สรุปตอน บทที่ 558.2 เหล้าหนึ่งกา กับแกล้มหนึ่งจาน – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 558.2 เหล้าหนึ่งกา กับแกล้มหนึ่งจาน ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
“มีใจที่อยากช่วงชิงชัยชนะเอาชีวิตรอด ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องทำตัวเป็นคนบุ่มบ่ามที่ไม่รู้จักหนักเบา ร่างถอยทว่าปณิธานหมัดเพิ่มทะยาน ก็ไม่ถือว่าถอยให้แม้แต่ครึ่งก้าว”
หลี่เอ้อร์ผงกศีรษะ พูดต่อไปว่า “มนุษย์ธรรมดา หากชีวิตปกติอยู่ใกล้กับมีด ก็ย่อมไม่กลัวกระบองกระบี่ เป็นเหตุให้ยามที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขัดเกลามหามรรคาจึงต้องไปประลองฝีมือกับคนรุ่นเดียวกันบ่อยๆ หรือไม่ก็ไปเยือนสนามรบ ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวรับมือกับศัตรูนับสิบ ฝ่าวงล้อมดาบทวนกระบี่หอกนับร้อยออกไปให้ได้ นอกจากตัวบุคคลแล้ว ที่มากกว่านั้นก็คืออาวุธที่พวกเขาพกพามาด้วย สิ่งที่ฝึกฝนก็คือดวงตาหนึ่งคู่ที่มองเส้นทางสี่ด้าน หูฟังแปดทิศ และยิ่งเพื่อตามหาจิตบู๊ดวงหนึ่งให้เจอ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็กล้าออกหมัดใส่”
หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “หากยังไม่ได้เรียนวรยุทธอย่างแท้จริงก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากและอุปสรรคมาก่อนแล้ว นี่ไม่เพียงแต่ต้องให้ผู้ฝึกยุทธขัดเกลาเรือนกาย หล่อหลอมกระดูกเส้นเอ็นให้แข็งแกร่งทนทาน ก็ยังหวังด้วยว่ายามที่เจอกับคนที่มีฝีมือแตกต่างกันอย่างชัดเจน จะไม่เกิดใจหวาดกลัว แต่หากเรียนวิชาโจมตีสังหารคนได้สำเร็จแล้ว แต่กลับจมจ่อมอยู่กับมัน สักวันหนึ่งมันย่อมย้อนกลับมาเป็นภาระให้ตัวเอง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ออกหมัดสูง”
แล้วก็พูดเสริมอย่างรวดเร็วอีกประโยคว่า “ไม่ออกหมัดง่ายๆ”
หลี่เอ้อร์ถึงได้หยุดมือ ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่คำกล่าวว่า ‘ไม่ออกหมัดสูง’ ของเฉินผิงอัน ก็คงต้องกินหมัดที่อย่างน้อยต้องมีพละกำลังเริ่มต้นที่ขอบเขตสิบเน้นๆ เต็มๆ อีกหนึ่งหมัด
ฝึกหมัดฝึกวรยุทธก็คือการเผชิญกับความเจ็บปวดทรมาน หากคิดแค่ว่าถ้าไม่ต้องออกหมัดได้ก็จะไม่ออกหมัด ก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไร
หลี่เอ้อร์ยืนอยู่ที่เดิม ลมหายใจเป็นปกติ เขายื่นมือข้างซ้ายออกมา ใช้มือข้างขวาตบข้อมือซ้าย ท่อนแขนช่วงล่าง ข้อต่อกระดูกและกล้ามเนื้อทีละจุดเบาๆ พลางเอ่ยเนิบช้าว่า “เส้นเอ็นและกระดูกของคนเหมือนรากภูเขาเส้นทางมังกร กล้ามเนื้อแต่ละจุดก็เหมือนกลุ่มภูเขาที่รวมตัวกัน ขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูก หล่อหลอมเรือนกาย สิ่งที่ขัดเกลาก็คือขอบเขตเล็กละเอียดทุกๆ ขอบเขต เอาทุกจุดที่เล็กละเอียดอย่างถึงที่สุดซึ่งมีมากนับไม่ถ้วนมาขัดเกลาให้ได้ถึงจุดสูงสุด จากนั้นก็สะสมเพิ่มไปโดยที่ไม่ขัดแย้งกันเอง หนึ่งหมัดปล่อยไป ประตูเมืองไม่อยากเปิดก็ต้องเปิด ขุนเขาไม่ปริแตกก็ต้องปริแตก!”
