เงียบงันไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ข้าเป็นคนหัวแข็งดื้อดึง ทำเรื่องอะไรแล้วก็ชอบดึงดัน สักวันหนึ่งที่ภูเขาลั่วพั่วก็จะมีเรื่องเล็กๆ ยิบย่อยที่กลายเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้าของข้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็ช่วยให้คำแนะนำสักหน่อย”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “อริยะเคยกล่าวว่า ยามพบเจอปัญหา ให้เด็กรุ่นหลังคอยช่วยเหลือผู้อาวุโส”
ชุยตงซานหันหน้ามา แนบแก้มไว้บนราวระเบียง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มีอาหารให้พ่อแม่กิน แค่นี้ก็นึกว่าถือเป็นความกตัญญูได้แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เอ่ยว่า “อย่าเปลี่ยนแปลงความหมายดั้งเดิมในบทความคุณธรรม ย่ำยีความตั้งใจของอริยะปราชญ์ส่งเดช”
ชุยตงซานเอ่ย “อาจารย์ อย่าลืมล่ะว่าปีนั้นศิษย์เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาขนาดไหน ประกายคมกริบสาดเจิดจ้า ความรู้นั้นยิ่งใหญ่จนทะลุออกมาข้างนอก ตัวเองอยากจะเก็บซ่อนก็เก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ คนอื่นจะขวางก็ขวางไม่อยู่ ไม่ใช่ข้าคุยโวโดยไม่ต้องเขียนบทร่างหรอกนะ แต่ตำแหน่งผู้อำนวยการของสถานศึกษาก็อยู่ห่างแค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น หากหน้าเลือดกว่านั้นสักหน่อย แม้แต่รองเจ้าสำนักของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก็ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ราชครูพูดเรื่องนี้ ข้าเชื่อ ส่วนเจ้าน่ะโม้เสียมากกว่ากระมัง ตรงหัวเรือนี่ลมแรง ระวังจะบาดลิ้นขาด”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “จะว่าไปแล้ว ศิษย์คุยโวโดยไม่ต้องเขียนบทร่างจริงๆ นั่นแหละ”
เฉินผิงอันถาม “ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางใหญ่มากเลยใช่ไหม?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ใหญ่มาก อาณาเขตของแปดทวีปรวมกันถึงจะพอทัดเทียมกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ ในอีกแปดทวีปที่เหลือ หากมีใครสักคนสองคนเบียดเข้าไปอยู่ในอันดับสิบคนของแผ่นดินกลางได้ ก็ถือว่ามีความสามารถมากแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์อุตรกุรุทวีปอย่างฮว่อหลงเจินเหริน และท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีป”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าจะต้องไปเยือนให้จงได้”
ชุยตงซานบ่นเบาๆ “นั่นเป็นสถานที่แห่งความเสียใจของศิษย์”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หาเรื่องโดนตีเอง ต่อให้หน้าเขียวจมูกบวมก็ต้องยิ้มรับ”
ชุยตงซานกล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย”
เรือข้ามฟากเข้ามาในอาณาเขตของชายหาดโครงกระดูก ซ่งหลันเฉียวมาเยือนถึงห้องพร้อมพกของขวัญชิ้นใหญ่มาด้วย
เป็นของขวัญสองชิ้น
มาจากตัวเขาเองหนึ่งชิ้น และมาจากถานหลิงแห่งสวนน้ำค้างวสันต์หนึ่งชิ้น
ของขวัญขอบคุณชิ้นนี้ของเขา อันที่จริงก็เป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่หลินชว่อเอ๋อร์อาจารย์ผู้มีพระคุณเลือกมาให้จากศาลบรรพจารย์ คือกล่องคัมภีร์ไผ่เหลืองลายมังกร ด้านในบรรจุตำราแผ่นหยกสี่ชิ้น
ของขวัญชิ้นนั้นของถานหลิงก็ยิ่งมีมูลค่าควรเมือง คือหนึ่งในสมบัติหนักบนภูเขาที่สองมือนับได้ของสวนน้ำค้างวสันต์ หมึกรวมชุดที่หนึ่งชุดมีแปดก้อน
ตอนที่มอบออกไป ซ่งหลันเฉียวยังอดรู้สึกเสียดายแทนถานหลิงไม่ได้
เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ ถานหลิงไม่ได้มอบของขวัญให้ด้วยตัวเองตอนที่อยู่ท่าเรือฝูสุ่ย แต่สั่งความให้ซ่งหลันเฉียวเป็นผู้นำมามอบให้ขณะที่เรือจะจอดเทียบท่าที่ชายหาดโครงกระดูก เดิมทีก็คือความจริงใจอย่างหนึ่ง
นี่คืองานหลวงเรื่องแรกที่ซ่งหลันเฉียวได้รับมอบหมายหลังจากกลายเป็นสมาชิกของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ นับว่าผ่านไปได้อย่างราบรื่น ทำให้ซ่งหลันเฉียวโล่งใจได้ไม่น้อย
เพียงแต่ว่านั่งดื่มชาร่วมโต๊ะกับอาจารย์และศิษย์คู่นั้น ซ่งหลันเฉียวก็อดกระวนกระวายใจไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่นั่งข้างกายเขาก็คือชุยตงซาน
