ยามที่ดวงจันทร์ทอแสงกระจ่างดวงดาวบางตา คนทั้งสองก็มาถึงตีนเขาของภูเขามีชื่อเสียงทางทิศตะวันตกลูกหนึ่งของแคว้นหนันเยวี่ยน
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ พูดอย่างกระเหี้ยนกระหือรือว่า “โยนข้าขึ้นไป?”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ควรจะเดินได้แล้ว เป็นบัณฑิต ตามหลักก็ควรจะเคารพขุนเขา”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ”
พื้นที่ที่เป็นขุนเขาของแคว้นหนันเยวี่ยน แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์ย่อมไม่มีเรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณที่แท้จริงอะไร แต่เรื่องเล่าลือในประวัติเกร็ดพงศาวดารอาจมีอยู่ไม่น้อย
แต่ตอนนี้กลับบอกได้ยากแล้ว
ชุยเฉิงพาเผยเฉียนขึ้นมาบนภูเขา เดินขึ้นไปบนบันได หีบไม้ไผ่ใบเล็กของเผยเฉียนกระเด้งไปตามการเดิน นางใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะขั้นบันไดเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ค่อนข้างเหมือนขั้นบันไดของภูเขาลั่วพั่วเรานะ”
ชุยเฉิงกล่าว “ทัศนียภาพใต้หล้านี้ หากไม่มองอย่างละเอียดก็มักจะเหมือนกัน”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ ตัดสินใจแล้วว่าจะจดจำคำพูดประโยคนี้เอาไว้ ในอนาคตสามารถเอาออกมาโอ้อวดได้ จะได้เอาไว้หลอกเจ้าโง่น้อยโจวหมี่ลี่นั่น
ชุยเฉิงเดินขึ้นเขาเนิบช้า กวาดตามองไปรอบด้าน ท่องกลอนบทหนึ่งขึ้นมาว่า “ต้นหญ้าพันขุนเขาไหวเพยิบดุจเกล็ดเกราะ ต้นสนหมื่นหุบเขาทอดยาวเป็นสาย เรื่องประหลาดชวนให้ผู้เฒ่าร้อยปีตกใจ”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เป็นกลอนที่ดี!”
ชุยเฉิงคลี่ยิ้ม “เจ้าเข้าใจรึ?”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง “ข้าพูดแทนอาจารย์”
ชุยเฉิงหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ
มาถึงยอดเขา มีอารามเต๋าแห่งหนึ่งที่ประตูใหญ่ปิดสนิท ชุยเฉิงไม่ได้เคาะประตู เพียงแค่พาเผยเฉียนเดินวนไปรอบด้าน ไล่ดูแผ่นป้ายศิลาหรือไม่ก็ตัวอักษรที่สลักไว้บนหินผา ชุยเฉิงทอดสายตามองไปยังทิศไกล พูดอย่างสะท้อนใจว่า “มหาปราชญ์เคยกล่าวว่า ชะตาคนอยู่ที่หยวนชี่ ชะตาแคว้นอยู่ที่ใจคน มีเหตุผล มีเหตุผลจริงๆ …”
เผยเฉียนหันหน้ามามองผู้เฒ่า ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าผู้เฒ่าเคยบอกว่าตัวเองคือบัณฑิต
คนทั้งสองเดินเท้าลงจากภูเขา หากเดินลงไปอีกก็จะมีหมู่บ้านชนบท มีเมืองเล็ก มีทางหลวงจุดพักม้า
ระหว่างทางเจอคนมากมาย สามสำนักเก้าสาขา ส่วนใหญ่ล้วนเดินสวนไหล่ผ่านกันไป ไม่มีคลื่นมรสุมอะไร
วันนี้คนทั้งสองมานั่งอยู่ในร้านน้ำชาข้างทางร้านหนึ่ง เผยเฉียนจ่ายเงินซื้อน้ำชาเย็นๆ มาสองถ้วยใหญ่
เผยเฉียนถักงอบไม้ไผ่สานให้ตัวเองใบหนึ่ง
