พอไปนั่งบนโต๊ะกินข้าว หลี่เอ้อร์ก็แอบนินทาอยู่ในใจ นี่คือครั้งที่สองที่เมียตัวเองอนุญาตให้ตนดื่มเหล้าได้ตามสบาย คราวก่อนนั้นผ่านมานานหลายปีมากแล้ว
เห็นว่าเฉินผิงอันจงใจสะกดกลั้นปณิธานหมัดที่อยู่บนร่าง ดื่มเหล้าไปสองสามจอกได้ไม่นานก็หน้าแดงก่ำ หลี่เอ้อร์ก็พลันรู้สึกผิดปกติ ทำไม ดื่มเหล้าเมาพอหัวถึงหมอนก็หลับ เพราะคิดว่าหากได้กินหมัดน้อยลงหน่อยเท่าไรก็เท่านั้นหรือ? แต่นี่ไม่เหมือนเรื่องที่เฉินผิงอันจะทำได้เลย
แต่มีคนดื่มเหล้าอย่างเต็มคราบกับตน หลี่เอ้อร์ก็ยังอารมณ์ดีมาก จึงยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งยาว คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะยกเท้า โน้มตัวไปข้างหน้าเตรียมจะคีบหน่อไม้ผัดเนื้อที่อยู่ห่างจากตนไปไกล สตรีแต่งงานแล้วก็หันมาถลึงตาใส่ สั่งสอนให้เขาเอามาดของผู้อาวุโสออกมาบ้าง ทำเอาหลี่เอ้อร์คิดไม่ตกอยู่นาน แล้วก็ได้แต่นั่งตัวตรงแต่โดยดี ก่อนหน้านี้ไม่เห็นนางจะคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้เลย บางครั้งตนจิบเหล้าอึกสองอึก เมียเขาก็ไม่เห็นจะสนใจ ครอบครัวของพวกเขาก็เป็นกันอย่างนี้มาโดยตลอด ตอนหลี่ไหวเป็นเด็กก็ชอบนั่งยองอยู่บนม้านั่งตัวยาว แทะขาไก่บ้าง ตีนหมูบ้าง ที่บ้านไม่เคยมีการอบรมสั่งสอนใดๆ อย่างข้อที่ว่าสตรีไม่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะอาหาร ที่บ้านของหลี่เอ้อร์ก็ยิ่งไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้
หลี่เอ้อร์ชำเลืองตามองอาหารที่จงใจวางไว้ใกล้มือเฉินผิงอัน ผลกลับสังเกตเห็นว่าสตรีชำเลืองตามองตน หลี่เอ้อร์จึงเข้าใจว่าหน่อไม้ผัดเนื้อจานนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
อาหารคาวอาหารหนักทั้งหลายบนโต๊ะล้วนอยู่ใกล้เฉินผิงอัน ตรงหลี่เอ้อร์มีแต่ผัดผักจืดชืด หลี่เอ้อร์จิบเหล้าหนึ่งอึก แล้วก็หัวเราะ อันที่จริงภาพเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา
ช่วงเวลาหลายปีที่หลี่ไหวยังไม่ได้ออกจากบ้านไปขอศึกษาต่อ ในบ้านก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
หลี่ไหวเล่าเรียนหาวิชาความรู้อยู่ที่สำนักศึกษาต้าสุย พวกเขาสามคนย้ายมาอยู่ตีนเขายอดเขาสิงโตอุตรกุรุทวีป ต่อให้หลี่หลิ่วจะลงจากเขามาบ่อยๆ คนทั้งสามกินข้าวร่วมกัน แต่ไม่มีหลี่ไหวคอยก่อกวน หลี่เอ้อร์จึงมักจะรู้สึกว่าขาดรสชาติบางอย่างไป หลี่เอ้อร์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว นี่ไม่ได้เกี่ยวกับว่าหลี่หลิ่วผู้เป็นบุตรสาวเป็นใคร และตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หลี่เอ้อร์ก็มีข้อเรียกร้องต่อหลี่หลิ่วข้อเดียวเท่านั้น เรื่องข้างนอกก็จัดการข้างนอก อย่าเอาเข้ามาในบ้าน แน่นอนว่าลูกเขยสามารถเป็นข้อยกเว้นได้
