หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มแล้วถามย้อนกลับว่า “ท่านเฉินไม่สงสัยเลยหรือว่าความจริงพวกนี้เป็นบิดาข้าที่เป็นคนพูด หรือเป็นเรื่องวงในที่ข้ารู้เองกันแน่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้ ข้าเชื่อว่าแม่นางหลี่และท่านอาหลี่ต่างก็สามารถจัดการกับธุระทั้งในและนอกบ้านได้เป็นอย่างดี”
อยู่ดีๆ หลี่หลิ่วก็เอ่ยขึ้นว่า “หากท่านเฉินรู้สึกว่าแค่การป้อนหมัดการถูกต่อยยังไม่เพียงพอ ยังอยากจะออกหมัดขัดเกลาฝีมืออย่างเต็มคราบอีกสักครั้ง ทางฝั่งของข้าก็มีตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่ สามารถเรียกตัวเขามาได้ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าหากอีกฝ่ายลงมือ มักจะชอบตัดสินเป็นตายเสมอ”
เฉินผิงอันตอบกลับอย่างไม่ลังเล “เพียงพอมากแล้ว รอให้มาท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปคราวหน้าค่อยว่ากันเถอะ”
การป้อนหมัดของหลี่เอ้อร์ต่อจากนี้ เฉินผิงอันคิดว่าไม่แน่เสมอไปที่ตัวเองจะต้านรับได้ไหว
และหากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตที่เจ็ดของวิถีวรยุทธ อีกทั้งการเดินทางเลียบลำน้ำใหญ่ยังมาถึงช่วงท้ายแล้ว ก็ยิ่งต้องควรย้อนกลับไปที่แจกันสมบัติทวีปทางทิศใต้ในทันที ภูเขาลั่วพั่วยังมีกิจธุระอีกมากมายรอให้เขาไปจัดการ และถัดจากนั้นไปอีก แน่นอนว่าก็ต้องเป็นการเดินทางไปเยือนนครมังกรเฒ่าอีกครั้ง โดยสารเรือข้ามทวีปไปเยือนภูเขาห้อยหัว
หลี่หลิ่วเอ่ย “อันที่จริงคนผู้นั้น ท่านเฉินเองก็รู้จัก ตอนนั้นเขาอยู่บนภูเขากระจกวิเศษของหุบเขาผีร้าย”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง
คือคนประหลาดที่มองตื้นลึกไม่ออก แต่กลับทำให้เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างลึกล้ำ
ขนาดบนร่างของหยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียนลูกรักแห่งสวรรค์ เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ หรือควรจะพูดว่าความรู้สึกนั้นไม่ได้เข้มข้นอย่างที่สัมผัสได้จากฝ่าย
หลี่หลิ่วถาม “ท่านเฉินเคยคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งหรือไม่ ภายใต้สถานการณ์ที่ขอบเขตไม่ถือว่าต่างกันมากนัก คนที่ต้องต่อสู้กับเจ้า พวกเขาจะรู้สึกเช่นไร?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไป ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เคยคิดมาก่อน”
ตลอดหลายปีที่เดินทางไกลนี้ มีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นหลายครั้ง และศัตรูคู่อาฆาตก็มีมากเกินไป
ทว่าคนแรกที่เฉินผิงอันคิดถึงกลับเป็นหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาที่ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่อยู่ดีๆ ก็ลุกผงาดขึ้นมาในแจกันสมบัติทวีป หลังจากกลายเป็นผู้สืบทอดของภูเขาเจินอู่ปฐมสำนักของสำนักการทหารแล้ว ในเรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขต หม่าขู่เสวียนก็พุ่งทะยานไปราวกับผ่าลำไม้ไผ่ ปีนั้นหลังจากที่ต่อสู้กันบนถนนใหญ่ของแคว้นไฉ่อี ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาพบกันอีก ได้ยินมาว่าหม่าขู่เสวียนได้ดิบได้ดีไม่น้อย ตอนนี้จึงกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนตามหลังหลี่จิ่งถวน เว่ยจิ้นที่ผู้คนทั้งแจกันสมบัติทวีปให้การยอมรับ ข่าวล่าสุดที่เจอในรายงานคือเขาเป็นคนปลิดชีพแม่ทัพผู้เฒ่าของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉาคนหนึ่งกับมือตัวเอง แก้แค้นให้กับตระกูลได้อย่างสมบูรณ์
