กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 561

สวี่รั่วเอ่ยเนิบช้า “ใต้หล้านี้ไม่มีจักรพรรดิองค์ใดที่สองมือสะอาด หากใช้แค่คุณธรรมความเมตตาที่บริสุทธิ์ไปช่างน้ำหนักผลได้ผลเสียของจักรพรรดิท่านหนึ่ง ก็ย่อมไม่ได้ผลลัพธ์ที่ยุติธรรมและเหมาะสม เกี่ยวกับแผ่นดินและอาณาประชาราษฎร์ ความสงบสุขปลอดภัยของชาวบ้าน เมธีร้อยสำนักอย่างพวกเรา ต่างคนต่างก็มีไม้บรรทัดอยู่เล่มหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมีความแตกต่างน้อยใหญ่ที่ไม่เหมือนกัน เจ้าจิ้นชิงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่จิตใจดีงามกลับไม่เคยสูญสิ้นไป ในสายตาของข้า เจ้าคู่ควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง”

สวี่รั่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เพียงแต่ว่าเรื่องราวทางโลกซับซ้อน ย่อมต้องมีเรื่องที่ขัดต่อความรู้สึกตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าจะไม่โน้มน้าวเจ้าว่าควรจะต้องทำอะไร รับปากเว่ยป้อก็ดี ปฏิเสธความหวังดีของเขาก็ช่าง เจ้าก็ยังถือว่าคู่ควรกับสถานะซานจวินของภูเขาเช่อจื่ออยู่ดี แต่หากยินดี ก็คงถึงเวลาที่ข้าควรจะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ถ้าเจ้าไม่อยากกล้ำกลืนความเป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าของทุกฝ่าย ข้าก็ยินดีจะปล่อยกระบี่ที่สมบูรณ์แบบทำลายร่างทองของเจ้าให้แหลกละเอียด จะไม่ยอมให้คนอื่นมาหยามเกียรติเจ้าจิ้นชิงและภูเขาเช่อจื่ออีกเด็ดขาด”

จิ้นชิงหันหน้ามายิ้มกล่าว “กระบี่ที่ออกจากฝักอย่างสมบูรณ์ของเจ้าสวี่รั่ว มีพลังพิฆาตมากนักหรือ?”

สวี่รั่วพยักหน้ารับ “หล่อเลี้ยงกระบี่มานานหลายปี พลังพิฆาตสูงยิ่ง”

จิ้นชิงถึงกับหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนให้คนอื่นมารับกระบี่นี้แทนเถอะ ภูเขาเช่อจื่อของข้าแบกรับไม่ไหว”

สวี่รั่วลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเตือนว่า “ไปเยี่ยมเยือนภูเขาพีอวิ๋น ของขวัญไม่ต้องชิ้นใหญ่มากก็ได้”

จิ้นชิงด่าขำๆ “ที่แท้ก็เป็นพวกตะเภาเดียวกัน!”

สวี่รั่วกุมหมัดยิ้มกล่าว “มารบกวนอยู่ที่นี่นานแล้ว หากไปถึงเมืองหลวงก็จำไว้ว่าไปทักทายกันสักหน่อย ข้าจะเลี้ยงเหล้าซานจวินเอง”

จิ้นชิงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ถามว่า “แรกเริ่มสุดท่านสวี่ก็จงใจมาเยือนภูเขาเช่อจื่อของข้าอยู่แล้วงั้นหรือ?”

สวี่รั่วหยุดเดิน กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าและข้าอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรก็เพื่อให้มีคนตายน้อยลง แต่หากเจ้าอยากจะซักถามว่าเหตุใดสำนักโม่ของพวกเราถึงได้เลือกต้าหลี ปล่อยให้คนในแจกันสมบัติทวีปต้องตายไปมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ข้ายังไม่มีคำตอบให้เจ้า แต่ขอซานจวินโปรดรอฟังคำตอบให้ดี”

จิ้นชิงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

สวี่รั่วไม่ได้ย้อนกลับไปที่ยอดเขาเฟิงหลง แต่ไปจากภูเขาเช่อจื่อด้วยการทะยานลมมุ่งตรงไปยังเมืองหลวงต้าหลีที่อยู่ทิศเหนือทันที

เขาไม่ค่อยชอบขี่กระบี่

เพราะสวี่รั่วคิดมาโดยตลอดว่า กระบี่กับผู้ฝึกกระบี่ควรจะทัดเทียมกัน

เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบของราชวงศ์จูอิ๋งที่ปิดด่านมานานหลายปีคนนั้นพยายามจะลอบสังหารเฉาผิงทูตผู้ตรวจตราคนใหม่ของต้าหลี ทว่ายังไม่ทันขยับตัวก็ต้องตายแล้ว

อันที่จริงอีกฝ่ายไม่ต้องตายก็ได้ เพราะสวี่รั่วเพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น