ตรงเอวห้อยเตาเจี้ยนฉว่อ สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก สวมงอบไม้ไผ่ ข้างโต๊ะวางไม้เท้าเดินป่า มองดูแล้วน่าขันอยู่ไม่น้อย
มีเหล่าจอมยุทธในยุทธภพกลุ่มหนึ่งพลิกตัวลงจากหลังม้าเตรียมมานั่งลงที่โต๊ะด้านข้าง เผยเฉียนจึงเริ่มตื่นตระหนก นางที่เดิมทีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้เฒ่าจึงแอบขยับมานั่งบนม้ายาวด้านข้างผู้เฒ่า
เหลือบมองชาวยุทธที่แท้จริงกลุ่มนั้นเร็วๆ ครั้งหนึ่ง แล้วเผยเฉียนก็กดเสียงต่ำถามผู้เฒ่า “รู้หรือไม่ว่าคนที่ท่องอยู่ในยุทธภพจำเป็นต้องมีของสิ่งใดบ้าง?”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ไหนลองว่ามาสิ”
เผยเฉียนพูดเสียงเบา “ทองกำใหญ่ ม้าตัวสูงใหญ่ ดาบอาคมที่ตัดเหล็กได้เหมือนตัดดินโคลน อีกอย่างก็คือฉายาในยุทธภพที่โด่งดัง อาจารย์บอกว่าเมื่อมีของพวกนี้แล้วไปท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ล้วนได้รับการต้อนรับ”
จู่ๆ เผยเฉียนก็รู้สึกอารมณ์ดี “วันหน้าข้าไม่ต้องการม้าสูงใหญ่อะไรแล้ว อาจารย์เคยรับปากข้าว่า รอวันใดที่ข้าออกท่องยุทธภพ เขาจะซื้อลาตัวเล็กให้ข้า”
ชุยเฉิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
คนในยุทธภพที่พกดาบกลุ่มนั้นมานั่งอยู่ด้านข้าง คนหนึ่งในนั้นไม่ได้นั่งลงทันที แต่ยื่นมือมากดงอบบนศีรษะเล็กๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ถ่านดำน้อยนี่มาจากไหนกัน โอ้โห ยังเป็นจอมยุทธหญิงน้อยด้วย? พกทั้งดาบทั้งกระบี่ น่าเกรงขามนัก”
คนผู้นั้นยื่นมือมากดลงบนศีรษะของเผยเฉียนหนักๆ “ไหนบอกมาสิว่าเรียนรู้มาจากใคร?”
ชุยเฉิงทำเพียงแค่ดื่มชา
เผยเฉียนหน้าซีดขาว ไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ พูดอย่างขลาดๆ ว่า “เรียนรู้มาจากอาจารย์”
คนในยุทธภพผู้นั้นยิ้มพลางก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยกเท้าขึ้นเตะหีบไม้ไผ่ของนังหนูที่สวมงอบ “ท่องอยู่ในยุทธภพแล้ว เหตุใดยังสะพายหีบหนังสือผุๆ ใบนี้มาอีก?”
เผยเฉียนอยากจะเปิดปากขอร้องชุยเฉิง คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะยิ้มกล่าวว่า “จัดการเอาเอง”
เผยเฉียนเช็ดเหงื่อบนใบหน้า เห็นว่าคนผู้นั้นยังจะเพิ่มน้ำหนักเตะหีบไม้ไผ่ด้านหลังตนอีกที เผยเฉียนจึงลุกขึ้นยืน ขยับเท้าหลบ ยื่นมือออกไปตามจิตใต้สำนึก ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือ
คนผู้นั้นเตะโดนความว่างเปล่า เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้า ความอับอายกำลังจะพานเป็นความโกรธ แต่พอเห็นเจ้าถ่านดำน้อยบังคับวัตถุให้ลอยขึ้นมากลางอากาศก็เริ่มมีเหงื่อผุดมาตรงหน้าผาก พยายามขึงดึงหน้าตาที่ไม่เป็นมิตรให้ดูมีเมตตาอ่อนโยน จากนั้นก็ก้มหัวค้อมเอว ถูมือยิ้มแห้งเอ่ยว่า “จำคนผิดแล้วๆ”
เผยเฉียนคิดแล้วก็นั่งกลับลงไปที่เดิม
ชุยฉานยิ้มถาม “ไม่กล้าเอาคืนรึ?”
