เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “ลำบากเถ้าแก่หวังแล้ว”
หวังถิงฟางถามเสียงเบา “ผู้น้อยจะไปเอาสมุดบัญชีมาให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย?”
คนทำการค้าก็ต้องพูดภาษาการค้า มีประโยชน์กว่าคำทักทายปราศรัยเป็นไหนๆ
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เดินไปที่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินพร้อมกับอีกฝ่าย เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่ลง วางงอบสานไว้บนไม้เท้าเดินป่า
หวังถิงฟางหยิบสมุดบัญชีออกมาสองเล่ม พอเฉินผิงอันเห็นภาพนี้ ความกลัดกลุ้มก็หายวับไป หากกิจการไม่ดีจริงๆ จะลงบัญชีไว้ได้ตั้งสองเล่มเชียวหรือ?
เฉินผิงอันกวาดตามองวัตถุต่างๆ ที่อยู่บนชั้นวางสมบัติมากมายในร้านอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว ในใจจึงกระจ่างแจ้งดี จากนั้นพอเอามาเทียบกับสมุดบัญชีแล้วมองเห็นจุดหนึ่ง เขาก็เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “มีคนซื้อมงกุฎทองที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมคู่นั้นไปในราคาสูงเทียมฟ้าจริงๆ หรือ?”
พอเห็นวันที่ขายสินค้าได้ สีหน้าเฉินผิงอันก็เหยเก ถามว่า “ใช่หญิงสาวที่มีสำเนียงของแคว้นอู่หลิงคนหนึ่งหรือไม่? ข้างกายยังมีองค์รักษ์ที่สะพายกระบี่ติดตามมาด้วย?”
หวังถิงฟางกล่าวอย่างตกตะลึง “เรื่องนี้เถ้าแก่ก็คิดคำนวณได้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันจนใจเล็กน้อย ไม่ได้บอกสถานะของสุ่ยจิ่งเฉิงและหรงช่างผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เพียงส่ายหน้าเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “เป็นพวกที่ไม่เห็นเงินเป็นเงินจริงๆ ราคาที่ขายออกจะต่ำไปสักหน่อย”
หวังถิงฟางจึงรู้สึกตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย
เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน เปิดสมุดบัญชีช้าๆ ยิ้มกล่าวว่า “การค้าครั้งนี้ เถ้าแก่หวังทำได้ดีที่สุดแล้ว ข้าก็แค่พอจะสนิทสนมกับอีกฝ่ายอยู่บ้างก็เลยพูดจาเหลวไหลไปเรื่อย ไม่ถึงขั้นที่จะต้องหลอกลวงคนใกล้ตัวจริงๆ หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่ขายของอยู่ในร้านเอง ย่อมไม่มีทางขายได้ราคาเท่าเถ้าแก่หวังอย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันอ่านสมุดบัญชีอย่างละเอียดพลางพูดคุยเรื่องสถานกาณ์ช่วงที่ผ่านมาของสวนน้ำค้างวสันต์กับการทำการค้าของเรือนจ้าวเย่ฉ่าวกับหวังถิงฟางไปด้วย
หวังถิงฟางยิ้มกล่าว “ก็แค่โอกาสประจวบเหมาะ อาศัยหน้าตาที่ใหญ่เทียมฟ้าของเถ้าแก่ถึงขายสมบัติพิทักษ์ร้านอย่างมงกุฎทองคู่นั้นไปได้ การค้าบนสมุดบัญชีของปีก่อนถึงได้ดูสวยงาม ไม่เกี่ยวกับผู้น้อยสักเท่าไร ผู้น้อยขอบังอาจขอร้องเถ้าแก่ว่าอย่าบอกความจริงกับทางอาจารย์ของผู้น้อย ไม่อย่างนั้นผู้น้อยก็ต้องม้วนเสื่อเก็บผ้าออกไปจากร้านผีฝูแห่งนี้แน่ๆ อาจารย์ให้ความสำคัญกับการค้าของร้านผู้อาวุโสมาก กำไรและขาดทุนของทุกฤดูกาลล้วนต้องผ่านตาเขาด้วยตัวเอง และยังเรียกผู้น้อยไปสอบถามด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ครั้งนี้ข้าพกก้อนชากำแพงดำน้อยของจวนไช่เฉวี่ยมาด้วยส่วนหนึ่ง จะไปขอบคุณถังเซียนซือถึงที่ด้วยตัวเอง กิจการของร้านจัดการได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก หากเถ้าแก่หวังไม่กังวลว่าข้าจะวาดงูเติมขากับถังเซียนซือ ข้าย่อมต้องช่วยพูดชมเถ้าแก่หวังหลายๆ คำแน่”
หวังถิงฟางถอยหลังไปสองก้าว ประสานมือคารวะขอบคุณ “เถ้าแก่เซียนกระบี่มีพระคุณยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา ผู้น้อยตอบแทนได้เพียงพยายามให้มากขึ้น ช่วยให้ร้านผีฝูหาเงินมาได้มากกว่าเดิม”
เฉินผิงอันปิดสมุดบัญชีลง แล้วก็ไม่เปิดอ่านเล่มที่สองแล้ว ในเมื่อหวังถิงฟางพูดแล้วว่าทางฝั่งของเรือนจ้าวเย่ฉ่าวจะต้องตรวจสอบดู เฉินผิงอันก็ปฏิบัติกลับคืนอย่างมีมารยาท หากยังอ่านอย่างละเอียดต่อไปก็เท่ากับว่าตบหน้าหวังถิงฟางและเรือนจ้าวเย่ฉ่าวแล้ว
