กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 564

ยามพบกันครั้งนั้น การแสดงออกของถานหลิงพูดได้แค่ว่ามีมารยาท แต่ท่าทีกลับห่างเหินไปสักเล็กน้อย เพราะสำหรับถานหลิงและสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำการค้านอกเหนือจากที่มีอยู่ เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรพวกเขาก็ล้วนแสวงหาคำว่ามั่นคงเป็นหลัก

แต่หลังจากเซียนกระบี่ชุดเขียวอายุน้อยผู้นี้ออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์ได้ไม่นานเท่าไร ทางแถบของแคว้นฝูฉวีทางทิศเหนือที่ไม่ถือว่าห่างไปไกลมากนักก็มีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยกับเซียนกระบี่ท่านหนึ่งพร้อมใจกันเซ่นกระบี่ นั่นคือแสงกระบี่สีทองที่พุ่งทะยานแหวกชั้นเมฆผ่าม่านฟ้า เมื่อหวนนึกไปถึงเรื่องที่มีแสงสีทองผ่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอู ถานหลิงจึงเริ่มเกิดการคาดเดาบางอย่าง

ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่รู้จักกับหลิ่วจื้อชิงอาจารย์อาน้อยของตำหนักจินอู ถานหลิงสามารถมาพบหน้าและพูดคุยด้วยสักสองสามประโยคได้

ทว่าหากเป็นคนที่สนิทสนมกับหลิ่วจื้อชิงผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง แล้วยังมีคุณสมบัติที่จะร่วมเดินทางอีกทั้งยังเซ่นกระบี่ร่วมกับหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยซึ่งกลายเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งแล้ว ถ้าอย่างนั้นหากถานหลิงยังไม่ยอมเห็นแก่หน้าของอีกฝ่าย ก็ควรจะระเห็จตัวเองออกไปเฝ้าอยู่นอกร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหวเส้นนั้นแล้ว

ไม่ใช่ว่าถานหลิงวางหน้าตาน้อยนิดนี่ไม่ลง แต่เป็นเพราะกังวลว่าการปรากฏตัวทั้งสองครั้งของตน ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปจะดูชัดเจนเกินไปหน่อย กลับกลายเป็นว่าจะทำให้เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้เกิดใจดูแคลน เหยียดหยามคนทั้งสวนน้ำค้างวสันต์

ในศาลา ทั้งสองฝ่ายยังคงพูดคุยกันอย่างมีมารยาท

แต่คำพูดของเซียนกระบี่หนุ่มก่อนหน้านี้ก็ทำให้ถานหลิงรู้สึกว่าการมาเยือนครั้งนี้ของตนไม่เสียเที่ยวแล้ว

ถานหลิงทักทายปราศรัยกับเฉินผิงอันอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นขอตัวลาจากไป เฉินผิงอันเดินมาส่งถึงด้านล่างบันได แล้วมองผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดท่านนี้ทะยานลมจากไป

เฉินผิงอันเขียนจดหมายลับขึ้นสามฉบับ แล้วก็ไปเยือนเรือนกระบี่ของสวนน้ำค้างวสันต์มารอบหนึ่ง จดหมายทั้งสามฉบับนั้นแยกกันส่งไปที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย นครเหนือเมฆและตำหนักจินอู

นอกจากจะส่งจดหมายไปให้ฉีจิ่งหลงแล้ว แน่นอนว่ายังมีกำแพงดำน้อยส่วนนั้นด้วย

ในจดหมายพูดถึงเรื่องของการซื้อกระบี่จำลองจากภูเขาชังกระบี่และสมบัติจากศาลซานหลาง เงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญ หลังจากการถามกระบี่สามครั้งต่อจากนี้ ฉีจิ่งหลงจะทำอย่างไรก็ให้จัดการเอาเองได้เลย แต่อย่างน้อยต้องซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่หนึ่งเล่มและเสื้อเกราะของศาลซานหลางหนึ่งชิ้น หากเงินไม่พอก็คงได้แต่ให้เขาฉีจิ่งหลงช่วยสำรองจ่ายไปให้ก่อน หากยังมีเหลือก็สามารถซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่มาเพิ่มได้หนึ่งเล่ม นอกจากนี้ก็พยายามเลือกหาสมบัติที่ราคาไม่สูงมากจากศาลซานหลางมาเพิ่มอีกหน่อย เป็นวัตถุแบบใดก็ได้ ในจดหมายเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าต้องการให้ฉีจิ่งหลงเอามาดของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนออกมาใช้ ตอนที่ช่วยตนต่อรองราคา หากอีกฝ่ายไม่หลงกล ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ทำหน้าให้หนา พูดประโยคว่า ‘สำนักกระบี่ไท่ฮุยของข้า’ ‘ข้าหลิวจิ่งหลง’ เป็นอย่างไรอย่างไร ให้มากสักหน่อย

