กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 561

สรุปบท บทที่ 561.1 เสียงกลองยามเช้า เสียงระฆังยามเย็น ไร้ซึ่งควันไฟหุงหาอาหาร: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 561.1 เสียงกลองยามเช้า เสียงระฆังยามเย็น ไร้ซึ่งควันไฟหุงหาอาหาร – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 561.1 เสียงกลองยามเช้า เสียงระฆังยามเย็น ไร้ซึ่งควันไฟหุงหาอาหาร ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บนภูเขาลั่วพั่ว เจ้าขุนเขาหนุ่มออกเดินทางไกล ผู้เฒ่าบนชั้นสองก็ออกเดินทางไกลเหมือนกัน บนเรือนไม้ไผ่จึงไม่มีใครพักอาศัยอยู่อีก

ช่วงนี้เฉินหลิงจวินไม่ออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกแล้ว แต่มักจะมานั่งอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผาบ่อยๆ

เขารู้ว่าตัวเองคือคนที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดบนภูเขาลั่วพั่ว สู้งูเหลือมไฟน้อยชะตาบุ๋นที่มีชาติกำเนิดจากหอจือหลันสกุลเฉาที่ขยันคล่องแคล่วไม่ได้ ถึงขั้นไม่น่ารักเซ่อซ่าเหมือนเจ้าตัวน้อยโจวหมี่ลี่ เฉินยวนจีเป็นคนที่จูเหลี่ยนพาขึ้นเขามา คุณสมบัติไม่เลว ฝึกวิชาหมัดก็ถือว่าทนความลำบากได้ ชีวิตในแต่ละวันยุ่งอยู่กับการฝึกหมัดอีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สือโหรวดูแลกิจการที่ร้านในเมืองเล็ก ได้เงินมาไม่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ช่วยภูเขาลั่วพั่วหาเงินมาได้ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเผยเฉียน ขอแค่เผยเฉียนมีเวลาว่างก็จะต้องไปดูสือโหรวที่นั่น แม้ปากจะบอกว่ากลัวสือโหรวจะฮุบเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่แท้จริงแล้วก็แค่กลัวว่าสือโหรวจะรู้สึกว่าถูกภูเขาลั่วพั่วเมินเฉยเท่านั้น

มีเพียงเขาเฉินหลิงจวินที่ให้ตายก็ยังต้องรักษาหน้าตา จึงมีชีวิตลำบากเช่นนี้ ไม่ว่าทำอะไรพูดอะไรก็ล้วนไม่เป็นที่ชื่นชอบ

พี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้น หลังจากเข้าร่วมงานเลี้ยงเทพท่องราตรีสามครั้งก็ยิ่งเกรงใจมีมารยาทกับตนมากขึ้น แต่ความเกรงใจเช่นนี้กลับทำให้เฉินหลิงจวินผิดหวังอย่างมาก ถ้อยคำประจบเอาใจบางอย่างพูดด้วยความกระตือรือร้นจนเฉินหลิงจวินปรับตัวไม่ทัน

เขาชอบช่วงเวลาตอนอยู่ในจวนน้ำ ได้ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่กินเนื้อชิ้นโต พูดจาหยาบคาย ด่าพ่อด่าแม่กันและกันมากกว่า

แต่เฉินหลิงจวินก็ไม่ใช่คนโง่ เรื่องราวหลายอย่างเขาล้วนมองเห็น

ยกตัวอย่างเช่นการจากไปยังพื้นที่มงคลรากบัวของผู้อาวุโสชุยครั้งนี้ อีกฝ่ายจะต้องไม่มีทางได้กลับมาอีกแน่นอน

ทว่าแม้แต่คำลาสักคำ เขาเฉินหลิงจวินกลับพูดไม่ออก ตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าชุดเขียวพาเผยเฉียนจากไป เขาได้แต่มานั่งเหม่ออยู่ตรงนี้ แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่รู้อะไรสักอย่าง

