เฉินผิงอันลงจากเรือข้ามฟากกลางทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังแคว้นชิงเฮาที่ถือว่าค่อนข้างอยู่ห่างไกลกันดารของอุตรกุรุทวีป
ระยะทางพันลี้ เฉินผิงอันเลือกจะเดินบนทางเส้นเล็กระหว่างป่าเขา เดินทางทั้งวันทั้งคืน เรือนกายพุ่งทะยานว่องไวดุจสายฟ้า
เพียงไม่นานก็มาถึงเมืองแห่งนั้น เขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในถนนถ้ำเซียนที่ไม่กว้างมากเส้นนั้น ประตูบ้านหลังหนึ่งก็เปิดออก บุรุษเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินออกมา คลี่ยิ้มกวักมือให้เขา
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป สีหน้าของเขาเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
เขาเก็บความคิดกลับมา เดินเร็วๆ เข้าไปหาอีกฝ่าย
หลี่ซีเซิ่งเดินลงมาจากบันได เฉินผิงอันประสานมือคารวะด้วยพิธีการของลัทธิขงจื๊อ “คารวะอาจารย์หลี่”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มพลางประสานมือคารวะกลับคืน
เด็กหนุ่มชุยซื่อยืนอยู่ด้านในของประตูมองคนบ้านเดียวกันสองคนที่จากกันไปนานและได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่นอกประตูใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กหนุ่มได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอาจารย์ ชุยซื่อก็ดีใจตามไปด้วย
พอมาถึงอุตรกุรุทวีป อาจารย์ก็มักจะขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องราว ต่อให้หัวคิ้วคลายออกก็ดูเหมือนว่ายังมีหลายเรื่องอยู่เบื้องหลังรอให้อาจารย์ไปใคร่ครวญ ไม่เหมือนในเวลานี้ที่ดูเหมือนว่าอาจารย์ของตนไม่ต้องคิดอะไรมาก มีเพียงความสุขสบายใจอย่างเดียวเท่านั้น
หลี่ซีเซิ่งพาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในเรือน แล้วหันหน้ามายิ้มกล่าว “เกือบจะจำเจ้าไม่ได้อยู่แล้วเชียว”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “คาดว่ารอให้คราวหน้าที่ข้าได้ไปพบเป่าผิงน้อยในสำนักศึกษาก็คงรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน”
เดินไปถึงห้องหนังสือของหลี่ซีเซิ่ง ห้องไม่ใหญ่นัก ตำราก็ไม่มาก แล้วก็ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งอย่างพวกอักษรภาพ วัตถุโบราณอะไรที่มากเกินความจำเป็น
หลี่ซีเซิ่งบอกให้ชุยซื่อไปอ่านหนังสือของตัวเอง
แล้วเขาก็ยกเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะออกมานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอันที่เพิ่งปลดงอบและหีบไม้ไผ่
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้าเอ่ยว่า “ดีมาก จิตใจสงบมากขึ้นแล้ว”
เฉินผิงอันเกาหัว
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ “เรื่องบางอย่าง เมื่อก่อนไม่เหมาะที่จะพูด ตอนนี้ก็ควรจะพูดให้เจ้าฟังได้บ้างแล้ว”
เฉินผิงอันที่เดิมทีก็นั่งตัวตรงอยู่แล้วยิ่งนั่งอย่างสำรวมถูกต้องตามระเบียบมากยิ่งขึ้น “อาจารย์หลี่โปรดพูด”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยว่า “ข้าคนนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองสักเท่าไร”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ค่อยเหมือนกัน”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยต่ออีกว่า “ยังจำยันต์ไม้ท้อที่ปีนั้นข้าอยากจะมอบให้เจ้าได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ
หลี่ซีเซิ่งกล่าว “ก่อนหน้านั้น ข้าเคยประมือกับผู้ฝึกกระบี่เฉาจวิ้นในตรอกหนีผิงไปครั้งหนึ่ง ถูกต้องไหม?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มทันใด “อาจารย์ทำให้เฉาจวิ้นผู้นั้นต้องอับจนหนทาง”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเนิบช้าว่า “อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ผู้ฝึกลมปราณฝึกตนได้ยากมาก แต่ข้ากลับฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว เร็วจนหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูในภายหลัง เมื่อเทียบกับข้าแล้วก็ไม่นับเป็นอะไรได้”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่รอฟังประโยคถัดไปเงียบๆ
