เด็กสาวและสตรีโตเต็มวัยกลุ่มหนึ่งกำลังซักผ้าอยู่ริมน้ำ จุดที่ภูเขาและสายน้ำเชื่อมต่อกันมีหน่ออ่อนกล้วยไม้แช่อยู่ในสายน้ำ ต้นสนต้นป่ายบนภูเขาเขียวขจี
สตรีออกเรือนแล้วที่เฉินผิงอันเรียกว่าท่านอาหลิ่วกับบุตรสาวหลี่หลิ่วนำเสื้อผ้ามาปูซักอยู่บนกระดานหินเขียวริมน้ำด้วยกัน
เมืองเล็กตรงตีนเขาของยอดเขาสิงโตมีคนอยู่อาศัยสี่ห้าร้อยครัวเรือน จำนวนคนไม่น้อย มองดูเหมือนว่าจะอยู่ติดกับยอดเขาสิงโต แต่ในความเป็นจริงแล้วเส้นหนึ่งที่กั้นขวางกลับทำให้ต่างกันราวฟ้ากับดิน ตลอดเวลานับร้อยนับพันปีพวกเขาแทบจะไม่เคยไปมาหาสู่กัน และก็กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เส้นทางการเดินขึ้นเขาของยอดเขาสิงโตอยู่ห่างจากเมืองเล็กค่อนข้างไกล ต่อให้เป็นเด็กเล็กซุกซนที่ชอบเล่นสนุกแค่ไหน อย่างมากสุดวิ่งมาถึงหน้าประตูภูเขาก็หยุดเดินไม่ได้วิ่งไปต่อแล้ว มีใครกล้าบุกไปรบกวนการฝึกตนของเซียนบนภูเขาบ้างเล่า หลังจบเรื่องจะต้องถูกผู้ปกครองหิ้วตัวกลับมา จับนอนคว่ำพาดม้านั่งยาว ตีจนก้นลายร้องไห้จ้า
ในเมืองหลวงคนที่อยู่มาจนผู้คนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี หากไม่ใช่คนที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการของอำเภอ ไปหาเงินก้อนใหญ่อยู่นอกบ้าน กลับบ้านมาก็สร้างเรือนหลังใหญ่ ไม่ก็เป็นในครอบครัวที่เด็กรุ่นหลังในตระกูลเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต หรือไม่ก็เป็นหญิงหม้ายหน้าตาดี นอกจากนี้ก็คือคนที่เปิดร้านทำการค้าอย่างท่านอาหลิ่ว ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด คนที่ปากร้ายไม่ยอมคนส่วนใหญ่ก็มักไม่มีใครยอมปล่อยไปง่ายๆ ไปๆ มาๆ ทุกคนจึงรู้จักสตรีแซ่หลิ่ว สตรีออกเรือนแล้วของเมืองเล็กแห่งนี้มักจะชอบหัวเราะเยาะสตรีแซ่หลิ่วคนนี้ เกี่ยวกับเรื่องที่นางบอกว่าลูกชายของตนเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาใหญ่นั้นก็ยิ่งไม่มีใครเชื่อ แม้แต่เรื่องที่ว่าสตรีได้ให้กำเนิดลูกชายที่สืบพันธ์จริงได้หรือไม่ ก็ยังไม่มีใครยินดีจะเชื่อ ลูกสาวหน้าตาสวยงามแล้วอย่างไร พอแต่งงานออกเรือนก็ยังต้องเป็นน้ำที่สาดออกไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นมีลูกสาวหน้าตาดีขนาดนี้ ควันเขียวก็คงผุดขึ้นมาบนหลุมศพบรรพบุรุษแล้ว ว่ากันว่าไปเป็นสาวใช้ให้เทพเซียนผู้เฒ่าบางคนบนยอดเขาสิงโต หากมีบุตรชายที่มีหวังว่าจะมียศถาชื่อเสียงอีกคน ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าล้วนถูกนางครอบครองไปคนเดียว พวกนางจะมีชีวิตอยู่กันอย่างไร? ในใจจะไม่อัดอั้นแย่หรือ?