หลี่หลิ่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่มีขอบเขตไม่ต่างจากท่านเฉิน ข้าไม่มีทางลงมือแน่”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แม่นางหลี่ชมเกินไปแล้ว”
หลี่หลิ่วเอ่ย “ถ่อมตัวเกินไปก็ไม่ดี”
เฉินผิงอันกล่าว “แสดงให้รู้ว่าความสามารถในการแสดงความอ่อนแอของข้ายังไม่ดีพอ”
หลี่หลิ่วอดหัวเราะไม่ไหว “ท่านเฉิน ขอร้องเจ้าโปรดเว้นทางรอดให้คู่ต่อสู้บ้างเถอะ”
เฉินผิงอันเองก็หัวเราะตามไปด้วย “เรื่องนี้ไม่อาจรับปากแม่นางหลี่ได้จริงๆ”
โดยไม่ทันรู้ตัวก็เดินมาถึงบนยอดเขาสิงโตพร้อมกับหลี่หลิ่วแล้ว ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว แต่กลับยังไม่ถึงช่วงเข้านอน จึงยังพอจะมองเห็นแสงตะเกียงไม่น้อยจากทางฝั่งของเมืองเล็กได้ มีแสงสว่างหลายเส้นทอดยาวเหมือนมังกรเพลิงตัวเล็กๆ มองดูแล้วสะดุดตามากเป็นพิเศษ น่าจะเป็นตรอกของตระกูลคนมีอันจะกินอยู่อาศัย จุดอื่นๆ ของเมืองเล็กส่วนใหญ่มีแสงตะเกียงบางตา จับกลุ่มให้เห็นแค่สองสามดวง
หลี่หลิ่วถาม “ท่านเฉินเดินทางมาไกลขนาดนี้ เคยรู้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลและพื้นที่ลับภูเขาสายน้ำมากมายบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยมีสหายคนหนึ่งเล่าให้ฟัง บอกว่าไม่เพียงแต่เก้าทวีปของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น หากรวมอีกสามใต้หล้าใหญ่ที่เหลือ พวกมันล้วนถือเป็นอาณาเขตที่ปริแตกออกเป็นขนาดน้อยใหญ่หลังจากที่ฟ้าดินเดิมแตกแยก พื้นที่ลับบางส่วน ในอดีตอาจถึงขั้นเคยเป็นศีรษะหรือโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมากมาย และยังมีพวก…ดวงดาวที่หล่นเป็นอุกกาบาตลงบนพื้นดินที่ในอดีตเคยเป็นตำหนัก เป็นจวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์”
หลี่หลิ่วกล่าว “สหายของเจ้าคนนี้ก็กล้าพูดจริงๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะ “หากจะบอกว่าใจกล้าก็ใจกล้าจริงๆ นั่นแหละ ทั่วร่างมีแต่สมบัติอาคม ก็เลยกล้าเดินทางข้ามทวีปเพียงลำพัง แต่หากจะบอกว่าขี้ขลาดก็ขี้ขลาดอยู่ไม่น้อย คือผู้ฝึกตนที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าทะยานลมเดินทางไกล เขากลัวเวลาที่ตัวเองลอยพ้นจากพื้นมาสูงมากเกินไป”
หลี่หลิ่วถาม “สหายสนิทหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นับว่าใช่”
ลมเย็นๆ บนยอดเขาพัดพาเอากลิ่นหอมของผืนป่ายามฝนธัญพืชพรำผ่านโชยมา
หลี่หลิ่วเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามชวนคุยว่า “ช่วงนี้ท่านเฉินได้อ่านตำราเล่มใดบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “มี เป็นตำรา…”
เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เป็นตำราประหลาดเล่มหนึ่ง เล่าเรื่องสั้นๆ ของความเป็นความตายมากมาย ได้มาจากปีศาจใหญ่บรรลุมรรคาที่ชอบหลอมภูเขามีชื่อเสียงตนหนึ่ง”
หลี่หลิ่วไม่ได้เกิดความสนใจมากนัก เป็นๆ ตายๆ นางเห็นมามากมายเหลือเกิน ย่อมไม่อาจเป็นประโยชน์ต่อมหามรรคาของนางในตอนนี้ได้แน่นอน
สำหรับนางแล้ว ชีวิตนี้ก็เหมือนว่าหยางเหล่าโถวคืออาจารย์ในโรงเรียนคนหนึ่งที่มอบการบ้านให้นางทำ ไม่ได้ให้นางสร้างความรู้สร้างคุณธรรม ไม่ใช่ให้นางเขียนบทความอริยะปราชญ์ ถึงขั้นไม่ใช่ให้นางฝึกตนจนได้ขอบเขตบินทะยานอะไร แต่เกี่ยวกับว่าจะทำตัวเป็นคนอย่างไร
