ยามสนธยา หลี่หลิ่วหิ้วกล่องอาหารขึ้นมาบนภูเขา ในกระท่อมหลังนั้น หลี่เอ้อร์กับเฉินผิงอันนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันบนโต๊ะ
การฝึกหมัดของวันนี้ หลี่เอ้อร์ไม่ได้ป้อนหมัดมากนัก เพียงแค่หยิบเอาภาพมังกรเพลิงที่วาดเส้นสายและช่องโพรงเต็มไปหมดออกมาปูวางไว้บนพื้น แล้วอธิบายถึงวิชาหมัดใหญ่ๆ ที่เก่าแก่หลายชนิดในใต้หล้านี้ให้เฉินผิงอันฟัง เส้นทางการไหลเวียนของปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่แตกต่างกัน ข้อพิถีพิถันและความมหัศจรรย์ที่ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังอธิบายเกี่ยวกับการแบ่งกล้ามเนื้อบนร่างกายออกเป็นห้าร้อยยี่สิบก้อน แยกแยะอธิบายสัจธรรมแห่งหมัดและปณิธานแห่งหมัดของจุดที่เล็กละเอียดแต่ละจุดอย่างเป็นรูปธรรม รวมไปถึงวิธีการขัดเกลาหล่อหลอมเส้นเอ็นกระดูกและปราณแท้จริงที่แตกต่างกันไปของวิชาหมัดแต่ละชนิด การขัดเกลาที่มีต่อเนื้อหนัง เส้นเอ็นกระดูกและเส้นชีพจร แล้วยังมีวิชาลับเฉพาะที่เป็นสมบัติก้นกรุอย่างคร่าวๆ แบบใดบ้าง อธิบายว่าเหตุใดปรมาจารย์ที่ฝึกวิชาหมัดถึงจุดที่ลึกซึ้งแล้วจู่ๆ ถึงได้ธาตุไฟเข้าแทรกกะทันหัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ยินว่าผู้ฝึกยุทธยุคโบราณยังแบ่งกล้ามเนื้อเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ตามประสงค์และไม่ตามประสงค์ เกี่ยวกับการหล่อหลอมกล้ามเนื้อทั้งหลายที่มองดูคล้ายอยู่ใน ‘ดินแดนเปลี่ยวร้าง’ หากเป็นกล้ามเนื้อจุดที่อยู่ห่างไกล ความรู้ที่ใช้ก็จะยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกยุทธทั่วไปยากที่จะหล่อหลอมโครงท่าหมัดกระบวนท่าหมัดที่สืบทอดมาจากสำนักให้สมบูรณ์แบบได้ ดังนั้นจึงมีความต่างด้านความหนาบางของรากฐานขอบเขตผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกัน
ชุยเฉิงสอนหมัดแบบเปิดใหญ่ปิดใหญ่ ประหนึ่งน้ำตกที่พุ่งดิ่งลงมาสู่เบื้องล่าง หากไม่ทันระวังแม้เพียงน้อย การรับมือย่อมเกิดข้อผิดพลาด จะกลายเป็นว่าเฉินผิงอันอยู่ไม่สู้ตาย แต่ที่มากกว่านั้นคือการขัดเกลาสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง บีบให้เฉินผิงอันต้องใช้ปณิธานที่แน่วแน่มั่นคงมากัดฟันยืนหยัด ‘เปิดภูเขา’ ให้กับเรือนกายในระดับที่ใหญ่ที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ชุยเฉิงออกหมัดช่วยหล่อหลอมเรือนกายให้เฉินผิงอันถึงสองครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งแรกที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ เขาไม่ได้ต่อยลงบนร่างกายของเฉินผิงอันอย่างเดียวเท่านั้น แม้แต่จิตวิญญาณก็ยังไม่เว้น
นี่ก็เหมือนกับว่าชุยเฉิงปล่อยปณิธานหมัดหนักสิบจินออกมา เจ้าเฉินผิงอันก็ต้องกินปณิธานหมัดทั้งสิบจินให้หมดแต่โดยดี ขาดไปสักส่วนสองส่วนก็ไม่ได้ เป็นชุยเฉิงที่กระชากเฉินผิงอันให้เดินก้าวยาวๆ ขึ้นสูงไปบนเส้นทางการฝึกวรยุทธ โดยที่ผู้อาวุโสไม่สนใจเลยว่า ‘เด็กน้อย’ ในมือผู้นั้นจะเกิดตุ่มน้ำพองบนเท้า จะเลือดโชกไหลนอง กระดูกขาวจะโผล่ทะลุหรือไม่
หันกลับมาดูที่การป้อนหมัดครั้งนี้ของหลี่เอ้อร์ ก็เป็นการขัดเกลาเรือนกายเหมือนกัน เพียงแต่ถ่ายทอดทั้งรากฐานสัจธรรมวิชาหมัด แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องการให้เฉินผิงอันกลับไปใคร่ครวญด้วยตัวเอง หลี่เอ้อร์ทำเพียงแค่ชี้ทางสว่างให้เท่านั้น