หลี่เอ้อร์เก็บมือข้างขวามาแล้วพลันสะบัดมือซ้าย
พายุลมกรดพัดโหมจนชุดเขียวของเฉินผิงอันสะบัดเสียงดังพึ่บพั่บ
กระแสน้ำไหลรอบผิวกระจกก็ยิ่งไหลย้อนกลับ
หลี่เอ้อร์พูดเช่นนี้ เฉินผิงอันฟังได้เข้าใจเป็นอย่างดี เพราะนี่มีความคล้ายคลึงกับการสะสมปราณวิญญาณในจวนช่องโพรงที่ผู้ฝึกลมปราณพยายามจะบุกเบิกให้ได้มากที่สุด
สิ่งที่ต้องการนั้นมองดูเหมือนเป็นการช่วงชิงกับคนขอบเขตเดียวกันที่สามารถนั่งทัดเทียมกันได้ แต่ข้ากลับสามารถใช้จำนวนที่มากกว่าเอาชนะจำนวนที่น้อยกว่า หนึ่งกำลังสยบกดสิบกำลัง
หลี่เอ้อร์แยกขาแยกมือตั้งท่าหมัดช้าๆ
สุดท้ายเมื่อตั้งท่าหมัดได้มั่นคงแล้ว หลี่เอ้อร์จึงกล่าวว่า “เท้า มือ ตา ท่า กำลัง ลมปราณ ปณิธาน ในนอกรวมเป็นหนึ่ง นี่ก็คือฟ้าดินขนาดเล็กที่ผู้ฝึกลมปราณสร้างขึ้น ผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเรามีปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์อยู่หนึ่งเฮือก ก็คือกองทัพม้าเหล็กหนึ่งกองที่บุกเบิกดินแดน ทว่าผู้ฝึกลมปราณกลับแสวงหาผู้พิทักษ์ดินแดนที่มีคุณความชอบ มีนครยักษ์โอฬาร จัดวางค่ายกลขบวนรบ แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เจิ้งต้าเฟิงพูด ข้าคิดคำพูดที่ไพเราะเช่นนี้ไม่ออก”
หลี่เอ้อร์กระทืบเท้าเบาๆ “ขาไม่มีพละกำลังก็คือผีบังตา หากแรกเริ่มของการฝึกวรยุทธแล้วก้าวแรกเดินผิดก็เท่ากับยันต์ผีวาด ไม่ต้องไปคิดถึงขอบเขตที่ ‘พลังชีวิตเปี่ยมล้น คนคือคนสมบูรณ์แบบ’ เลย”
หลี่เอ้อร์ยื่นนิ้วออกมาง่ายๆ งอนิ้วลงเบาๆ ชี้ไปที่ดวงตาทั้งคู่ของตัวเอง “จะฝึกวรยุทธให้เข้าขั้นก็จะต้องฝึกดวงตาทั้งคู่ให้แจ่มกระจ่าง ประเมินศัตรูอยู่ในใจ มองหมัดอยู่ในดวงตา”
เสี้ยววินาทีนั้นเฉินผิงอันก็ถูกสองหมัดต่อยกระแทกลงบนหน้าอก ร่างถอยกรูดปลิวออกไป เขาหมุนตัวอยู่กลางอากาศ สองมือจับพื้น ห้านิ้วงอเป็นตะขอ บนพื้นผิวกระจกถึงขั้นเกิดเป็นประกายไฟสองสาย เฉินผิงอันถึงจะหยุดเรือนกายที่ถอยกรูดเอาไว้ ไม่ให้ตัวเองตกลงไปในน้ำได้
หลี่เอ้อร์ยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ เอ่ยว่า “หมัดนี้ของข้าไม่หนักและไม่เร็ว แต่เจ้าก็ยังสกัดขวางไว้ไม่อยู่ เป็นเพราะอะไร? เพราะดวงตาและใจของเจ้ายังผ่านการฝึกฝนมาไม่มากพอ ต่อกรกับผู้แข็งแกร่ง ระหว่างเส้นแบ่งแห่งความเป็นความตาย สัญชาตญาณหลายอย่างทั้งสามารถช่วยชีวิต แล้วก็ทั้งทำให้เกิดความผิดพลาดได้ การขยับตัวของข้าเมื่อครู่นี้ ทำให้เจ้าเฉินผิงอันมองนิ้วมือและดวงตาทั้งคู่ของข้าตามจิตใต้สำนึก นี่ก็คือสัญชาตญาณของคนเรา ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันจะระวังมากพอ ก็ยังช้าไปเสี้ยวหนึ่ง ทว่าเสี้ยวหนึ่งนี้กลับเป็นตัวตัดสินเป็นตายของผู้ฝึกยุทธ การเข่นฆ่ากับผู้อื่นตัวต่อตัว ไม่ใช่การท่องเที่ยวตามภูเขาสายน้ำ ไม่มีโอกาสให้เจ้าได้ใคร่ครวญอย่างละเอียด ขยับเข้าใกล้อีกก้าว ใจถึงแต่มือยังไม่ไปถึง นี่ก็คือโรคใหญ่ของการฝึกวรยุทธเหมือนกัน”