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดมากเรื่องหนึ่ง
หลี่หลิ่วรู้สึกว่ามีเพียงตนปิดประตูลงแล้วอยู่ร่วมกับพ่อแม่และน้องชายอย่างหลี่ไหวเท่านั้น ถึงจะรู้สึกคุ้นเคยได้บ้าง พอเดินออกจากประตูไป นางก็มองคนและโลกใบนี้ไม่ได้ต่างจากที่เคยเป็นมาในภพชาติก่อนๆ เลย
เฉินผิงอันมองแสงไฟที่อยู่ด้านล่างภูเขาแล้วพูดเสียงเบาว่า “เคยอ่านเจอจากในบทประพันธ์เล่มหนึ่ง บอกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มีชีวิตแสนสั้น ชีวิตครึ่งหนึ่งล้วนใช้เวลาหมดไปกับการนอนอยู่บนเตียง ดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนเองก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร ฝึกตนเหมือนหลับใหญ่ไปครึ่งชีวิต แต่มาลองใคร่ครวญอย่างละเอียดดูแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ยืนอยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกัน การมองเรื่องเรื่องหนึ่งที่เหมือนกัน อาจกลายเป็นเรื่องสองเรื่องสำหรับใจคน”
“ข้าเคยอ่านบทประพันธ์สองเล่มที่ต่างก็พูดถึงเรื่องแปลกประหลาดบนโลก มีนักประพันธ์คนหนึ่งเคยอยู่ในตำแหน่งสูง พอลาออกกลับคืนสู่บ้านเกิดก็แต่งบทประพันธ์เรื่องนี้ขึ้นมา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นบัณฑิตตกอับ สอบไม่ติดเคอจวี่ ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยได้เข้าสู่เส้นทางขุนนาง ข้าอ่านบทประพันธ์ทั้งสองเล่มนี้ ทีแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร เพียงแต่ภายหลังตอนที่เดินทางท่องเที่ยว อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยเอาออกมาอ่านซ้ำอีกครั้ง จึงพอจะขบคิดบางอย่างได้”
“ยืนอยู่สูงมองไปไกล ก็จะมองนิสัยใจคอคนได้รอบด้าน ยืนใกล้มองอย่างละเอียด ก็จะยิ่งแยกแยะวิเคราะห์ใจคนได้อย่างละเอียดประณีต”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “นี่คงเป็นข้อดีของการเดินทางหมื่นลี้ อ่านตำราหมื่นเล่มกระมัง”
แล้วจู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะขึ้นมา “สหายที่ไม่กล้าทะยานลมคนนั้นมีความรู้หลากหลาย ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจที่สู้เขาไม่ได้ ข้าเคยถามเขาด้วยคำถามหนึ่งว่า หากตรงหัวและท้ายตรอกเล็กของบ้านเกิดข้าต่างก็มีต้นหญ้าเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นริมกำแพง ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กันขนาดนั้น แต่กลับมองไม่เห็นการเติบโตการแห้งเหี่ยวของกันและกัน หากพวกมันมีสติปัญญา จะรู้สึกเสียใจหรือไม่ เขาครุ่นคิดถึงคำถามข้อนี้อย่างจริงจัง แล้วก็ให้คำตอบที่อัศจรรย์น่าเหลือเชื่อแก่ข้ามากมาย แต่ข้ากลับต้องกลั้นหัวเราะอยู่ตั้งนาน แม่นางหลี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้นข้าหัวเราะอะไร?”
หลี่หลิ่วยิ้มอย่างเข้าใจ “ในตรอกหนีผิงแห่งนั้นมีทั้งหมาและไก่เดินกันให้ขวักไขว่ โดยเฉพาะแม่ไก่ที่มักจะเดินนำขบวนลูกเจี๊ยบเป็นฝูง เดินจิกไปมุมโน้มมุมนี้อยู่ทุกวัน จะมีหญ้าขึ้นได้อย่างไร”
เฉินผิงอันหัวเราะปากกว้าง พยักหน้ารับอย่างแรง
หลี่หลิ่วพลันหุบยิ้ม ค้อมเอวประสานมือคารวะ “ขอบคุณคำสั่งสอนของอาจารย์”
เฉินผิงอันอึ้งงั้นอยู่กับที่ ไม่เข้าใจว่าหลี่หลิ่วทำแบบนี้ทำไม? ข้าก็แค่หาเรื่องมาชวนคุยให้เจ้าแม่นางหลี่ผ่อนคลายเท่านั้น หรือว่านี่ทำให้นางบรรลุสิ่งใดได้ด้วย?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!