ปกติช่วงเช้าตรู่จะต้องเป็นเวลาที่เผยเฉียนขึ้นชั้นสองไปกินหมัด

ทว่าตอนนี้เรือนไม้ไผ่กลับเงียบสงัด

เฉินหลิงจวินฟุบตัวลงบนโต๊ะ ตรงหน้ามีเมล็ดแตงที่ไปแย่งมาจากเฉินหรูชู วันนี้แสงอาทิตย์อบอุ่น สาดส่องลงมาจนเขาไร้เรี่ยวแรง แม้แต่แรงจะแทะเมล็ดแตงก็ยังไม่มี

กำลังคิดว่าควรจะไปที่ประตูภูเขาหาเรื่องคุยเล่นกับพี่น้องต้าเฟิงดีหรือไม่ พี่น้องต้าเฟิงยังพอจะมีคุณธรรมในยุทธภพอยู่บ้าง เพียงแค่ชอบพูดจาหยาบโลนเข้าใจยาก หลังคุยเสร็จต้องขบคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจความหมาย

เฉินหลิงจวินหันหน้าไปมองทางแถบที่ตั้งของเรือนทั้งหลาย พ่อครัวเฒ่าไม่อยู่บนภูเขา เผยเฉียนก็ไม่อยู่ เฉินยวนจีทำอาหารไม่เป็น แล้วก็กลัวความยุ่งยาก จึงให้นังหนูเฉินหรูชูช่วยเตรียมอาหารและของกินเล่นมาไว้ให้ โจวหมี่ลี่ก็เป็นภูตน้ำน้อยที่อันที่จริงไม่ต้องกินข้าวก็ได้ ดังนั้นบนภูเขาจึงไม่ควันไฟจากการหุงหาอาหาร ดอกท้อดอกหลีเรียงรายซ้อนเป็นชั้นบนภูเขา ควันไฟระหว่างก้อนเมฆคือบ้านคน

เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วในเวลานี้มีคนน้อยลงแล้ว ต่างคนต่างยุ่งวุ่นวายกับหน้าที่ของตัวเอง กลิ่นอายของมนุษย์จึงเจือจางลงไปเยอะมาก

เฉินหลิงจวินย้ายสายตามองไปทางชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย

ตอนที่ตาเฒ่าอยู่ เขามักจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวกระวนกระวายใจ เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าชีวิตนี้ตนไม่อาจรับหมัดสองหมัดของผู้เฒ่าได้ แต่พออีกฝ่ายไม่อยู่ ในใจกลับวูบโหวง

เฉินหลิงจวินถอนหายใจหนักๆ ยื่นมือไปคีบเมล็ดแตงขึ้นมาเมล็ดหนึ่ง คิดว่าจะไม่แกะเปลือก แต่จะเคี้ยวไปเลย หาเรื่องทำแก้เบื่อเสียหน่อย

แต่จากนั้นเฉินหลิงจวินก็ต้องชะงักตัวแข็งทื่อ วางเมล็ดแตงกลับลงไปเบาๆ ขยับก้นเล็กน้อย ค่อยๆ เบี่ยงศีรษะออก คิดว่าจะหันหน้าออกไปนอกหน้าผาให้ดูเป็นธรรมชาติเสียหน่อย

คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่สวมชุดสีเขียวซึ่งปรากฏตัวจากความว่างเปล่าคนนั้นจะคลี่ยิ้มให้เขา

เฉินหลิงจวินกลืนน้ำลาย ลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะ “เฉินหลิงจวินคารวะใต้เท้าราชครู”

ซิ่วหู่แห่งต้าหลี ชุยฉาน

คือบุคคลร้ายกาจที่สามารถบดขยี้เขาให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียว

เฉินผิงอันไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ตาเฒ่าก็ไม่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ จูเหลี่ยนกับเว่ยป้อก็ไปเยือนอาณาเขตของขุนเขากลางด้วยกัน ตอนนี้เขาเฉินหลิงจวินไม่มีที่พึ่งเลย!

ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไปทำธุระของเจ้าเถอะ”

เฉินหลิงจวินชำเลืองตามองทางหินเขียวเส้นเล็กที่ทอดยาวจากเรือนไม้ไผ่ไปยังเรือนพักก็รู้สึกว่าน่าจะหมดหวัง จึงเอ่ยลาหนึ่งคำแล้วไต่ปีนลงไปจากหน้าผาเสียเลย เส้นทางนี้อยู่ห่างจากราชครูผู้นั้นมาไกลหน่อย ค่อนข้างจะปลอดภัยกว่า

ชุยฉานนึกถึงสีหน้าที่งูน้อยชุดเขียวตัวนี้หันมองไปทางเรือนไม้ไผ่ก่อนหน้านั้นก็คลี่ยิ้ม

แล้วจึงเกิดแผนการเล็กน้อยๆ ขึ้นมาในใจ เป็นการกระทำง่ายๆ ที่ถือโอกาสทำไปด้วยกันได้ ไม่ต้องระดมกำลังให้ครึกโครม

ทางฝั่งภูเขาใหญ่แถบตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียน หนึ่งในนั้นมีภูเขาที่ใครบางคนยึดครองไว้ก่อนชั่วคราว ดูเหมือนจะเหมาะให้เป็นที่พักพิงของเผ่าพันธุ์เจียวหลง

ชุยฉานยืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง รอคอยให้ใครบางคนมาถึงอย่างเงียบๆ

รุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งมาจากขอบฟ้าไกลพร้อมด้วยพลังอำนาจดุดันดุจเสียงสายฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ พุ่งพรวดมาถึงอย่างรวดเร็ว

กฎเกณฑ์ที่หร่วนฉงตั้งไว้ ไม่สนใจทั้งนั้น

ชุยฉานส่ายหน้า ถอนหายใจอยู่ในใจ โชคดีที่ตนบอกกล่าวกับหร่วนฉงไว้ก่อนแล้ว

เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วคนหนึ่ง ในมือถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวธรรมดาเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าท่าทางเหนื่อยล้า

เพียงแต่ว่าคำพูดดีๆ มากมายในชีวิตที่เก็บสะสมไว้ในท้อง ตอนที่สามารถพูดได้ กลับไม่ยอมพูดมันออกมา ตอนที่อยากพูด กลับพูดไม่ได้อีกแล้ว

เขตการปกครองหลงเฉวียนที่ห่างไปไกลมีเสียงระฆังยามเช้าดังแว่วมา

เมื่อเสียงระฆังดัง ประตูเมืองก็จะเปิดออก ชาวบ้านนับหมื่นครัวเรือนตื่นขึ้นมาทำมาหากิน จนกระทั่งยามสนธยาที่เสียงกลองดังถึงจะหยุดพัก นั่นก็คือช่วงเวลาที่คนทั้งครอบครัวได้กลับมารวมตัวกันพร้อมหน้า อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง

……

เขตการปกครองอวี๋ชุนที่อยู่ใกล้กับตีนเขาของขุนเขากลางแห่งใหม่ของต้าหลีคือเขตที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ อยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งก็ไม่ถือว่าเป็นพื้นที่เจริญรุ่งเรืองอะไร ไม่ว่าจะโชคชะตาบุ๋นหรือโชคชะตาบู๊ก็ล้วนธรรมดา ฮวงจุ้ยสามัญ ไม่สามารถได้พึ่งใบบุญของขุนเขาใหญ่อย่างภูเขาเช่อจื่อแห่งนั้น อู๋ยวนที่เป็นเจ้าเมืองคนใหม่คือคนต่างถิ่นคนหนึ่ง ว่ากันว่าเดิมทีเคยเป็นเจ้าเมืองในพื้นที่แห่งหนึ่งของต้าหลีมาก่อน ถือว่าถูกย้ายมารับหน้าที่ในตำแหน่งเดิม เพียงแต่ว่าคนฉลาดในวงการขุนนางล้วนรู้กันว่าเจ้าเมืองอู๋ถูกลดระดับขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่ออยู่ห่างจากสายตาของทางราชสำนักก็เท่ากับว่าสูญเสียโอกาสที่จะได้เลื่อนเข้าสู่ใจกลางของราชสำนักอย่างรวดเร็วไปแล้ว ขุนนางที่ถูกส่งตัวให้มาอยู่ในแคว้นใต้อาณัติ แต่กลับไม่ได้เลื่อนขั้นสูงขึ้น ชัดเจนว่าเป็นคนผิดหวังที่ต้องมานั่งเก้าอี้เย็นชืด คาดว่าสาเหตุคงเป็นเพราะไปล่วงเกินใครเข้า