หลี่เอ้อร์พูดมาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “เจ้าเฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองมองคนอย่างละเอียดมากพอแล้ว แล้วก็ระมัดระวังตัวทุกชั่วขณะมากแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือปาดคราบเลือดตรงมุมปาก แล้วพยักหน้ารับ
หลี่เอ้อร์กล่าว “นี่ก็คือต้นตอโรคที่ทำให้ปณิธานหมัดของเจ้าเกิดจุดด่างพร้อย เพราะมักจะรู้สึกว่าความสามารถในข้อนี้มีมากพอแล้ว แต่ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ มันอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก ตอนนี้เจ้าน่าจะยังไม่รู้ชัดเจน การเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด ขอบเขตเก้าบนโลก ส่วนใหญ่มักจะตายอยู่บนเส้นทางที่ตัวเองถนัดที่สุด เพราะอะไร? เพราะหากเป็นข้อเสียก็มักจะระมัดระวังรอบคอบมากขึ้น แต่การออกหมัดคือข้อดี จึงมักจะรู้สึกพึงพอใจโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้”
ต่อมาหลี่เอ้อร์ก็ตั้งท่าหมัดและท่ามือเริ่มต้นของกระบวนท่าหมัดอีกครั้ง
เฉินผิงอันหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยหมัดอีกรอบ
“ทิศทางถูกต้องแล้ว”
หลี่เอ้อร์พยักหน้า “ฝึกวิชาหมัดไม่ใช่การฝึกตน ต่อให้ขอบเขตของเจ้าจะถูกยกขึ้นสูงแค่ไหน แต่หากไม่ลงมือในจุดที่เล็กละเอียดที่สุด ถ้าอย่างนั้นการทรุดโทรมของเส้นเอ็นและกระดูก การเสื่อมถอยของเลือดลม จิตใจไม่กระปรี้กระเปร่า ล้วนเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นทั้งสิ้น หนีไม่พ้นแม้แต่ข้อเดียว นักต่อสู้ล่างภูเขาฝึกวิชาหมัดทำร้ายร่างกายตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาหมัดสายนอกที่เป็นเพียงแค่การเอาชีวิตมาแลกเปลี่ยนกับพละกำลังและลมปราณ วิชาหมัดไม่ถูกเคี่ยวกรำให้ลึกซึ้งถึงแก่น ก็เท่ากับรนหาที่ตาย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจึงได้แต่อาศัยปณิธานหมัดมาหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเอง เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้อธิบายให้ชัดเจนได้ยาก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่เอ้อร์ก็นั่งลงขัดสมาธิ ยื่นมือกวักเรียกให้เฉินผิงอันนั่งลงด้วยกัน
หลี่เอ้อร์เงียบไปพักใหญ่ คล้ายกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจอย่างที่หาได้ยาก “‘ภายนอกการพรรณนาภาพจริง ความหมายของภาพภายนอก’ นี่ก็คือคำกล่าวที่เจิ้งต้าเฟิงกล่าวหลังจากฝึกวิชาหมัดในปีนั้น เขาพร่ำพูดอยู่หลายรอบ ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็จำเอาไว้แล้ว เจ้าก็ลองฟังดูว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ วิธีการเรียนวิชาหมัดของข้ากับเจิ้งต้าเฟิงไม่ค่อยเหมือนกัน