คำพูดของหลี่ซีเซิ่งดั่งการเปิดเผยเจตนารมสวรรค์ ถ้อยคำนั้นราวกับว่าหากไม่ทำให้คนตกใจตายจะไม่ยอมเลิกรา “ข้าเองก็เพิ่งจะมารู้ต้นสายปลายเหตุหลังจากที่ได้ทบทวนอนุมานในภายหลังครั้งแล้วครั้งเล่า โชคชะตาที่เดิมทีควรเป็นของเจ้า หรือควรจะพูดว่าโชควาสนาบนมหามรรคาส่วนนั้น มาหล่นอยู่บนตัวข้า ข้าเองก็เหมือนกับเจ้าที่รู้สึกมาโดยตลอดว่าหมื่นเรื่องราวหมื่นสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนควรพิถีพิถันในคำว่าสมดุล เจ้าได้ข้าเสีย ‘หนึ่ง’ น้อยใหญ่ในแต่ละครั้ง จะไม่มีทางหายไปหรือเพิ่มขึ้นมาเฉยๆ ได้เด็ดขาด ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน”
เฉินผิงอันขยับปากจะพูด หลี่ซีเซิ่งกลับโบกมือ “รอให้ข้าพูดให้จบก่อน”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยต่อว่า “วิธีการคิดเรื่องราวของเจ้าและข้าไม่ต่างกันมากนัก เมื่อรู้แล้วก็มักจะต้องทำอะไรสักอย่างถึงจะสบายใจ แม้ว่าก่อนหน้านั้นข้าจะไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองได้ครอบครองโชควาสนาในส่วนของเจ้าไป แต่ในเมื่อภายหลังขอบเขตไต่ทะยาน ความสามารถในการเล่นหมากล้อมเพิ่มพูน ข้าจึงค่อยๆ อนุมานถอยกลับไปทีละก้าวจนกระทั่งคำนวณได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นในเมื่อรู้แล้ว ข้าย่อมไม่อาจรับเอามาอย่างผึ่งผาย แม้ว่าตอนนี้ขนาดข้าก็ยังไม่อาจรู้ประวัติความเป็นมาของยันต์ไม้ท้อชิ้นนั้น ไม่ว่าข้าจะอนุมานอย่างไรก็ไม่ได้ผลลัพธ์ แต่ข้ารู้ชัดเจนดีว่า สำหรับข้าแล้ว ยันต์ไม้ท้อต้องสำคัญมากแน่ๆ แต่ก็เพราะว่ามันสำคัญนี่แหละ ตอนนั้นข้าถึงได้อยากจะมอบมันให้กับเจ้า ถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางใจอย่างหนึ่ง ข้าลดเจ้าเพิ่ม สองฝ่ายกลับคืนมามีสมดุลเหมือนเดิม ในช่วงเวลาระหว่างนี้ หาใช่ว่าตอนนั้นข้าหลี่ซีเซิ่งมีขอบเขตสูงกว่าเจ้า หรือจะบอกว่ายันต์ไม้ท้อล้ำค่ามาก พวกเราจึงไม่เท่าเทียมกัน ก็เลยจะแลกเปลี่ยนเอาของชิ้นหนึ่งมามอบให้เจ้า ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ข้าได้รับรากฐานมรรคาส่วนนั้นของเจ้ามา ข้าก็ควรจะเอารากฐานมรรคาของข้ามอบให้แก่เจ้า นี่ต่างหากจึงจะเป็นได้หนึ่งคืนหนึ่งอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าตอนนั้นเจ้าไม่ยินดีจะรับไว้ ข้าก็เลยต้องถอยไปหนึ่งก้าว นี่เป็นเหตุให้ข้าพูดกับผู้อาวุโสหลี่เอ้อร์ของยอดเขาสิงโตว่า การมอบยันต์ให้ก็ดี การเขียนยันต์บนเรือนไม้ไผ่ก็ช่าง หากเจ้ารู้สึกซาบซึ้งบุญคุณจึงมาพบเจอข้าหลี่ซีเซิ่ง ก็มีแต่จะเพิ่มความหนักใจให้เจ้าและข้า ปมเชือกที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วจะยุ่งมากกว่าเก่า ไม่สู้ไม่ต้องพบกันเลยจะดีกว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยสีหน้านิ่งสงบ
หลี่ซีเซิ่งยิ้มกล่าว “ส่วน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มนั้นกับกระดาษยันต์ทั้งหลาย ไม่นับรวมอยู่ในกรณีนี้ ข้าก็แค่ใช้สถานะพี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิงขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลปกป้องนางไปตลอดการเดินทางเท่านั้น”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้ารับ
อยู่ดีๆ สีหน้าของหลี่ซีเซิ่งก็เปลี่ยนมาเป็นเปลี่ยวเหงา เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดน้องชายของข้าชื่อหลี่เป่าเจิน ในชื่อของเป่าผิงน้อยก็มีอักษรคำว่า ‘เป่า’ มีเพียงข้าที่ไม่เหมือนใคร?”