เขาผลักบัญชีเล่มบางสองเล่มไปให้หวังถิงฟาง ยิ้มกล่าว “สมุดบัญชีไม่มีข้อผิดพลาด บันทึกไว้ได้อย่างละเอียดและชัดเจน ไม่มีอะไรให้ข้าไม่วางใจ อีกอย่างวันหน้าเถ้าแก่หวังทำการค้าก็แค่ให้เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กที่ไหลยาวก็พอ ไม่จำเป็นต้องเข้มงวดกับกำไรหรือขาดทุนในแต่ละปีของร้านมากเกินไป หน้าบัญชีก็จะยิ่งน่าดู หลังข้าออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์ครั้งนี้ คาดว่าก็คงทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านไปนานอีกหลายปี ต้องรบกวนให้เถ้าแก่หวังสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจแล้ว”
หวังถิงฟางตกปากรับคำด้วยรอยยิ้ม เขาเก็บสมุดบัญชีมาใส่ในลิ้นชักแล้วลงดาลเอาไว้อย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับไปหยิบของสองชิ้นออกมาจากหีบไม้ไผ่ ชิ้นหนึ่งคือกำไลหยกที่มีภาพปรากฎการณ์ของ ‘ไฟในน้ำ’ ซึ่งสลักบทกลอนที่สามารถอ่านแบบวนกลับได้วงหนึ่ง และยังมีกระจกทองสัมฤทธิ์โบราณอีกบานหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นกระจกขับไล่เสนียดชั่วร้ายอย่างแน่นอน และยังสลักสี่ตัวอักษรว่า ‘วังหลวงเป็นผู้สร้าง’ ซึ่งมีมูลค่ามากที่สุดเอาไว้อีกด้วย หากรวมกับกาซู่อิ่งและป้ายถือศีล ของทั้งสี่ชิ้นนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธหวงซือที่มอบให้ หลังจบเรื่องแล้วย้อนนึกถึงการเดินทางตามหาสมบัติครั้งนั้น การที่สามารถแยกกันไปคนละทางกับหวงซือ ไม่ถือว่าเจอกันด้วยดี แต่ก็ถือว่าจากกันด้วยดีอยู่จริงๆ
เดิมทีระดับขั้นของกาซู่อิ่งก็ไม่ถือว่าสูงนัก แต่หลังจากเจินเหรินผู้เฒ่าหวนอวิ๋นช่วยดูของให้แล้วก็บอกอย่างชัดเจนว่าของเก่าแก่ชิ้นนี้สามารถช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณดูดซับปราณวิญญาณของสมบัติวิเศษธาตุไม้ได้ สำหรับเฉินผิงอันที่ตอนนี้หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามเป็นธาตุไม้แล้ว จึงถือว่าเป็นของจำเป็นที่ต่อให้มีทองเป็นพันชั่งก็ยากจะหาซื้อมาได้พอดี ระหว่างที่เดินทางลงใต้มานี้ เฉินผิงอันจึงได้ใช้วิชาหลอมสามขุนเขาของฮว่อหลงเจินเหรินหลอมมันให้กลายเป็นสมบัติที่คอยให้การช่วยเหลือในช่องโพรงสำคัญแห่งหนึ่งของจวนไม้ จึงเอาวางไว้ในจวนไม้
ส่วนป้ายถือศีลแผ่นนั้นเฉินผิงอันก็คิดว่าจะหลอมมันไว้ในจวนน้ำเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรื่องของการหล่อหลอมนี้เผาผลาญเวลามากเกินไป ทุกวันนอกจากจะหลอมโชคชะตาน้ำของอิฐเขียวหกชั่วยามอย่างที่ฟ้าผ่าก็ไม่มีสะเทือนแล้ว เวลานอกเหนือจากนั้นสามารถหลอมกลางให้กาซู่อิ่งได้สำเร็จก็ถือว่าเฉินผิงอันขยันตั้งใจฝึกตนมากแล้ว หลายครั้งที่นั่งเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันก็ใช้เวลาว่างแทบทั้งหมดไปกับเรื่องของการหลอมวัตถุ
เฉินผิงอันวางกำไลหยกและกระจกโบราณสองชิ้นวางไว้บนโต๊ะ อธิบายประวัติความเป็นมาของวัตถุทั้งสองชิ้นคร่าวๆ แล้วยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อขายมงกุฎทองสองชิ้นออกไปได้แล้ว ร้านผีฝูก็ไม่มีสมบัติพิทักษ์ร้านอีก ของสองชิ้นนี้เถ้าแก่หวังเอาไปรวมให้ครบจำนวน แต่ว่าจะไม่ขายทั้งสองชิ้น สามารถโก่งราคาให้แพงลิบลิ่วได้เลย ถึงอย่างไรก็แค่วางไว้ในร้านเพื่อเรียกพวกลูกค้าเซียนดินอยู่แล้ว ร้านเล็ก แต่ของดีๆ มีเยอะ”
หวังถิงฟางยิ้มพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แล้วจึงเก็บของทั้งสองชิ้นไปอย่างระมัดระวัง กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยจะซื้อกล่องไม้เป็นชุดที่ระดับขั้นดีที่สุดมาจากสวนน้ำค้างวสันต์ ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อสมบัติหนักสองชิ้นนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!