ทว่าต่อให้กำลังจะตายผู้เฒ่าแก่ชราที่ปิดด่านร้อยปีแต่ก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้คนนั้นกลับไม่ยินดีตกเป็นนักโทษ ยิ่งไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งที่เป็นศัตรูคู่แค้น เป็นเหตุให้หลังจากกระบี่หักแล้วก็ไม่เหลือโอกาสชนะอีก ได้แต่ยืนรอความตายเท่านั้น แต่กระนั้นเขาก็ยังยิ้มกล่าวว่าแรกเริ่มที่วางแผนคิดทำเช่นนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องตาย สามารถตายด้วยน้ำมือของสวี่รั่วมือกระบี่อันดับหนึ่งของสำนักโม่ก็ถือว่าไม่ขาดทุนเกินไปนัก

สวี่รั่วจึงบอกความจริงแก่เขาเรื่องหนึ่งว่า

พื้นที่ของหนึ่งทวีป จักรพรรดิเสนาบดี อ๋องโหวขุนนาง นายพรานพ่อค้าหาบเร่ล่างภูเขา ล้วนต้องตายกันอย่างสิ้นซาก แสงสนธยาล่างภูเขาไม่มีควันไฟหุงหาอาหารอีก

หลังจากได้ยินประโยคนี้ ก่อนตายผู้เฒ่าจึงมีเพียงความกลัดกลุ้มทุกข์ใจ

……

เผยเฉียนนั่งอยู่บนม้านั่ง กวาดตามองไปรอบด้าน เรือนหลังเล็กยังคงเป็นเหมือนเดิมจนเผยเฉียนเกือบจะเกิดภาพลวงตานึกว่าตนเองกับเฉาฉิงหล่างยังคงเป็นอย่างในปีนั้น ตนก็แค่ถูกอาจารย์ขอให้ออกมาตักน้ำที่บ่อน้ำ จากนั้นพอตนออกจากบ้านมาก็ได้มาเจอกับเฉาฉิงหล่าง เพียงแค่นี้เท่านั้น

กลอนคู่ที่แปะอยู่หน้าประตูบ้าน ก่อนหน้านี้ตอนที่รอเฉาฉิงหล่างอยู่ด้านนอก นางอ่านไปแล้วร้อยรอบ ตัวอักษรเขียนได้ดี แต่กลับไม่ได้ดีจนถึงขั้นทำให้นางรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้

เฉาฉิงหล่างมองเด็กหญิงตัวดำเกรียมผู้นี้ อันที่จริงเขามีคำถามมากมายอยากถามนาง เหตุใดไปอยู่ข้างนอกมานานหลายปีขนาดนั้น ตัวของนางถึงยังไม่สูงขึ้นสักที ตอนนี้หากพูดกันแค่ด้านส่วนสูงของทั้งสองฝ่าย คนทั้งสองก็ต่างกันถึงหนึ่งช่วงศีรษะ แล้วเหตุใดจู่ๆ เผยเฉียนถึงได้สะหายหีบไม้ไผ่ ห้อยดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ ชีวิตที่ออกท่องทัศนาจรอยู่ด้านนอกของท่านเฉินยังสบายดีอยู่หรือไม่?

หลังจากที่เผยเฉียนปลดหีบไม้ไผ่วางไว้ด้านหลัง เอาไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บนหัวเข่า นางก็นั่งตัวตรงอย่างสำรวม สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้า ไม่มองเฉาฉิงหล่าง แล้วก็เริ่มพูดเข้าประเด็นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ปีนั้นแท้จริงแล้วอาจารย์ของข้าอยากพาเจ้าออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวมากกว่า ไม่ยินดีจะพาข้าออกไปด้วยแม้แต่น้อย”

เฉาฉิงหล่างลังเลอยู่เล็กน้อย เขาไม่ได้รีบตอบคำถาม แต่ยิ้มบางๆ ย้อนถามนางว่า “ท่านเฉินรับเจ้าเป็นลูกศิษย์แล้วหรือ?”

ดวงตาของเผยเฉียนฉายประกายระยิบระยับดุจแสงตะวันจันทรา นางพยักหน้าพลางพูดเสียงหนักแน่น “ใช่! ข้ากับอาจารย์เดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำมาด้วยกัน อาจารย์ก็ยังไม่เคยทอดทิ้งข้า!”

มือสองข้างของเฉาฉิงหล่างกำเป็นหมัดเบาๆ วางไว้บนหัวเข่า รอยยิ้มของเขาอ่อนโยน “แม้จะเสียดายมากที่ท่านเฉินไม่ได้พาข้าออกไปจากที่นี่ แต่ข้ารู้สึกว่าการที่เจ้าได้ติดตามท่านเฉินเดินทางไกลหมื่นลี้ เป็นเรื่องที่งดงามมากเรื่องหนึ่ง ข้าอิจฉาเจ้ามาก”

เผยเฉียนเงียบงันไม่ต่อคำ

เฉาฉิงหล่างหันหน้ามาถาม “ตอนนี้หากท่านเฉินใช้ให้เจ้าไปตักน้ำ เจ้าจะยังหิ้วถังน้ำพลางสาดน้ำล้างถนนเหมือนเดิมไหม?”

