หญ้าบนหัวกำแพงมากมายโดยรอบสำนักชิงเหลียงก็เริ่มตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขา การค้าหลายอย่างก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นยากลำบากมากกว่าเดิม
กองกำลังในโลกมนุษย์ล่างภูเขาจำนวนมากซึ่งรวมถึงฮ่องเต้สกุลหานของราชวงศ์ฮวาหลิงก็เริ่มกลับคำ ตัวอ่อนผู้ฝึกตนหลายคนที่เดิมทีคิดจะส่งให้ไปฝึกตนที่สำนักชิงเหลียน ต่อให้เดินทางไปได้ครึ่งทางแล้วก็ยังถูกเรียกให้กลับไป
ภูเขาตระกูลเซียนจำนวนมากโดยรอบก็ทำตัวห่างเหินกับสำนักชิงเหลียงที่รากฐานยังไม่มั่นคงคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา พวกเขาออกคำสั่งผู้ฝึกตนในภูเขาของตัวเองว่าไม่อนุญาตให้ไปมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักชิงเหลียงมากเกินไปนัก
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของเทียนจวินเซี่ยสือบุกไปที่สำนักชิงเหลียงด้วยตัวเองอย่างดุดัน ผลคือเฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่รู้จักหนักเบา สองฝ่ายที่เดิมทีสนิทสนมแนบแน่นกลับกลายเป็นว่าต้องแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากนั้นมาสำนักชิงเหลียงก็ยิ่งโดดเดี่ยว สี่ด้านแปดทิศไร้ความช่วยเหลือ พันธมิตรไม่ใช่พันธมิตรอีกต่อไป และยิ่งกลายมาเป็นกลุ่มอิทธิพลที่แอบปัดแข้งปัดขากันเอง ไม่มีใครคิดว่าสำนักแห่งใหม่ที่ทำให้ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่เดือดดาลจะมีหน้ามีตาอยู่ในอุตรกุรุทวีปได้นานนัก
และภายในของสำนักชิงเหลียงเองก็ระส่ำระส่าย
เค่อชิงและผู้ถวายงานครึ่งหนึ่งต่างก็พากันตัดความสัมพันธ์กับสำนักชิงเหลียง แต่ละคนส่งจดหมายลับออกไป ภายในค่ำคืนเดียวเก้าอี้ที่ตั้งวางในศาลบรรพจารย์ก็น้อยลงไปถึงห้าตัว
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเองก็เป็นคนประหลาด นางไม่ได้ทุบทำลายเก้าอี้เหล่านั้น เพียงแค่ย้ายพวกมันออกมานอกศาลบรรพจารย์ นำมาตั้งวางไว้ใต้ชายคานอกประตู
สำนักชิงเหลียงที่เดิมทีมีลูกศิษย์ไม่มาก บนภูเขาจึงยิ่งเงียบสงัดวังเวง
โชคดีที่ท่ามกลางการเดินทางท่องเที่ยวในอุตรกุรุทวีปของเฮ้อเสี่ยวเหลียง ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อเก้าคนที่นางทยอยรับมานับว่ายังอยู่กันอย่างสงบ ยังไม่มีใครเลือกจะทรยศหนีออกจากสำนักชิงเหลียง ในสายตาของโลกภายนอก นั่นเป็นเพราะคนพวกนั้นไม่เข้าใจความหมายของชื่อป๋ายฉางนี้ดีพอ ยิ่งไม่รู้ถึงความอันตรายอย่างใหญ่หลวงของการผูกปมแค้น อีกทั้งยังฉีกหน้าแตกหักกันของคนบนภูเขา
ลูกศิษย์รุ่นแรกหลังจากที่สำนักชิงเหลียงก่อตั้งมาเก้าคนนี้ต่างก็ทยอยกันถูกเฮ้อเสี่ยวเหลียงพาขึ้นภูเขา ล้วนเป็นคนธรรมดาด้านล่างภูเขาที่เมื่อก่อนไม่เคยฝึกตนมาก่อน อายุไม่ถือว่าต่างกันมากนัก คนที่อายุมากที่สุด ตอนนี้ก็แค่สามสิบปีเท่านั้น คนที่อายุน้อยสุดเป็นแค่เด็กน้อยอายุห้าหกขวบ การรับลูกศิษย์ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงนั้นแปลกประหลาดอย่างมาก ดูคุณสมบัติและฐานกระดูกเหมือนกัน แต่ไม่ได้เห็นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ขอแค่เดินบนเส้นทางการฝึกตนได้ก็พอแล้ว ที่มากกว่านั้นต้องเป็นคนที่นางถูกชะตาด้วย