เพียงแต่ว่าต่อให้อนาคตในวงการขุนนางของเจ้าเมืองอู๋จะมืดมนแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนของต้าหลีมาตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งอายุยังน้อย นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้ว่าในจังหวัดเหลียงโจวซึ่งเป็นผู้ดูแลเขตการปกครองอวี๋ชุนแอบสั่งความขุนนางในเขตอวี๋ชุนทุกคนว่าจำเป็นต้องปฏิบัติต่ออู๋ยวนอย่างมีมารยาท หากการกระทำของขุนนางใหม่ที่อาจจะอยากโอ้อวดความสามารถคนนี้ไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมท้องถิ่น ก็ต้องอดทนข่มกลั้นเอาไว้ โชคดีที่หลังจากอู๋ยวนเข้ารับตำแหน่งแล้วก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แค่มาเรียกชื่อขุนนางที่ให้เข้าทำงานตามเวลาเท่านั้น งานการน้อยใหญ่ล้วนมอบให้คนในที่ว่าการที่เคยทำเป็นผู้จัดการ หลายครั้งที่มีโอกาสเผยโฉมปรากฏตัวก็ล้วนมอบโอกาสให้ขุนนางผู้ช่วยที่มีความอาวุโสในที่ว่าการไป บรรยากาศตลอดทั้งบนและล่างนับว่ากลมเกลียวอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่านิสัยที่อ่อนนุ่มปวกเปียกเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดใจดูแคลนอย่างเลี่ยงไม่ได้

วันนี้เจ้าเมืองหนุ่มมานั่งทำงานที่น่าเบื่ออยู่ในที่ว่าการเฉกเช่นทุกวัน บนโต๊ะแผ่อักขรานุกรมภูมิศาสตร์และแผนที่ของสถานที่ต่างๆ ไว้จนเต็ม เขาค่อยๆ อ่านมันไปช้าๆ บางครั้งก็ยกพู่กันขึ้นมาวาดบางอย่าง

จิตของอู๋ยวนรับสัมผัสได้จึงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ได้เห็นใบหน้าของคนคุ้นเคยที่กำลังยืนเอนพิงกรอบประตูห้อง อู๋ยวนอารมณ์ดีโดยพลัน เขาคลี่ยิ้มลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “ซานจวินมาเยี่ยมเยือน โปรดอภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับแต่ไกล”

ก็คือเว่ยป้อที่สลายเวทอำพรางตาออกไป

เว่ยป้อเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้าอู๋ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไรเลยนะ งานเลี้ยงท่องราตรีครั้งก่อนหน้านี้แค่ส่งเทียบแสดงความยินดีไปให้แค่เทียบเดียว”

อู๋ยวนยิ้มพูดอย่างตรงไปตรงมา “เงินเดือนน้อยนิด ใช้เลี้ยงชีพตัวเองก็สองในสิบส่วน ใช้ซื้อตำราก็หมดไปห้าหกในสิบส่วน เงินขาวที่เหลือในแต่ละเดือนต้องเก็บหอมรอมริบอย่างยากลำบาก ก็เพราะไปถูกใจแท่นฝนหมึกโบราณแท่นหนึ่งในเขตการปกครองอวิ๋นซิ่งที่อยู่ติดกันเข้า ต่อให้ตบหน้าให้บวมก็ยังเป็นคนอ้วนไม่ได้จริงๆ ก็เลยคิดว่าอยู่ห่างไกลกันขนาดนี้ ถึงอย่างไรใต้เท้าซานจวินก็คงไม่ถึงขั้นไล่ตามมาซักไซ้เอาโทษ ไหนเลยจะคิดว่าซานจวินจะเอาจริง ถึงขั้นตามมาถึงที่นี่แบบนี้”