ช่วงท้ายของจดหมายอวยพรให้ฉีจิ่งหลงรับการถามกระบี่ทั้งสามครั้งจากลี่ไฉ่ ต่งจู้และป๋ายฉางได้อย่างราบรื่น

จดหมายที่ส่งไปให้สวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆบอกว่าตนได้พบกับ ‘ท่านหลิว’ ผู้นั้นแล้ว อันที่จริงคราวก่อนที่ดื่มเหล้ากันนับว่ายังไม่สาแก่ใจนัก แต่หลักๆ เป็นเพราะสามศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นจึงจำต้องสงบจิตใจ แต่ท่านหลิวยอมรับในมาดการดื่มเหล้าของเจ้าสวีซิ่งจิ่วอยู่มาก ดังนั้นรอให้ท่านหลิวประลองกระบี่ทั้งสามครั้งสำเร็จก็อย่าได้รู้สึกลำบากใจเด็ดขาด เจ้าสวีซิ่งจิ่วสามารถมาเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยได้อีกรอบ คราวนี้ไม่แน่ว่าท่านหลิวอาจจะยอมดื่มเหล้าอย่างเต็มที่แล้วก็ได้ แล้วก็ถือโอกาสช่วยตนนำความไปบอกแก่เด็กหนุ่มที่ชื่อป๋ายโส่วทีว่า ในอนาคตรอให้ป๋ายโส่วลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์เมื่อไหร่ สามารถไปเยือนภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีปได้ ช่วงท้ายของจดหมายบอกกับสวีซิ่งจิ่วว่า หากอยากจะเขียนจดหมายตอบกลับสามารถส่งไปที่สำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกได้ ชื่อผู้รับให้เขียนเป็นชื่อของผังหลันซีผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขามู่อี แล้วค่อยให้เขาส่งต่อไปให้แก่เฉินคนดี

จดหมายฉบับสุดท้ายส่งไปยังยอดเขาหรงจู้ของตำหนักจินอู ผู้ที่รับจดหมายแน่นอนว่าต้องเป็นอดีตเจ้าของหน้าผาอวี้อิ๋งอย่างหลิ่วจื้อชิง

ตัวอักษรบนจดหมายมีอยู่แค่สองประโยคเท่านั้น “ฝึกฝนจิตใจไม่ง่าย เจ้าและข้ามาพยายามไปด้วยกัน”

“รอให้ข้ากลับไปถึงชายหาดโครงกระดูกจะต้องช่วยเจ้าขอผลงานภาพเทพหญิงอันเป็นที่ภาคภูมิใจชุดหนึ่งมาจากอาจารย์ผู้เฒ่าผังอย่างแน่นอน”

กลับไปถึงที่หน้าผาอวี้อิ๋ง เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง ครุ่นคิดบางอย่างอยู่นาน

เรือข้ามฟากลำที่เดินทางไปกลับระหว่างสวนน้ำค้างวสันต์กับชายหาดโครงกระดูก ยังต้องรออีกสองวันกว่าจะมาถึงท่าเรือฝูสุ่ย

ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องมากมายรอให้ไปจัดการ แต่ก็เหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ

เฉินผิงอันจึงเดินออกจากศาลา ม้วนชายแขนเสื้อและขากางเกง ไปเดินเก็บหินอยู่ในลำธารด้านล่างบ่อลึก

……

ซ่งหลันเฉียวผู้ฝึกตนเฒ่าโอสถทองของสวนน้ำค้างวสันต์รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย

เพราะเรือข้ามฟากของบ้านตัวเองที่เดินทางจากชายหาดโครงกระดูกมีผู้โดยสารที่น่ากลัวมากคนหนึ่งมาเยือน

คือเด็กหนุ่มชุดขาวท่าทางสง่างาม เขาต้องการจะไปสวนน้ำค้างวสันต์

ก่อนหน้านี้จุดที่เชื่อมต่อระหว่างฟ้าดินเล็กใหญ่อย่างชายหาดโครงกระดูกและหุบเขาผีร้าย เกิดความเคลื่อนไหวอึกทึกครึกโครมที่ทำให้ผีร่ำไห้เทพตะลึง แต่เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป แล้วก็ยุติลงเร็วเกินไป ซ่งหลันเฉียวจึงไม่ได้เห็นเองกับตา แต่ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาที่พอจะมีสถานะสักหน่อย เรื่องที่เชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือการเก็บรวบรวมข่าวสารจากฝ่ายต่างๆ แล้วไล่สืบไปตามเบาะแส หลังจากที่เด็กหนุ่มหน้าตางดงามถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตคนนั้นเดินขึ้นมาบนเรือ เรื่องแรกที่ซ่งหลันเฉียวทำก็คือรีบส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวยังศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ บอกว่าต้องรับมือเขาอย่างระมัดระวัง คนผู้นี้นิสัยประหลาด เรื่องแรกที่ทำหลังจากมาถึงชายหาดโครงกระดูกก็คือแหวกม่านฟ้าของหุบเขาผีร้าย แล้วทุ่มสมบัติอาคมใส่หัวเกาเฉิงวิญญาณวีรบุรุษขอบเขตหยกดิบที่อยู่ในนครจิงกวาน!