เผยเฉียนส่ายหน้า พูดอย่างอัดอั้นว่า “แรกเริ่มกลัวว่าเขาจะเตะหีบไม้ไผ่พัง เมื่อครู่เห็นว่าเขายกเท้าเตะออกไป ข้าก็ยิ่งกลัวว่าหากไม่ระวัง จะต่อยทะลุหน้าอกเขาด้วยหมัดเดียว”
ชุยเฉิงถามอีก “เจ้าจะกลัวเรื่องพวกนี้ทำไม? หรือว่าไม่ควรเป็นอีกฝ่ายที่ต้องกลัวเจ้า?”
เผยเฉียนยังคงส่ายหน้า “อาจารย์เคยบอกว่า ท่องอยู่ในยุทธภพไม่ได้มีเพียงแค่บุญคุณความแค้น หรือการต่อสู้ฆ่าฟันอย่างสาแก่ใจ เวลาเจอเรื่องเล็กๆ หากสามารถเก็บหมัดไว้ได้ นั่นต่างหากจึงจะแสดงว่าความสามารถของคนฝึกวรยุทธถึงประตูแล้ว”
ชุยเฉิงหัวเราะทันใด
ไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะคำพูดใหญ่โตของแม่นางน้อย หรือหัวเราะคำกล่าวบ้านๆ ของเมืองเล็กที่บอกว่า ‘ถึงประตู’ (เปรียบเปรยว่าถึงแก่น/ชำนาญ/เชี่ยวชาญ) นี่กันแน่
ชุยเฉิงดื่มน้ำชาในถ้วยหมดแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้ามีทรัพย์สมบัติเป็นเงินแค่ไม่กี่แดง โยนเหรียญทองแดงออกไปเหรียญหนึ่ง แน่นอนว่าต้องกลัดกลุ้มกังวลใจ รอจนเจ้ามีเงินเทพเซียนกองใหญ่เมื่อไหร่ แล้วโยนเงินออกไปอีก…”
เผยเฉียนพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ต้องไปตามเก็บมาให้ครบ!”
พูดเป็นเรื่องตลกไปได้ ไหนเลยจะมีหลักการที่ว่าโยนเงินไปแล้วไม่เก็บกลับคืน
อาจารย์เคยบอกว่าเหรียญทองแดงทุกเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าเงินของตัวเอง หากหายไป ก็คือแมลงน่าสงสารที่ไร้บ้านให้กลับ
เผยเฉียนเห็นว่าผู้เฒ่าไม่เอ่ยอะไรก็กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ลองเปลี่ยนเหตุผลดูไหม แล้วข้าจะรับฟัง”
ชุยเฉิงหัวเราะฮ่าๆ “อาจารย์ผู้เฒ่าก็มีช่วงเวลาที่กล่าวคำพูดเก่าๆ จนหมด ใช้เหตุผลเก่าๆ จนสิ้นเหมือนกัน”
เผยเฉียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ลองคิดดูอีกหน่อย?”
ชุยเฉิงส่ายหน้า “ไม่คิดแล้ว”
พวกคนที่อยู่โต๊ะข้างๆ ไม่คิดจะดื่มชาแล้ว ขึ้นหลังม้าได้ก็ควบทะยานจากไปทันที
ดูท่าจะมีธุระเร่งด่วนจริงๆ
ชุยเฉิงพาเผยเฉียนออกเดินทางต่ออีกครั้ง เขามองไปยังทิศไกล ยิ้มกล่าวว่า “ตามไป ไปพูดความรู้สึกในใจกับพวกเขา พูดอะไรก็ได้”
เผยเฉียนรู้สึกลังเลเล็กน้อย
ชุยเฉิงโบกมือ
เผยเฉียนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง จับประคองงอบ แล้วเริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง จากนั้นก็เริ่มครุ่นคิดอย่างละเอียดว่าตนควรพูดอย่างไรถึงจะดูสมเหตุสมผลและมีมารยาท ครู่หนึ่งต่อมา เผยเฉียนที่วิ่งได้เร็วกว่าฝีเท้าม้าก็ไล่ตามไปทันหนึ่งคนหนึ่งม้านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!