เผยเฉียนหันขวับกลับมา กำลังจะระเบิดโทสะ แต่กลับเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเฉาฉิงหล่างเสียก่อน นางจึงรู้สึกว่าดูเหมือนตนจะมีวรยุทธเลิศล้ำไว้เสียเปล่า สองหมัดหนักร้อยจิน แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับปุยนุ่นกลุ่มหนึ่ง ออกแรงแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่รู้สึกรู้สา จึงแค่นเสียงเย็นในลำคอหนึ่งที ยกสองแขนกอดอก “คนโง่อย่างเจ้าจะเข้าใจกับผายลมอะไร ตอนนี้ข้าได้เรียนรู้วิชาความสามารถจากอาจารย์มานับพันนับหมื่นอย่าง ไม่เคยเกียจคร้านเลยสักนิด ทุกวันไม่เพียงแต่คัดตัวอักษรอ่านตำรา ยังฝึกวรยุทธฝึกวิชาหมัดด้วย อาจารย์จะอยู่หรือไม่อยู่ ข้าก็ยังทำเหมือนเดิม”

เฉาฉิงหล่างแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “แบบนี้เองหรือ?”

เผยเฉียนรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว นางก็ยังไม่ชอบขี้หน้าเฉาฉิงหล่างผู้นี้อยู่อีกนะ อีกทั้งเมื่อเทียบกับเจ้าน้ำเต้าตันที่กลัวหงออย่างในอดีตแล้ว ดูเหมือนว่าเฉาฉิงหล่างในเวลานี้จะใจกล้ามากกว่าเดิมเสียด้วย

ดวงตาเผยเฉียนพลันเป็นประกาย ถามว่า “ลวดลายหน้าผาดุจบุปผาเหล็กแกะสลัก ปราณเย็นผนึกคางคกจำศีล กลอนบทนี้ เคยได้ยินหรือไม่?”

เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว ต่อให้จะอ่านผ่านตาอย่างรวดเร็วก็ไม่มีทางลืมอย่างเด็ดขาด อีกทั้งยังชอบอ่านตำรามาตั้งแต่เด็ก ยิ่งกาลเวลาผ่านพ้น แล้วจ้งชิวผู้เป็นอาจารย์ยังยินดีเอาหนังสือมาให้ตนยืม ตอนที่ใต้หล้าแห่งนี้ยังไม่ถูกแบ่งแยก ท่านลู่ก็มักจะส่งตำราจากนอกพื้นที่มาให้เขาเป็นประจำ ไม่ใช่ว่าเฉาฉิงหล่างชมตัวเอง แต่เขาอ่านตำรามาแล้วไม่น้อยเลยจริงๆ

เผยเฉียนถามอีก “รู้หรือไม่ว่าอักษรเหมี่ยนที่แปลได้ว่าคางคกนั่นเขียนอย่างไร?”

เฉาฉิงหล่างยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเขียนอักษรหมิ่นกลางอากาศแล้วพูดจ้อว่า “บันทึกในตำราของลัทธิขงจื๊อ เดือนกลางฤดูใบไม้ร่วง (หรือเดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติ) ไอเย็นโชติช่วง ไอร้อนลดทอน จึงเรียกว่าปราณเย็น ปราณสังหาร คำว่าวาเหมี่ยนในบทกลอนนี้ก็หมายถึงเสียงกบเสียงคางคก อริยะปราชญ์ในสมัยโบราณมีคำกล่าวว่า ‘ปรบมือตามเสียงกบ’ และข้าเองก็เคยได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งยิ้มกล่าวว่าถ้อยคำที่มาจากกวีนิพนธ์นั้นมีสีสันอัดงดงาม มักจะชอบกล่าวถึงความแข็งแกร่งของเมล็ดซูจื่อ ความอ่อนนุ่มของเมล็ดหลิ่ว ตอนนั้นอาจารย์ท่านนั้นใช้พัดตีฝ่ามือ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า ‘เสียงหัวเราะอันดังของข้า ดีกว่าเสียงกบคางคก เสียงนกแก้วเลียนแบบคนพูดที่ดังหนวกหูมากนัก’”

เผยเฉียนตีหน้าเคร่งอย่างไม่ให้ดูกระโตกกระตาก “ที่แท้เจ้าเองก็รู้เหมือนกันหรือ”

ใจความสำคัญของประโยคนี้อยู่ที่คำว่า ‘เหมือนกัน’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!