ทั้งสองฝ่ายไม่มีการแบ่งสูงต่ำ ก็แค่แตกต่างในเรื่องก่อนหลังตามลำดับขั้นตอนเท่านั้น ก็เหมือนอย่างที่หลี่เอ้อร์พูด หากเขาสลับเปลี่ยนตำแหน่งสอนวิชาหมัดกับชุยเฉิง เฉินผิงอันก็คงไม่มีทางเรียนวรยุทธได้อย่างในทุกวันนี้
มาถึงโต๊ะกินข้าว เฉินผิงอันก็ยังคงถามเรื่องทิศทางการไหลเวียนของปราณแท้จริงบางเส้นบนภาพมังกรเพลิงจากหลี่เอ้อร์
หลี่หลิ่วไม่ได้รบกวนคนทั้งสอง เพียงนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ในห้องมีครบทั้งโต๊ะไม้ ม้านั่งตัวยาวและเก้าอี้ไม้ไผ่
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ว่า “ท่านอาหลี่ นับตั้งแต่ที่ท่านฝึกวิชาหมัดก็ฝึกอย่างละเอียดเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ?”
หลี่เอ้อร์ยิ้มตอบ “ก็ข้าเรียนอย่างหยาบๆ ไม่ได้ เพราะอาจารย์คอยจับจ้องมองดูขั้นตอนการเรียนของจ้าตลอดเวลา อาจารย์ไม่ได้สนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บนเส้นทางการฝึกยุทธพวกนั้น แต่หากถึงเวลาหนึ่งที่อาจารย์รู้สึกว่าปณิธานหมัดควรหนักกี่จินกี่ตำลึงแล้ว แล้วทำให้อาจารย์รู้สึกว่าเจ้าแอบอู้แอบขี้เกียจ ก็ย่อมมีความยากลำบากรออยู่ ข้ายังดีหน่อย เพราะทำตามขั้นตอน อย่างมากก็แค่ตรากตรำฝึกฝนไปอย่างเหนื่อยยากเท่านั้น แต่ปีนั้นเจิ้งต้าเฟิงอนาถกว่าข้ามาก ข้าจำได้ว่าจนกระทั่งเจิ้งต้าเฟิงออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ก็ยังมีหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณถูกกักอยู่กับอาจารย์ ไม่รู้ว่าภายหลังอาจารย์คืนให้เจิ้งต้าเฟิงหรือยัง แม้จะบอกว่าเป็นพี่น้องร่วมสำนักกัน แต่ปัญหาบางอย่างก็ไม่สะดวกจะถามกันง่ายๆ”
เฉินผิงอันยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
ในเมื่อมีจิตวิญญาณไม่ครบถ้วน แล้วจะฝึกหมัดได้อย่างไร
หลี่เอ้อร์จิบเหล้าหนึ่งคำ แล้วเอ่ยว่า “เล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังก็ไม่เป็นไร วิธีการฝึกหมัดของเจิ้งต้าเฟิงนั้นอยู่ที่ความแตกต่างของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณแต่ละเสี้ยวแต่ละดวงล้วนฝึกต่างกันไป สามจิตเจ็ดวิญญาณล้วนจำเป็นต้องมาฝึกหมัดอยู่ในความคิดสิบกว่าความคิดของตัวเอง ดังนั้นตอนที่ศิษย์น้องเฝ้าประตู มองดูเหมือนว่าชอบงีบหลับบ่อยๆ แต่เขากลับไม่ได้หลับจริงๆ ทว่าเป็นการตั้งใจฝึกวิชาหมัดอย่างยากลำบาก ส่วนศิษย์น้องหญิงซูเตี้ยนก็แตกต่างไปอีก นางพิถีพิถันในเรื่องการฝึกทั้งกลางวันกลางคืนและยังมีฝึกในความฝัน สือหลิงซานศิษย์น้องเล็กไปหล่อหลอมจิตวิญญาณอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา มักจะต้องจมน้ำตายอยู่ข้างในนั้นเสมอ โชคดีที่อาจารย์สามารถงม ‘ศพ’ ของเขาขึ้นมาได้ วิธีการนั้นเป็นวิธีการที่ดี แต่สุดท้ายใครจะเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดก็ยังต้องดูที่โชควาสนาของตัวเอง อาจารย์เคยเล่าว่า คนที่เดินบนเส้นทางแตกต่าง หากไม่ระวังฝึกตนจนกลายเป็นเศษสวะไร้ค่าก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน”
หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “เฉินผิงอัน ท่านแม่ข้าให้ข้ามาถามเจ้าว่า เป็นเพราะเจ้าคิดว่าที่ร้านอัตคัดเกินไปใช่ไหม ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาถึงได้ไม่ยินดีไปค้างคืนที่นั่น”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจว่า “หากข้าค้างคืนที่นั่น ผู้คนย่อมเอาไปซุบซิบนินทา ทำให้ชื่อเสียงเจ้าในเมืองเล็กเสียหาย ต่อให้แม่นางหลี่ไม่ถือสา แต่ท่านอาหลิ่วกลับต้องคบค้าสมาคมกับพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงอยู่ทุกวัน หากเวลาเถียงกันแล้วมีคนนอกเอาเรื่องนี้ไปพูด ท่านอาหลิ่วจะไม่กลุ้มใจแย่หรือ ต่อให้วันหน้าเจ้าแต่งงานออกเรือนไปแล้วก็ยังจะเป็นจุดอ่อนให้คนอื่นกุมไว้ในมือ ยิ่งแม่นางหลี่แต่งงานกับคนที่ดีเท่าไร พวกสตรีก็ยิ่งชอบพลิกปฏิทินเหลืองเก่าแก่มาเปิดกันเท่านั้น”
หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “เหตุผลเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่เจ้าก็ไปพูดกับท่านแม่ข้าเองสิ”
ส่วนเรื่องการแต่งงานนั้น หลี่หลิ่วไม่เคยคิดถึงมาก่อน
เฉินผิงอันมองหลี่เอ้อร์ ต่อจากนี้ยังต้องมีการสอนหมัดครั้งสุดท้าย
หลี่เอ้อร์ต้องการให้เขาบำรุงกำลังและจิตใจให้เปี่ยมล้นสมบูรณ์เสียก่อน บอกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แต่เฉินผิงอันกลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
หลี่เอ้อร์ถาม “เหล่าผู้อาวุโสผู้ฝึกยุทธบางส่วนในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล โครงท่าหมัดพื้นฐานของพวกเขาค่อนข้างใกล้เคียงกับท่าปรับแก้มังกรใหญ่ของเจ้า เจ้าไปแอบเรียนมาจากไหน?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วยิ้มกล่าวว่า “ท่านอาหลี่ จะไม่ให้เป็นวิชาหมัดที่ข้าบรรลุได้เองเลยหรือไร?”
หลี่เอ้อร์หัวเราะ
สายตาเช่นนั้นไม่ต่างจากสายตาของพ่อตาที่มีชาติกำเนิดเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพใช้มองลูกเขยตัวเอง ทำเอาฝ่ายหลังไม่มีที่ให้หลบเลี่ยง
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ปิดบังต่อ เขาเอ่ยว่า “ท่าหมัดนี้เป็นท่าหมัดที่อาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวใบถงทวีปเป็นผู้สร้างขึ้น เขาชื่อว่าจ้งชิว คือราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยน ในใต้หล้าแห่งนั้น ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าได้รับการขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์วรยุทธอริยะด้านอักษร ข้าเคยเชิญให้อาจารย์ผู้เฒ่าออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาด้วยกัน น่าเสียดายก็แต่ตอนนั้นท่านอาจารย์ผู้เฒ่ามีเรื่องให้ต้องเป็นกังวลมากมาย จึงไม่ยินดีจะออกมา ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะเปลี่ยนใจหรือไม่”
หลี่เอ้อร์กล่าว “น่าจะมาที่ใต้หล้าไพศาล”
หลี่หลิ่วครุ่นคิด แล้วก็นึกถึงภาพบรรยากาศบางอย่างในสถานที่แห่งหนึ่งด้านข้างเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนขึ้นมาได้ “พื้นที่มงคลดอกบัวในทุกวันนี้ไม่อาจพันธนาการคนผู้นี้ไว้ได้ เจียวหลงขดตัวอยู่ในบ่อน้ำ ไม่ใช่แผนการที่ยืนยาว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วันหน้าเมื่อข้ากลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วจะไปคุยกับอาจารย์จ้งอีกครั้ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!