บุตรชายหญิงสามคนของสกุลหลี่ถนนฝูลวี่ หลี่ซีเซิ่ง หลี่เป่าเจิน หลี่เป่าผิง
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน”
ปีนั้นเวลาที่แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอยู่กับอาจารย์อาน้อยของนาง ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่นางไม่เคยเล่าให้เขาฟัง เฉินผิงอันจึงได้ยินมาว่ามารดาแท้ๆ ของนางค่อนข้างจะลำเอียงรักหลี่เป่าเจินบุตรชายคนรองมากกว่า กับบุตรชายคนโตอย่างหลี่ซีเซิ่ง นางกลับไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมมากนัก สำหรับเรื่องในครอบครัวของเป่าผิงน้อย ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันเคยบอกไว้ แค่ได้ยินได้ฟังก็พอ เขาไม่เคยเก็บเอาไปใคร่ครวญให้ลึกซึ้ง
หลี่ซีเซิ่งลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองไปไกล
ทุกครั้งที่ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ สกุลหลี่จะมีขนบธรรมเนียมประจำตระกูลอย่างหนึ่งที่ไม่ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร มารดาของพวกเขาสามพี่น้องจะให้พวกบ่าวไพร่ในจวนเอ่ยคำสุภาษิตหรือบทกวีที่มีอักษรคำว่า ‘หลี่’ ยกตัวอย่างเช่นประโยคที่มีความหมายดีอย่างท้อหลี่พูดไม่ได้ แต่ผลของพวกมันกลับมีรสหวาน คนเดินย่ำผลเป็นทาง (เปรียบเปรยว่าคนซื่อสัตย์จริงใจจะทำให้ผู้คนรู้สึกซาบซึ้งชื่นชอบได้เสมอ) หรือประโยคจับหมวกใต้ต้นหลี่ แม้กระทั่งหากมีเด็กคนใดที่เอ่ยประโยค ‘ท้อธรรมดาหลี่สามัญ’ ซึ่งเป็นความหมายในเชิงลบออกมาโดยไม่ทันระวัง มารดาของพวกเขาก็ยังไม่โกรธ ยังคงมอบเงินยาสุ้ยให้ มีเพียงยามที่นางได้ยินประโยคว่า ‘ให้ผลท้อมามอบผลหลี่กลับคืน’ เท่านั้นที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปเยอะมาก จากนั้นพอได้ยินประโยคว่า ‘หลี่ตายแทนท้อ’ สตรีที่มักจะมีสีหน้าเป็นมิตรน่าเข้าใกล้สำหรับบ่าวไพร่อยู่เป็นนิตย์กลับมีสีหน้าโกรธเคืองยากจะปกปิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนนั้นหลี่ซีเซิ่งยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขายืนอยู่ในมุมหัวเลี้ยวของระเบียงทางเดินพอดี จึงได้เห็นภาพนั้น และได้ยินคำพูดเหล่านั้น
ตอนนั้นหลี่ซีเซิ่งไม่เข้าใจ จึงได้แต่ฝังกลบความสงสัยใคร่รู้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แรกเริ่มก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่สักเท่าไร เพียงแต่ยังคงรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดูเหมือนว่านับแต่โบราณมา คำว่าท้อหลี่มักจะอยู่เคียงข้างกันในบทกวีอยู่เสมอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!