เว่ยป้อบิดหมุนข้อมือ บนมือก็มีแท่นฝนหมึกหินปาเจียวเหล่าเคิงที่มีชื่อเสียงในอดีตราชวงศ์จูอิ๋งเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง เขาวางมันลงบนโต๊ะเบาๆ “ใต้เท้าอู๋ไม่มีน้ำใจ แต่ข้าเว่ยป้อกลับไม่เหมือนกัน เดินทางไกลเป็นพันลี้มาหาสหายเก่าแล้วยังไม่ลืมอ้อมไปซื้อของขวัญมาให้ด้วย”

อู๋ยวนโน้มตัวไปจ้องแท่นฝนหมึกโบราณเก่าแก่ที่น่ารักน่ามองชิ้นนั้น ยื่นมือไปลูบลวดลายของมันอย่างประณีต แล้วพูดอย่างตกตะลึงระคนยินดีว่า “เยี่ยมไปเลย นี่คือแท่นฝึกหมึกปาเจียวชั้นเยี่ยมใต้น้ำของหลุมเจียวมรกตแห่งนั้น ประเด็นสำคัญคือแม่ทัพบู๊ต้าหลีของเราที่ตั้งค่ายเฝ้าพิทักษ์ที่นั่น ก่อนหน้านี้ได้ปิดผนึกหลุมเก่าแก่แห่งนี้ไปแล้ว แล้วยังส่งให้คนมีวรยุทธไปเฝ้าที่หลุมโดยเฉพาะอีกด้วย ชัดเจนว่าอีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นของบรรณาการที่เอาไว้ให้ฮ่องเต้ของพวกเราใช้ เป็นเหตุให้ราคาของแท่นฝนหมึกโบราณที่ทำมาจากหินของหลุมแห่งนี้ซึ่งเดิมก็มีจำนวนอยู่ในตลาดไม่มากยิ่งสูงจนน่าตกใจเข้าไปอีก ข้าเป็นเจ้าเมืองร้อยปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาเงินมาซื้อมันได้”

อู๋ยวนถอนสายตากลับอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะมองเทพชุดขาวแล้วยิ้มถามว่า “ใต้เท้าซานจวิน มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ มีแท่นฝนหมึกปาเจียวที่มูลค่าควรเมืองชิ้นนี้ ข้าน้อยรับรองว่าจะพูดทุกเรื่องที่รู้ไม่มีหมกเม็ดไว้แน่นอน”

เว่ยป้อถาม “จิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางเป็นคนอย่างไร?”

ขุนเขากลางแห่งใหม่ของต้าหลี จิ้นชิงซานจวินเคยเป็นองค์เทพขุนเขาอันดับหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง กึ่งกลางภูเขามีบ่อชำระกระบี่ที่สภาพแวดล้อมดีเยี่ยมอยู่แห่งหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากมักจะมาหล่อหลอมขัดเกลาคมกระบี่กันที่นี่ และจิ้นชิงก็มักจะแอบเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้พวกเขาอยู่บ่อยๆ เป็นเหตุให้ไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในทวีป ยังผูกบุญสัมพันธ์ควันธูปกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของทวีปอีกมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าที่สนิมสนมกับจิ้นชิงซานจวินเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในอดีตหลี่ถวนจิ่งเคยมาท่องเที่ยวราชวงศ์จูอิ๋งแล้วเกิดความขัดแย้งกับคนมากมาย หนึ่งในนั้นคือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือที่เคยเกือบจะเปิดศึกอันตรายต่อกัน ด้วยเหตุนี้จิ้นชิงยังยอมแตกหักกับสหายร่วมงานอย่างซานจวินขุนเขาเหนือใต้สองท่าน เพราะยืนกรานจะคุ้มครองหลี่ถวนจิ่งที่ตอนนั้นมีตบะเป็นแค่ขอบเขตประตูมังกรส่งออกไปจากราชวงศ์จูอิ๋งอย่างปลอดภัย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!