ นี้ ต่อให้เป็นหลี่หลิ่วที่มีอายุนับพันนับหมื่นปี แท้จริงแล้วก็ยังถือว่าเป็นผู้น้อยคนหนึ่ง
น่าเสียดายที่หลี่หลิ่วฟังไม่เข้าหู ฮว่อหลงเจินเหรินจึงไม่คิดจะมีส่วนเกี่ยวข้องไปมากกว่านี้
หยวนหลิงเตี้ยนรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย
ตอนที่อาจารย์อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อันที่จริงก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของชะตาบู๊ที่ซากปรักสนามรบโบราณทวีปเกราะทองนั่นแล้ว อันที่จริงสำหรับเฉินผิงอันแล้ว หากได้โชควาสนามาอยู่ในมือ แล้วมองในมุมของชัยชนะบนกระดานหมาก ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันกับสตรีวัยเดียวกันของทวีปแผ่นดินกลางผู้นั้นก็คือสองฝ่ายที่ประชันฝีมือกันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เพราะมีเฉาสือเพิ่มเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงยิ่งซับซ้อนมากกว่าเดิม
หากเฉาสือไม่ได้ไปที่ซากปรักสนามรบแห่งนั้น สือไจ้ซีสตรีที่ใช้ขอบเขตห้าที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าเลื่อนสู่ขอบเขตหกบนวิถีวรยุทธก็อาจจะฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างราบรื่นไปนานแล้ว แต่กลับไม่อาจได้รับคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาครอง เพราะเฉินผิงอันที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปมีขอบเขตที่แข็งแกร่งมั่นคงกว่า มีปณิธานหมัดที่หนักกว่า ทว่าพอเฉาสือปรากฎตัว ปณิธานการต่อสู้ของสือไจ้ซีก็เพิ่มทะยาน ด้วยนิสัยที่ชอบเอาชนะเป็นเหตุ นางที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาจึงสามารถยกระดับของขอบเขตวิถีวรยุทธให้สูงขึ้นได้อีกหนึ่งระดับ และยังตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะใช้ขอบเขตหกต่อยเฉาสือที่เป็นขอบเขตเจ็ดหนึ่งหมัด ต่อให้หมัดนั้นจะได้แค่แตะร่างเขาอย่างผิวเผินก็ตาม แต่นางก็ต้องทำให้ได้ก่อนถึงจะยินดีฝ่าทะลุขอบเขต หันกลับมามองเฉินผิงอัน เมื่อเทียบกับสตรีผู้นั้น คอขวดวิถีวรยุทธของเขา แรกเริ่มมีระดับความสูงมากกว่า แน่นอนว่าจะต้องอดทนฝ่าทะลุขอบเขตไปช้าๆ
หนึ่งถ่วงเวลา หนึ่งชะลอให้ล่าช้า
จึงกลายมาเป็นสถานการณ์หมากล้อมที่สองฝ่ายประลองกันอยู่ไกลๆ แต่กลับไม่รู้ตัว
ฮว่อหลงเจินเหรินรู้แค่ว่าสือไจ้ซีอยู่ที่ซากปรักโบราณที่เทวรูปพังภินท์ และได้ยินมาว่าเฉาสือไปที่นั่น
จึงค่อยๆ อนุมานรูปแบบและสถานการณ์บนกระดานหมากล้อมออกมา