วันนี้เฮ้อเสี่ยวเหลียงออกมาจากถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ใช้ฝึกตนเพียงลำพัง สำนักชิงเหลียงได้ยึดครองพื้นที่วิเศษฮวงจุ้ยดีเยี่ยมแห่งหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ทำการก่อสร้างใหญ่โตอะไร เพียงแค่บุกเบิกพื้นที่เล็กๆ ไว้ตรงกึ่งกลางของภูเขาบรรพบุรุษ กระท่อมแต่ละหลังสร้างเรียงติดกัน ลูกศิษย์ทั้งเก้าคนล้วนอาศัยอยู่ที่นี่ มีเพียงสถานที่ที่ใช้ถ่ายทอดวิชาความรู้ไขข้อข้องใจแห่งนั้นเท่านั้นที่พอจะดูเหมือนจวนเศรษฐีได้บ้าง ลักษณะคล้ายคลึงกับศาลบรรพชนของครอบครัวใหญ่ล่างภูเขา ทั้งสามารถใช้กราบไหว้บรรพชน แล้วก็สามารถเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือให้กับลูกหลานในตระกูลได้
การรับลูกศิษย์ของเฮ้อเสี่ยวเหลียง นางจะถ่ายทอดแค่คาถาลัทธิเต๋าที่ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำบทหนึ่งให้เท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขามากนัก แต่ได้เชิญคนต่างถิ่นคนหนึ่งมาสอนวิชาในชีวิตประจำวันให้แก่พวกลูกศิษย์ คนผู้นี้ทั้งไม่ใช่ผู้ถวายงาน แล้วก็ไม่ใช่เค่อชิง แต่กลับช่วยสอนวิชาความรู้ให้กับลูกศิษย์ทั้งเก้าของสำนักชิงเหลียงมานานหลายปี ไม่ได้ยึดติดกับแค่การวิเคราะห์ความมหัศจรรย์ของตำราลัทธิเต๋าเท่านั้น ความรู้ของสามลัทธิร้อยสำนัก คนผู้นี้ก็สอนด้วย ดูเหมือนเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะเชื่อใจในตัว ‘อาจารย์หลี่’ คนนี้มาก ไม่เคยกังวลว่าการอบรมสั่งสอนของเขาจะถ่วงเวลาการฝึกตนของลูกศิษย์ตน ยิ่งไม่กังวลว่าเขาจะทำให้สำนักชิงเหลียงที่นางป่าวประกาศแล้วว่าภายในร้อยปีจะไม่รับลูกศิษย์อีกกลายเป็นสำนักตระกูลเซียนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
ลูกศิษย์ทั้งเก้าคนที่ยังคงได้รับแค่การบันทึกชื่อเอาไว้ชั่วคราวล้วนให้ความเคารพอาจารย์หนุ่มที่รู้แค่ว่าแซ่หลี่คนนั้นมาก
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเดินมาถึงนอกหน้าต่างห้องเรียน
อาจารย์หลี่กำลังสอนบทประพันธ์และบทกลอนของลัทธิขงจื๊อ ก่อนหน้านี้เพิ่งอธิบายว่าข้อดีของ ‘หญ้าใบไม้ผลิถือกำเนิดในบ่อ’ และ ‘แสงจันทร์ส่องหอสูง’ อยู่ที่ตรงไหน ทอดถอนใจว่าบทกวีที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้มองเห็นทักษะได้ดีที่สุด ทำให้นักกวีรุ่นหลังรู้สึกเสียดายที่เกิดช้าไปร้อยปีพันปี จากนั้นก็ถือโอกาสเล่าว่าตระกูลชนชั้นสูงด้านล่างภูเขาแห่งหนึ่ง หรือไม่ก็พรรคบนภูเขาแห่งหนึ่ง นิสัยของบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาเป็นอย่างไร จะส่งผลกระทบต่อขนบธรรมเนียมประจำตระกูลและสำนักอย่างไร สุดท้ายจึงบอกคนทั้งเก้านั้นว่าหากในอนาคตพวกเจ้าได้เป็นบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาควรจะทำอย่างไรถึงจะผิดน้อยถูกมาก
มีคนเห็นว่าอาจารย์ปรากฏตัวจึงทำท่าจะลุกขึ้นคารวะ เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับยื่นมือออกมากดลงสองที บอกเป็นนัยให้รู้ว่าอยู่ในสถานที่อย่างห้องเรียน อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาใหญ่ที่สุด
อาจารย์หลี่ที่ยังหนุ่มอยู่มากผู้นั้นตั้งคำถามหนึ่งให้ลูกศิษย์ทั้งเก้าคนได้ใคร่ครวญ จากนั้นก็เดินออกจากห้องตามเฮ้อเสี่ยวเหลียงไป
เขาเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฮ้อ ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่เจ้ากลับ…ช่างเถอะ สาเหตุของเรื่องนี้ ข้าที่เป็นคนนอกไม่ควรถามให้มากความ แต่ข้าแน่ใจว่า ป๋ายฉางเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นมาโดยตลอด”