เฉินผิงอันดื่มจนเมามายเสียเจ็ดแปดส่วน ไม่ถึงขั้นพูดจาลิ้นพันกัน เวลาเดินก็ไม่โซเซ เขาลุกจากโต๊ะแปดเซียนและเดินออกจากห้องหลักไปพักผ่อนที่ห้องของหลี่ไหว ถอดรองเท้าหุ้มแข้งออกแล้วเอนตัวนอนลงเบาๆ หลับตาลง แต่แล้วจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง เปลี่ยนทิศทางของปลายรองเท้าที่วางอยู่ข้างเตียงให้หันด้านแหลมเข้ามาในห้อง แล้วถึงได้นอนหลับต่ออย่างสงบ
ที่แท้ก็คิดถึงภูเขาลั่วพั่วบ้านเกิดและลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเองแล้ว
หลี่เอ้อร์ยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดจานชาม สตรียังนั่งอยู่ที่เดิม แล้วอยู่ดีๆ นางก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “หลี่เอ้อร์ เจ้าคิดว่าเด็กอย่างเฉินผิงอันเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่เอ้อร์ยิ้มตอบ “ก็ดีน่ะสิ”
ไม่อย่างนั้นปีนั้นชายฉกรรจ์ก็ไม่มีทางคิดจะขายข้องราชามังกรและปลาจินหลี่สีทองให้เฉินผิงอันเป็นการส่วนตัว ด้วยเรื่องนี้เขายังถูกด่าที่ร้านยาตระกูลหยางไปรอบหนึ่ง
สตรีเอ่ยเบาๆ “เจ้าคิดว่าเด็กคนนี้จะหมายตาลูกสาวของพวกเราไหม?”
หลี่เอ้อร์หยุดมือที่ขยับง่วนลง กล่าวอย่างระอาใจว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องหมายตาไม่หมายตาอะไรแล้ว เฉินผิงอันมีคนที่ชอบอยู่นานแล้ว”
สตรีรู้สึกผิดหวังอย่างมาก “ลูกสาวของเราไม่มีโชคเสียเลย”
หลี่เอ้อร์เพียงยิ้มไม่ต่อคำ
สตรีตบโต๊ะ กล่าวอย่างมีโทสะ “ยิ้มอะไร หลี่หลิ่วใช่บุตรสาวแท้ๆ ของเจ้าหรือไม่? หรือว่าข้าแอบไปมีสัมพันธ์กับบุรุษคนอื่นมา?”
หลี่เอ้อร์ทำคอย่น พูดเสียงไม่พอใจ “พูดจาเหลวไหลอะไร”
สตรีบ่นอย่างขุ่นเคือง “ลูกสาวไม่มีไหวพริบ คนเป็นพ่อก็ไม่เอาไหน แล้วยังไม่ใส่ใจอีก ชาติก่อนลูกสาวพวกเราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้กันแน่ ถึงได้มาเกิดในตระกูลที่ต้องมีชีวิตยากลำบากเช่นนี้ หรือว่าในอนาคตยังต้องให้หลี่ไหวเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเมีย ถึงเวลานั้นแม้แต่พี่สาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วก็ยังต้องดูแลไปชั่วชีวิตด้วย?”
หลี่เอ้อร์ถามอย่างใคร่รู้ “ต่งสุ่ยจิ่งกับหลินโส่วอีที่เรียนอยู่ในโรงเรียนกับหลี่ไหวต่างก็ชอบลูกสาวของพวกเรามาตั้งแต่เด็กไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนไม่เห็นว่าเจ้าจะสนใจขนาดนี้ ยังมีบัณฑิตที่คราวก่อนเดินทางมาร่วมกับพวกเราอีก เจ้าเองก็คิดว่าท่าทางเขาดูไม่เลวเหมือนกันไม่ใช่หรือไร?”