ดังนั้นพวกนางจึงไม่คิดว่าสตรีแซ่หลิ่วจะหาลูกเขยที่สูงส่งเกินจะปีนป่ายได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็แต่งกายไม่เฉิดฉัน คำพูดคำจายามที่เอ่ยกับผู้อื่นก็ไม่มีราศีของคนมีเงินหรือคนที่เคยเล่าเรียนหนังสือมาก่อน เวลาที่พูดคุยกับคนอื่น มองคนต้องมองที่ดวงตา คนที่สายตาล่อกแล่กความคิดชั่วร้ายย่อมมีมาก หลักการเหตุผลตื้นเขินข้อนี้ พวกชาวบ้านร้านตลาดให้ความสำคัญเป็นที่สุด
ดังนั้นลูกเขยที่ร้านตระกูลหลี่เลือกมาคงไม่ได้ดีจนถึงขั้นทำให้เพื่อนบ้านอิจฉาตาร้อน แต่ก็จำต้องยอมรับว่า คนหนุ่มผู้นี้นิสัยใจคอไม่เลว เหมาะจะเป็นคู่ครองที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างยาวนานได้
ลูกเขยของบ้านอื่นไม่ถือว่าดีมากนัก แต่ก็ไม่ถือว่าแย่เกินไป ในใจของเหล่าสตรีทั้งหลายจึงรู้สึกต่างไปจากเดิม
หลี่หลิ่วฟังมารดาที่พูดคุยกับคนอื่นด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย นางที่ใช้ไม้ทุบผ้าก็ครุ่นคิดเรื่องอื่นไปด้วย คิดจากเรื่องเล็กไปเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กเกิดขึ้นในร้านและเมืองเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ก็ใหญ่จนไม่ได้อยู่แค่ในใต้หล้าไพศาล
ชาตินี้ภพนี้นางหล่นลงมาในถ้ำสวรรค์หลีจู เดิมทีก็คือการจัดการวางแผนอย่างตั้งใจของทางฝั่งร้านตระกูลหยางอยู่แล้ว นางรู้ว่าครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิม ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอยู่ใกล้ร้านตระกูลหยางขนาดนั้น และในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ ปีนั้นนางกับหลี่เอ้อร์ผู้เป็นบิดาไปที่ร้านแห่งนั้นด้วยกัน หลี่เอ้อร์ทำหน้าที่เป็นลูกจ้างอยู่ในร้านด้านหน้า ส่วนนางไปที่เรือนด้านหลัง หยางเหล่าโถวพูดจารุนแรงกับนางเป็นครั้งแรก บอกว่าหากนางยังฝึกตนด้วยวิธีเดิมๆ เปลี่ยนสถานะและเนื้อหนังมังสาครั้งแล้วครั้งเล่า เดินเร็วขึ้นเขา เพียงแค่ไปเดินวนอยู่บนยอดเขา แล้วสะสมไปอีกสิบชีวิต ผ่านไปอีกพันปี ก็ยังคงเป็นแค่พวกครึ่งๆ กลางๆ แม้แต่คนก็ยังไม่ใช่ ยังคงติดค้างอยู่ที่คอขวดของขอบเขตเซียนเหรินตลอดเวลา ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้ชีวิตนี้ฝึกตนได้ขอบเขตบินทะยานแล้วจะอย่างไร? หมัดจะใหญ่ได้สักแค่ไหนกันเชียว? ถอยไปพูดอีกก้าว สถานศึกษาสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อมีอริยะมากมายขนาดนั้น จะปล่อยให้เจ้าหลี่หลิ่วได้มีโอกาสปลดปล่อยฝีมือจริงหรือ? อย่างมากสุดหลังจากตายไปหนึ่งครั้งก็คือตายอีกครั้ง ความเป็นความตายที่วนเวียนเป็นวงจรเช่นนี้ไม่ได้มีความหมายมากนัก มีเพียงทุกครั้งที่ตายสามารถสะสมคุณความชอบได้หนึ่งครั้ง หรือไม่ก็ทำลายกฎเกณฑ์ ให้ศาลบุ๋นจดลงบัญชีไว้สักครั้งเท่านั้นที่ยังพอจะมีความหมาย
ตลอดหลายปีที่หลี่หลิ่วอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู นางไม่ค่อยปรากฏตัวบ่อยนัก ความทรงจำที่นางมอบให้แก่เพื่อนบ้านทางฝั่งตะวันตกของเมืองเล็ก นอกจากหน้าตางดงามเหมือนมารดานาง แต่นิสัยเหมือนหลี่เอ้อร์แล้ว ก็คือมือเท้าคล่องแคล่วว่องไว พูดไม่มาก ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับนางที่มีค่าพอให้เอามาพูดถึง ทั้งไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันที่สนิทกันมากเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่มีจุดที่พวกผู้ใหญ่ต้องชี้แนะสั่งสอน
แต่หลี่หลิ่วมักจะไปรับหลี่ไหวที่โรงเรียนเป็นประจำ ทว่านางกลับไม่เคยพูดกับอาจารย์ฉีท่านนั้น
ตอนที่อาจารย์ฉีสอนหนังสือ แล้วพอเห็นเด็กสาวที่อยู่นอกห้องเรียนก็จะมองแวบหนึ่ง อย่างมากสุดก็แค่พยักหน้าเบาๆ พร้อมยิ้มให้เท่านั้น
ราวกับว่าเป็นเพียงแค่การปฏิบัติตามมารยาท หรือไม่ก็ถือว่ามองนางเป็นคนแล้ว?
