สตรีถอนหายใจหนักๆ จากนั้นก็หันหน้ามาถลึงตาใส่หลี่หลิ่ว “ได้ยินหรือยัง?! ในอดีตเวลาบอกให้เจ้าช่วยเขียนจดหมายให้ เจ้าเขียนง่ายๆ แค่แผ่นสองแผ่นก็เสร็จแล้ว ในใจเจ้ามีน้องชายของเจ้าบ้างหรือไม่ มีแม่อย่างข้าบ้างหรือไม่? ลูกสาวใจจืดใจดำอย่างเจ้านี่ช่างเลี้ยงมาเสียข้าวสุกจริงๆ!”
เฉินผิงอันหันไปยิ้มขออภัยให้กับหลี่หลิ่วที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
หลี่หลิ่วพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นนางก็กุมสองมือเป็นหมัดวางไว้ด้านหน้าตัวเอง พูดขอร้องสตรีว่า “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว”
จากนั้นในห้องเล็กก็มีเสียงพร่ำพูดของสตรี กับเสียงจรดพู่กันเขียนตัวอักษรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเฉินผิงอัน
คนหนุ่มชุดเขียวที่เดินทางหมื่นลี้ แล้วก็อ่านตำรามาหมื่นเล่มนั่งตัวตรงอย่างสำรวม เอวยืดอกตั้ง สีหน้าจริงจัง
สุดท้ายเฉินผิงอันสะพายกระบี่ ถือไม้เท้าเดินป่าเดินออกไปจากร้าน สตรีและชายฉกรรจ์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู มองส่งเฉินผิงอันจากไป
สตรียืนกรานให้หลี่หลิ่วไปส่งเขา
หลี่หลิ่วคล้องห่อสัมภาระใบหนึ่งไว้ที่แขน ล้วนเป็นสิ่งของที่ท่านแม่ของนางจัดเตรียมไว้อย่างตั้งใจ ส่วนใหญ่เป็นของพิเศษที่มีเฉพาะในเมืองเล็ก
แน่นอนว่าด้านในยังมีชุดคลุมอาคมที่นางซ่อมแซมเองกับมืออีกสามตัวด้วย
สตรีพูดเสียงเบา “หลี่เอ้อร์ วันหน้าลูกสาวเราจะหาคนดีๆ แบบนี้เจอไหม?”
หลี่เอ้อร์คิดแล้วก็ตอบว่า “ยาก”
สตรีกระทืบหลังเท้าหลี่เอ้อร์ ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขาอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไม่เอาใจใส่หน่อยหรือ?! จะมองเฉยปล่อยให้เฉินผิงอันจากไปแบบนี้หรือไร? เวลาดื่มเหล้าไม่เห็นเจ้าจะดื่มให้น้อยลงบ้าง ทำอะไรพึ่งพาไม่ได้แม้แต่น้อย ข้ามาเจอกับผู้ชายอย่างเจ้า หลี่ไหวหลี่หลิ่วมาเจอบิดาอย่างเจ้า เป็นเพราะสวรรค์ไม่มีตา หรือชาติก่อนพวกเราสามคนไม่ได้ทำบุญไว้กันแน่?!”
หลี่เอ้อร์ไม่ส่งเสียงตอบโต้ แน่นอนว่าไม่กล้าหลบด้วย
สตรีถอนหายใจ ดึงมือกลับมาอย่างเดือดดาล จะทิ่มหน้าผากอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว เดิมทีบุรุษของตนก็เป็นตอไม้ทึ่มทื่อโง่เขลาอยู่แล้ว หากไม่ทันระวังถูกตนทิ่มให้หัวเป็นรูอีก ก็ไม่ใช่ว่าตนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวหรอกหรือ?
บนถนนใหญ่ในเมืองเล็ก คนสองคนเดินเคียงบ่ากันไป
หลี่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา “ท่านเฉิน หวงไฉ่จะพาท่านไปที่ท่าเรือ สามารถตรงไปที่ท่าเรือฮ่วนโหยวที่อยู่ใกล้กับสำนักกระบี่ไท่ฮุยได้โดยตรง เมื่อลงเรือแล้ว ก็อยู่ห่างจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น คนที่จะไปถามกระบี่ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยคนแรกคือลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เรื่องนี้ก็คือกฎเก่าแก่ของอุตรกุรุทวีป ท่านเฉินไม่ต้องคิดอะไรมาก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่หลิ่วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ลืมไปเลยว่าท่านเฉินให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากที่สุด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แต่สำหรับกฎเกณฑ์ที่สมเหตุสมผล ข้ายังเข้าใจน้อยและตื้นเขินเกินไป อยู่ห่างไกลเกินกว่าจะรู้ว่าอะไรคือมารยาทพิธีการที่แท้จริง”
หลี่หลิ่วไม่ให้คำวิจารณ์ในเรื่องนี้
หลักๆ แล้วเป็นเพราะไม่ยินดีจะเจ้ากี้เจ้าการกับอีกฝ่าย
หลี่หลิ่วถาม “หรือว่าท่านเฉินไม่ไขว่คว้าอิสระเสรีที่บริสุทธิ์และสมบูรณ์ที่แท้จริง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็ยังรู้สึกอิจฉาการไร้พันธนาการเช่นนั้นอยู่ แต่ข้าก็คิดมาโดยตลอดว่า ไม่มีความรู้ความเข้าใจใดที่สามารถประคับประคองอิสระที่สมบูรณ์เช่นนั้นได้ ทั้งไม่แน่นหนามากพอ แล้วก็ยังเป็นภัยอย่างหนึ่งด้วย”
คนทั้งสองเดินผ่านหัวเลี้ยวของถนนใหญ่ ห่างไปไม่ไกลเบื้องหน้ามีเจ้าขุนเขาก่อกำเนิดผู้เฒ่าแห่งยอดเขาสิงโตที่ร่ายใช้เวทอำพรางตายืนอยู่