เกาเฉิงที่เฝ้าพิทักษ์นครจิงกวานมีขอบเขตเท่าเทียมกับเซียนเหริน แต่เขากลับไม่ได้ตามมาไล่ฆ่า ‘เด็กหนุ่ม’ ที่มาหาเรื่องถึงถิ่นคนนี้

หากสวนน้ำค้างวสันต์ต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนอย่างไม่คาดฝัน จะทำอย่างไร?

ระหว่างที่เรือข้ามฟากมุ่งหน้าไปยังสวนน้ำค้างวสันต์ เด็กหนุ่มชุดขาวแอบลงจากเรือไปรอบหนึ่ง เขาไปที่ตีนเขาของแถบทะเลสาบชางอวิ๋น เพียงแต่ว่าไม่นานก็ทะยานลมไล่ตามเรือข้ามฟากมาด้วยท่าสุนัขตะกายน้ำ หวนกลับขึ้นมาบนเรือกลางดึกอย่างเงียบเชียบ หากไม่เป็นเพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ซ่งหลันเฉียวที่กระวนกระวายไม่เป็นสุขคอยเบิกตากว้างจับตามองเรือข้ามฟากของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าคนผู้นี้จะมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ถึงขนาดเข้าออกเรือข้ามฟากที่ถูกสวนน้ำค้างวสันต์ร่ายตราผนึกเวทลับไว้ทั้งลำได้เหมือนกับสถานที่ไร้ผู้คนได้ขนาดนี้

นี่ยิ่งทำให้ซ่งหลันเฉียวอกสั่นขวัญแขวนมากกว่าเดิม

และดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะว่างงานมาก เพราะเขามักจะออกจากห้องเป็นประจำ ทุกวันจะต้องเดินเตร่ไปเตร่มาอยู่บนดาดฟ้าเรือ

หลังจากขยับเข้าใกล้อาณาเขตของสวนน้ำค้างวสันต์ เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วก็เริ่มจะอดทนไม่ไหว ดูเหมือนว่าจะรังเกียจที่ความเร็วของเรือช้าเกินไป เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไมถึงยังฝืนใจอดทนรออยู่บนเรือต่อ ไม่ได้ทะยานลมแหวกอากาศจากไป

วันนี้เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายมาหาซ่งหลันเฉียวด้วยตัวเอง เขาเคาะประตู พอเจอหน้ากันก็พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ตอนนี้กิจการของร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหวของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ซ่งหลันเฉียวที่ก่อนหน้านี้สัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายจะมาเยือนถามอย่างระมัดระวังว่า “ผู้อาวุโสกับเซียนกระบี่เฉินเป็น…สหายกัน?”

เด็กหนุ่มถลึงตากว้าง พูดอย่างขุ่นเคือง “ผายลมน่ะสิเจ้า พวกเราจะเป็นสหายกันได้อย่างไร?!”

ซ่งหลันเฉียวหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ทว่าในใจกลับเหมือนแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำ หรือว่าคนผู้นี้เป็นศัตรูของเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้น? สวนน้ำค้างวสันต์จะต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย? ถ้าอย่างนั้นตนควรจะทำอย่างไรดี?

เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงเย็น “ทำไม เจ้ารู้จักรึ?”

ความคิดในหัวของซ่งหลันเฉียวตีกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายกัดฟันพูดหน้าเคร่งว่า “ผู้น้อยรู้จักกับเซียนกระบี่เฉินจริง และยังถือว่าสนิทสนมกันด้วย ครั้งแรกที่เซียนกระบี่เฉินไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ก็นั่งโดยสารเรือข้ามฟากลำนี้ของผู้น้อย”

คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะยกมือตบลงบนไหล่ของโอสถทองผู้เฒ่าหนักๆ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เด็กดี มหามรรคามีทางให้เจ้าเดินกว้างนัก!”

ซ่งหลันเฉียวถูกตบจนร่างเซ พละกำลังนั้นหนักอึ้งมากจริงๆ จนโอสถทองผู้เฒ่ารู้สึกเลื่อนลอยไปเล็กน้อย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!