หลี่หลิ่วเห็นเรื่องราวประหลาดบนโลกมานับร้อยนับพันรูปแบบ บวกกับรากฐานและสถานะของนางจึงทำให้เมินเฉยต่อโลกมนุษย์มานานแล้ว แรกเริ่มก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่มองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาท่านนี้เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อทั่วไปที่มาเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็ก
หลี่หลิ่วเคยถามร้านตระกูลหยางว่าอาจารย์สอนหนังสือที่ตลอดทั้งปีเอาแต่สอนหลักการเหตุผลให้กับเด็กเล็กในหมู่บ้านชนบทรู้ประวัติความเป็นมาของตนหรือไม่ ปีนั้นหยางเหล่าโถวไม่ได้ให้คำตอบ
ครั้งเดียวที่อาจารย์ฉีพูดคุยกับนางก็คือ คราวนั้นเขาที่มาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน มาดื่มเหล้ากับหลี่เอ้อร์บิดาของนาง
ตอนที่นางหยิบกับแกล้มง่ายๆ สองสามจานมาวางไว้บนโต๊ะ อาจารย์ฉียิ้มพูดกับนางว่า ‘หลี่หลิ่ว พวกเราเกิดมาท่ามกลางฟ้าดิน อันที่จริงไม่ได้มีความต่างกันมากนัก ก็แค่การเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อครั้งหนึ่งที่มองดูเหมือนไม่มีโอกาสกลับคืนสู่บ้านเกิดก็เท่านั้น สุดท้ายสิ่งที่ตัดสินว่าพวกเราเป็นใคร ไม่ใช่เนื้อหนังมังสาที่ทรุดโทรมลงทุกวัน มีเพียงว่าพวกเราคิดอย่างไร ถึงขั้นที่ไม่ได้อยู่ที่ว่าพวกเราต้องการอะไร ต้องการเดินทางไปไกลแค่ไหน แต่เป็นเพียงแค่วิชาความรู้บนคำสองคำว่า ‘อย่างไร’ เท่านั้น ชีวิตคนนั้นสั้นนัก ต้องมีจุดหยุดเดินที่แม้จะยังมีเรี่ยวแรงแต่ก็ไม่อาจช่วยให้ข้าเดินหน้าได้ต่อ ถึงเวลานั้นพอมองย้อนกลับมา บนเส้นทางที่เดินมา แต่ละก้าวก็คืออย่างไรที่เดินออกมาเป็นอะไร’
จากนั้นอาจารย์ฉีก็หยิบถ้วยขาวใบใหญ่บรรจุเหล้าชั้นเลวที่หมักเองขึ้นมาเบาๆ ‘ต้องเคารพพวกเจ้า เพราะมีพวกเจ้า ถึงได้มีพวกเรา มีฟ้าดินที่กว้างใหญ่แห่งนี้ และยิ่งมีข้าฉีจิ้งชุนที่ได้มาดื่มเหล้าอยู่ที่นี่’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!