สตรีส่ายหน้า “นั่นมันไม่เหมือนกัน ข้ามองไปมองมาก็ยังรู้สึกว่าเฉินผิงอันเหมือนอาจารย์ฉีของโรงเรียนมากที่สุด ข้าอธิบายเหตุผลไม่ถูก แต่ข้ามองคนแม่นยำมากมาโดยตลอด”
หลี่เอ้อร์จึงไม่พูดอะไรอีก เขาพยักหน้ารับ แล้วเก็บชามเก็บตะเกียบต่ออีกครั้ง
คราวก่อนที่เมียของเขาให้เขาดื่มเหล้าได้อย่างเต็มที่ก็คือครั้งที่อาจารย์ฉีแวะมาเยี่ยมที่บ้าน
สตรีแต่งงานแล้วถามหยั่งเชิง “ลูกสาวของพวกเราไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ หรือ?”
หลี่เอ้อร์จึงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย การป้อนหมัดต่อจากนี้ เขาจะทำให้เฉินผิงอันกินอิ่มจนท้องแตกตาย คาดว่าต่อให้มีโอกาสก็คงไม่เหลือโอกาสแล้วกระมัง?
วันต่อมา ฟ้าเริ่มสางเฉินผิงอันก็ตื่นแล้ว เขาช่วยหาบน้ำกลับมาให้ ตรงบ่อน้ำแห่งนั้น เขาเจอพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงสอบถาม ก็เลยบอกไปว่าเป็นญาติห่างๆ ของตระกูลหลี่
จากนั้นหลี่เอ้อร์ก็พาเฉินผิงอันออกจากบ้านไปที่ยอดเขาสิงโต เขาบอกสตรีว่าจะขึ้นเขาไปเดินเล่น สตรีหน้าบานเป็นกระด้ง ยิ้มจนปากหุบไม่ลง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร หลี่เอ้อร์จึงรู้สึกสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่านางยังมีเรื่องอะไรให้ดีดลูกคิดได้อีก
หลี่เอ้อร์พาเฉินผิงอันตรงไปที่ศาลบรรพจารย์ของยอดเขาสิงโต
เดินคุยเล่นกันไปตลอดทาง เกี่ยวกับเรื่องที่ทุกวันนี้เจิ้งต้าเฟิงทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่ว หลี่เอ้อร์เอ่ยขอบคุณเฉินผิงอันหนึ่งคำ
เฉินผิงอันบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องขอบคุณ
แต่หลี่เอ้อร์กลับบอกว่าด้วยนิสัยของเจิ้งต้าเฟิงนั้น หากเป็นในอดีต กลายเป็นคนไร้ค่าอยู่ต่างถิ่น จะต้องไม่ยอมกลับมาที่ร้านตระกูลหยางอีกตลอดชีวิตแน่นอน คงจะใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ และชีวิตนี้ของเขาก็ถือว่าจบสิ้นแล้วจริงๆ ทำตัวไม่เอาไหนมาตลอดชีวิต สุดท้ายอาจารย์ไม่เคยมองเจิ้งต้าเฟิงเป็นลูกศิษย์อย่างเต็มๆ ตาสักครั้ง เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่กล้าเห็นตัวเองเป็นลูกศิษย์ ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ ตกอับก็ส่วนตกอับ แต่อาจารย์และศิษย์กลับกลายเป็นอาจารย์และศิษย์จริงๆ ซึ่งแตกต่างไปจากในอดีตอยู่มาก
อันที่จริงเฉินผิงอันรู้สึกมาโดยตลอดว่าท่านอาหลี่ผู้นี้คือคนประเภทที่ใช้ชีวิตได้อย่างเข้าใจมากที่สุด
ตอนนี้มาลองมองดูอีกครั้งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หวงไฉ่เจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโตคือเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีมาดของเทพเซียนคนหนึ่ง
ในบรรดาผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของอุตรกุรุทวีป หวงไฉ่คือคนที่ขึ้นชื่อในด้านการต่อสู้
หลี่เอ้อร์ไม่มีการทักทายปราศรัยตามมารยาทอะไร เขาบอกให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเฒ่าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือท่านนี้ปิดภูเขาโดยตรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!