และอันที่จริงสัจธรรมแห่งหมัดของพวกเราสองฝ่ายก็ไม่มีสูงต่ำ หากเจ้ามีโอกาส ตอนกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็สามารถพูดคุยกับเขาได้ เจิ้งต้าเฟิงก็แค่มีปณิธานหมัดที่ต่ำกว่าข้า ถึงทำให้ดูเหมือนว่าวิชาหมัดสู้ข้าที่เป็นศิษย์พี่ไม่ได้ ช่วงเวลาหลายปีที่เจิ้งต้าเฟิงเพิ่งจะฝึกเรียนหมัด เขาบ่นอยู่ตลอดว่าอาจารย์ลำเอียง มักจะคิดว่าวิธีการเรียนวิชาหมัดที่อาจารย์เลือกให้พวกเราสองคนนั้น จงใจให้เขาเจิ้งต้าเฟิงเดินช้ากว่าหนึ่งก้าว พอช้าไปก้าวหนึ่ง ทุกก้าวก็ช้าตามไปด้วย ภายหลังอันที่จริงตัวเขาเองก็คิดจนเข้าใจได้กระจ่างแล้ว ก็แค่ว่าปากไม่เคยยอมรับเท่านั้น ดังนั้นข้าถึงรำคาญปากของเขามาก คนคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตู ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ปากกลับไม่มีหูรูด ดังนั้นเวลาที่ต้องประลองฝีมือกัน ข้าจึงมักจะซ้อมเขาไปไม่น้อย”
หลี่เอ้อร์กำสองมือเป็นหมัด ร่างโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อย เพียงแค่ท่วงท่าที่เป็นไปโดยความเคยชินนี้ กลับทำให้เกิดภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาตั้งตระหง่าน
ล้วนเป็นเพราะปณิธานหมัดทั้งสิ้น
หลี่เอ้อร์เอ่ยเนิบช้า “ฝึกวิชาหมัดได้สำเร็จส่วนเล็ก ยามที่นอนหลับ ปณิธานหมัดจะไหลรินทั่วร่าง ยามเจอศัตรูก็จะตื่นขึ้นมาก่อน เหมือนมีเทพคอยปกป้องคนฝึกหมัด ยามนอนหลับยังเป็นเช่นนี้ นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงตอนตื่นเลย ดังนั้นคนฝึกวรยุทธจะต้องการสมบัติอาคมติดตัวไปทำไม? นี่ก็คือหลักการเดียวกันกับที่ผู้ฝึกกระบี่ไม่ต้องการใช้วัตถุอื่นในการโจมตี”
หลี่เอ้อร์หัวเราะ ต่อยหมัดหนึ่งลงบนผิวกระจกเบาๆ จากนั้นก็คลายหมัดเป็นฝ่ามือ แล้วกำเป็นหมัดหลวมๆ เอ่ยว่า “เหนือหัวคือฟ้าใส ใต้เท้าคือผืนดิน เก็บหมัดเหมือนอุ้มเด็กทารก นี่ก็คือการมีพร้อมทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนวล หากเอาแต่แสวงหาความสุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว ย่อมไม่ใช่สัจธรรมแห่งหมัดที่แท้จริง นานวันเข้า ยิ่งฝึกหมัดนานเท่าไรก็จะยิ่งสามารถเชื่อมโยงติดต่อ เก็บปล่อยได้ตามใจปรารถนามากเท่านั้น เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้านี้เป็นวิชาหมัดที่ดี? ถึงขั้นสามารถถือว่าเป็นหนึ่งในวิชาหมัดที่ดีที่สุดในใต้หล้าได้อีกด้วย? เพราะมองดูเหมือนดุร้าย แต่กลับมีความหมายของ ‘คนต่อยหมัด’ ที่แท้จริง ไม่ใช่คนตามหมัด”
เฉินผิงอันรู้สึกกังขาเล็กน้อย แล้วก็สงสัยใคร่รู้ เพียงแต่ว่าคำถามที่อยู่ในใจไม่เหมาะจะเอ่ยออกมาก็เท่านั้น
เพราะเฉินผิงอันอยากรู้ว่า ในสายตาของหลี่เอ้อร์ ผู้อาวุโสชุยที่อยู่ชั้นสองของภูเขาลั่วพั่วคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เป็นอย่างไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!