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “หากสือไจ้ซีไม่ไปคิดถึงคำว่าแข็งแกร่งที่สุด ก็ถือว่าจะมีภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ที่ไม่ธรรมดา บางทีหากเกิดกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นอาจเป็นเรื่องร้ายที่ทำให้จิตใจห่อเหี่ยว แต่เมื่อเกิดขึ้นกับนาง กลับกลายเป็นการพยายามเอาชีวิตรอดท่ามกลางความตาย ปณิธานหมัดได้รับความอิสระเสรี คิดดูแล้วนี่ต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่เฉาสือต้องการเห็น ดังนั้นถึงได้ไม่ยอมออกมาจากซากปรักแห่งนั้นเสียที เป็นฝ่ายช่วยป้อนหมัดให้กับสือไจ้ซี แม้จะบอกว่าตอนนี้เฉาสือจะเป็นแค่ขอบเขตร่างทอง แต่สำหรับสือไจ้ซีที่มีนิสัยเย่อหยิ่งโอหังแล้ว กลับกลายเป็นหินลับที่ดีที่สุดในโลกพอดี ไม่อย่างนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับการทุบตีหล่อหลอมอย่างเต็มกำลังของขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งก็ไม่ได้มีทางได้ผลลัพธ์เช่นนี้แน่นอน”
หยวนหลิงเตี้ยนพยักหน้ารับ “คอขวดที่แท้จริงของสือไจ้ซีก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ที่หมัด แต่อยู่ที่ใจ”
จากนั้นหยวนหลิงเตี้ยนก็ยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงขอแค่เฉินผิงอันโชคดี ถ่วงเวลาต่อไป ไม่ฝ่าทะลุขอบเขตก่อนหน้าสือไจ้ซี เขาก็ยังคงสามารถเป็นขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดใน ‘ช่วงเวลานั้น’ ได้ แล้วก็จะยังได้รับโชคชะตาบู๊มาส่วนหนึ่งอยู่ดี”
“ข้าผู้เป็นนักพรตว่าเป็นไปได้ยาก”
หลังจากฮว่อหลงเจินเหรินให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแล้ว เขาก็หันหน้ามามองลูกศิษย์คนนี้ “อาจารย์ให้เจ้าเอาเงินไปส่งที่เกาะเป็ดน้ำ ก็เพราะหวังว่าเจ้าจะบอกความจริงข้อนี้ให้แก่เฉินผิงอันด้วยตัวเอง ผู้ฝึกยุทธกับผู้ฝึกตน คนกันเองพูดจาเป็นกันเอง เทียบกับบทสนทนาระหว่างเจินเหรินเฒ่าคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนขอบเขตสามที่ยกเอาเหตุผลยิ่งใหญ่บนหมัดมาพูดแล้ว กลับมีความหมายมากยิ่งกว่า เดิมทีอาจารย์ยังอยากจะดูว่า เฉินผิงอันจะแอบหวังว่าตัวเองจะโชคดีอยู่เสี้ยวหนึ่ง จึงเผยท่าทีว่าจะชะลอฝีเท้าเดินให้ช้าเพื่อชะตาบู๊ส่วนนั้นหรือไม่ หรือว่าจะ ‘แสวงหาทางรอดในความตาย’ ที่ถึงแม้วิธีจะแตกต่างแต่มหามรรคาก็เชื่อมโยงถึงกันอย่างสือไจ้ซี เฉินผิงอันในตอนนี้ฝึกวิชาหมัดแบบตายตัว หาใช่เพราะความขี้เกียจเป็นตัวชักนำ และช่วงที่ผ่านมานี้ก็ยิ่งไม่มีการเปิดฉากสู้รบเอาเป็นเอาตายกับคนอื่น ทั้งที่สามารถใช้คำว่า ‘มนุษย์มีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง’ มาปลอบใจตัวเองได้แล้ว เขาจะยังคงเดินในตรอกหัวขาดที่ต้องเจอทางตัน หรือจะปล่อยหมัดต่อยกำแพงที่ขวางหน้า เปิดเส้นทางสายใหม่ให้กับจิตใจตัวเอง”
แต่เจินเหรินผู้เฒ่าก็ส่ายหน้า ทำไม่ได้หรอก
เว้นเสียจากว่าเจ้าเด็กนั่นจะคิดจนกระจ่างด้วยตัวเอง อีกทั้งยังผ่านด่านทางใจเล็กๆ ด่านนั้นไปได้ ถึงจะมีโอกาสทำได้สำเร็จ
หยวนหลิงเตี้ยนยิ้มเจื่อน พูดอย่างละอายใจว่า “เป็นศิษย์ที่เข้าใจอาจารย์ผิด จะให้ศิษย์กลับไปที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรเลยไหมขอรับ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!