ต่อให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิเต๋าคนนั้น แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างกันใต้หล้าหนึ่ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยนิสัยของเซียนกระบี่อุตรกุรุทวีป หากเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ ไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้
และตอนนี้ป๋ายฉางก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าเขาไม่สนใจจริงๆ
เล่าลือกันว่าช่วงแรกเริ่มสุด ในอุตรกุรุทวีปเคยมีเซียนกระบี่บรรพกาลท่านหนึ่งใช้ปลายกระบี่ชี้หน้าลูกศิษย์คนหนึ่งของปรมาจารย์มหาปราชญ์ ยิ้มถามว่าเจ้าคิดว่าหนึ่งกระบี่ของข้าจะฟันลงไปหรือไม่
คำตอบก็แน่นอนว่าต้องฟันลงไป
แต่สุดท้ายแล้วเซียนกระบี่ท่านนั้นไปรบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนอริยะลัทธิขงจื๊อคนนั้นกลับไปก่อตั้งสำนักศึกษาฝูสุ่ยอยู่ที่อุตรกุรุทวีป ตอนที่เขายังมีชีวิตก็ให้การดูแลควันธูปและทายาทรุ่นหลังของเซียนกระบี่ท่านนั้นเป็นอย่างดี
เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มเอ่ย “อาจารย์หลี่ ตอนนี้ข้าเพิ่งเป็นขอบเขตหยกดิบได้แค่ไม่กี่ปี รอให้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหริน แล้วก็ไปถึงคอขวด หากไม่มีเวลาหลายร้อยปีก็ไม่มีทางทำได้แน่นอน ป๋ายฉางยินดีจะรอคอยก็รอไปเถอะ”
บัณฑิตที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงเรียกอย่างเคารพว่าอาจารย์หลี่คนนี้เอ่ยว่า “ลูกศิษย์ของเทียนจวินเซี่ยสือที่มาก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะบีบคั้นให้คนอื่นลำบากใจ”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ย “ปีนั้นระหว่างการเดินทางหาประสบการณ์ เขาเคยได้รับคำชี้แนะจากป๋ายฉาง ป๋ายฉางจึงถือว่ามีบุญคุณในการถ่ายทอดมรรคาส่วนหนึ่งให้แก่เขา บวกกับที่สำนักชิงเหลียงเปิดภูเขาตั้งสำนักได้ไปเบียดบังเอาโชคชะตาลัทธิเต๋าส่วนหนึ่งมาจากอุตรกุรุทวีป แน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมเอนเอียงเข้าหาสวีเซวี่ยนและป๋ายฉางมากกว่า”
อาจารย์หลี่ส่ายหน้า “หากหลักการเหตุผลสามารถเอามายืมใช้เช่นนี้ได้ ข้าว่าการถ่ายทอดมรรคาของเทียนจวินเซี่ยสือก็คงมีปัญหาใหญ่แล้ว”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลั้นยิ้ม
อาจารย์หลี่ถามอย่างสงสัย “ข้าพูดผิดหรือ?”
ไม่ว่าเรื่องใดก็ควรคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองก่อน นี่คือรากฐานในการศึกษาหาความรู้ของบัณฑิต
เฮ้อเสี่ยวเหลียงส่ายหน้า “คำพูดประโยคนี้ หวังว่าสักวันหนึ่งอาจารย์หลี่จะสามารถพูดกับเทียนจวินเซี่ยด้วยตัวเองได้”
อาจารย์หลี่ยิ้มกล่าว “หากมีโอกาสจะลองทำดู แต่ดูจากการกระทำของตัวเทียนจวินเซี่ยเองและจากตลอดทั้งสำนักของเขาแล้ว พูดเช่นนี้อาจไม่เป็นที่ชื่นชอบของเขาเสมอไป”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่พูดถึงปัญหาข้อนี้อีก ด้วยกลัวว่าจะทนไม่ไหวหลุดเสียงหัวเราะออกไปจริงๆ ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารลูกศิษย์ของเทียนจวินคนนั้นด้วย
นางหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มหน้าตางดงามคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้หลังคาห่างไปไกล เขามีนามว่าชุยซื่อ คือเด็กรับใช้ที่ติดตามอาจารย์หลี่เดินทางทัศนาจรข้ามทวีปมานานหลายปี
อาจารย์หลี่กล่าว “ข้าควรจะลงจากภูเขาแล้ว”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงคารวะด้วยการก้มลงกราบ “มิกล้ารั้งตัวอาจารย์ต่อแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!