หลี่หลิ่วปลดห่อสัมภาระที่อยู่ในมือออก เฉินผิงอันเองก็ปลดหีบไม้ไผ่ลงมา
เดิมทีหลี่หลิ่วคิดว่าจะให้เขายืนอยู่เฉยๆ ส่วนนางจะเปิดหีบไม้ไผ่เอง เวลานี้หลี่หลิ่วจึงยื่นห่อสัมภาระส่งไปให้ ยิ้มกล่าวว่า “ท่านเฉินกลัวว่าคนจะเข้าใจผิดหรือ? อันที่จริงพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงล้วนเข้าใจผิดกันไปมากแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันเอาห่อสัมภาระมาใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ แล้วสะพายหีบขึ้นหลังอีกครั้ง เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
สุดท้ายหลี่หลิ่วใช้เสียงในใจบอกว่า “ใต้หล้ามืดสลัวมีอารามเสวียนตู คือปฐมสำนักสายหนึ่งของเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า เจ้าอารามมีชื่อว่าซุนไหวจง เป็นคนใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีคุณธรรมในยุทธภพ”
เฉินผิงอันตอบรับ “ขอบคุณแม่นางหลิ่วที่มอบยาสงบใจเม็ดหนึ่งให้แก่ข้า”
……
ภายใต้การนำทางของหวงไฉ่ เฉินผิงอันพูดคุยกับเจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโตผู้นี้ไปตลอดทาง จากนั้นก็เอ่ยอำลา สุดท้ายนั่งโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งที่เสาเรือนแกะสลักประณีตโอ่อ่าดุจหอเรือนมุ่งหน้าไปยังท่าเรือฮ่วนโหยว บนเรือมีคนไม่น้อย และยังมีคนจำนวนมากที่ตั้งใจไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุย เวลานี้พวกเขากำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะในเมื่อเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีปท่านนั้นฝ่าทะลุขอบเขตออกจากด่านแล้ว ต่อจากนี้ก็ต้องตามมาด้วยการถามกระบี่ของเซียนกระบี่ที่น่าตะลึงพรึงเพริดสามครั้ง แบ่งออกเป็นการท้าทายจากเซียนกระบี่หญิงลีไฉ่ ต่งจู้ และป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งแห่งอุตรกุรุทวีป!
นอกจากนี้แล้วก็ยังพูดคุยกันถึงทะเลเมฆสีทองและฝนหวานชะตาบู๊ที่ยอดเขาสิงโต
ต่างก็คาดเดากันว่ายอดเขาสิงโตจงใจเก็บซ่อนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งเอาไว้อย่างมีเจตนา หรือว่าจะเป็นแค่ใครบางคนที่เดินทางผ่านมาเท่านั้นกันแน่
เฉินผิงอันไปถึงห้องแล้วก็เปิดหีบไม้ไผ่ เตรียมจะหยิบเอาชุดคลุมอาคมสามตัวมาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แต่ตอนที่เปิดห่อสัมภาระออกกลับค้นพบว่าด้านในนอกจากจะมีของกินและของพิเศษในท้องถิ่นที่ท่านอาหลิ่วตั้งใจเตรียมไว้ให้แล้ว ยังมีแผ่นหยกสีเขียวมรกตงามวิจิตรอยู่อีกแผ่นหนึ่งที่ถูกหลี่หลิ่วร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำเอาไว้ เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณไม่ปรากฎเด่นชัด ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันถึงสัมผัสไม่ได้ เฉินผิงอันถอนหายใจ ไม่เพียงแต่อยู่กิน ซ้อมหมัดโดยไม่จ่ายเงิน ยังจะได้ของขวัญที่ล้ำค่าแบบนี้มาเปล่าๆ อีก มีใครที่เป็นแขกแบบตนบ้าง
บนแผ่นหยกสลักคำว่า ‘เจียวเฒ่าสยบคลื่นลม’
เขาเก็บมันไปพร้อมกับชุดคลุมอาคม แล้วจึงเริ่มหล่อหลอมปราณวิญญาณที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณสำคัญทั้งสามแห่งต่ออีกครั้ง
ตลอดทางไร้ปัญหาใดๆ
ไปถึงท่าเรือฮ่วนโหยวที่อยู่ห่างจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยแค่สามร้อยลี้
เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นว่ามีผู้คนเนืองแน่น ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนที่มาร่วมวงความครึกครื้นทั้งสิ้น
หลังจากที่เรือข้ามฟากเข้ามาในอาณาเขตของสำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้ว เฉินผิงอันก็ส่งกระบี่บินไปหาฉีจิ่งหลง
เขาไม่ได้พบฉีจิ่งหลงที่ท่าเรือแห่งนี้ แต่ได้พบกับเด็กหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากภูเขาเกอลู่อย่างป๋ายโส่วแทน
ป๋ายโส่ววิ่งตะบึงดุจปลาที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางกระแสฝูงชน พอเห็นเฉินผิงอันก็ยิ้มกว้าง ยกนิ้วโป้งให้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!