ชุยตงซานใช้สองนิ้วคีบถ้วยแล้ววาดลงบนโต๊ะเบาๆ เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หลันเฉียวเอ๋ย บนโลกใบนี้คนน่าสงสารที่หิ้วหัวหมูแต่หาศาลไม่เจอมีมากมายนัก หลันเฉียวเจ้านับว่าโชคดีแล้ว”
นาทีก่อนซ่งหลันเฉียวยังได้ยินเฉินผิงอันเรียกตัวเองว่าผู้อาวุโสซ่ง ตอนนี้กลับถูกลูกศิษย์ของเขาคำก็เรียกหลันเฉียว สองคำก็เรียกหลันเฉียว ทำให้เขากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
สวนน้ำค้างวสันต์ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่ปล่อยให้ชุยตงซานมาเล่นมุกตลกอยู่แถวนี้ เขาจึงโบกมือบอกเป็นนัยให้รู้ว่าตนมีเรื่องต้องคุยกับซ่งหลันเฉียว
คิดไม่ถึงว่าการกระทำนี้และภาพเหตุการณ์ต่อมาจะทำให้เหงื่อเย็นๆ ผุดซึมออกมาจากหน้าผากของซ่งหลันเฉียวโดยตรง
เด็กหนุ่มชุดขาวเหมือนถูกเฉินผิงอันตบจนปลิวกระเด็นไป ทั้งคนทั้งเก้าอี้ลอยคว้างหมุนตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบจนนับไม่ถ้วน สุดท้ายหนึ่งคนหนึ่งเก้าอี้ก็แนบติดกำแพงอยู่อย่างนั้น แล้วค่อยๆ กลิ้งไถลลงมา ชุยตงซานหน้าม่อยน้ำตาตก เก้าอี้ติดกำแพง หลังคนแนบติดเก้าอี้ พูดอย่างขลาดกลัวว่า “ศิษย์จะนั่งอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน
ในใจซ่งหลันเฉียวตื่นตะลึงไม่หยุด หรือว่าเซียนกระบี่เฉินที่มีสีหน้าเป็นมิตรคนนี้ไม่ต่างจากหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ไม่ใช่เซียนดินอะไร แต่เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง?
เฉินผิงอันคร้านจะสนใจชุยตงซาน เขาเริ่มหันมาพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับซ่งหลันเฉียว พยายามจะปรึกษาเรื่องการร่วมมือกันระหว่างภูเขาลั่วพั่วและสวนน้ำค้างวสันต์ในอนาคตให้ได้ แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่การพูดถึงทิศทางคร่าวๆ เท่านั้น เพราะตอนนี้ซ่งหลันเฉียวต้องยังตัดสินใจเองไม่ได้อย่างแน่นอน ยังต้องกลับไปถกเถียงกันที่ศาลบรรพจารย์หลายๆ รอบเสียก่อนถึงจะได้ หากสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายตัดสินใจว่าจะร่วมมือกัน กิจธุระอย่างเป็นรูปธรรมทุกอย่างนับจากนี้ ภูเขาลั่วพั่วเองก็ต้องให้พวกจูเหลี่ยน เว่ยป้อปรึกษาหารือกันเช่นกัน เกี่ยวกับการค้าของสวนน้ำค้างวสันต์ เฉินผิงอันนับว่าพอจะรู้รากฐานอยู่บ้าง ดังนั้นยามที่พูดคุยกับซ่งหลันเฉียวจึงไม่อึดอัดขัดเขิน การเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีป เขาไม่ได้เป็นร้านผ้าห่อบุญอย่างเสียเปล่า ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาลั่วพั่วแน่นอนว่าต้องเป็นท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวที่เป็นศูนย์กลางการโคจรที่สำคัญ มีซานจวินใหญ่เว่ยเฝ้าบัญชาการณ์ภูเขาพีอวิ๋น ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวก็สามารถรองรับเรือข้ามฟากข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปได้เป็นจำนวนมาก นี่ก็เท่ากับว่าร้านผ้าห่อบุญร้านหนึ่งมีร้านที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง เงินทองใต้หล้าแห่งนี้ หยุดพักอยู่ที่ใดที่หนึ่งสักเล็กน้อย แล้วค่อยหมุนเวียนต่อไปอีกครั้ง ก็คือเงินต่อเงิน
บางครั้งเฉินผิงอันก็คิดว่า เงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งที่เสียหายค่อนข้างมาก เคยได้พบเจอกับผู้ฝึกตนมากี่มากน้อย? พันคน? หมื่นคน? จะเดินทางท่องไปทั่วอาณาเขตของเก้าทวีปในใต้หล้าไพศาลหรือไม่?
เดิมทีซ่งหลันเฉียวกำลังรวบรวมสมาธิคุยเรื่องใหญ่กับเฉินผิงอัน เพราะเขามีลางสังหรณ์ว่าการพูดคุยกันในวันนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะตัดสินทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในอีกร้อยปีข้างหน้าของสวนน้ำค้างวสันต์
จากนั้นซ่งหลันเฉียวก็เห็นว่าเซียนกระบี่เฉินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเหลือบมองไปทางกำแพงแวบหนึ่ง
ซ่งหลันเฉียวจึงมองตามสายตาเขาไป เห็นว่ามือสองข้างของเด็กหนุ่มชุดขาวจับที่เท้าแขนเก้าอี้ ร่างทั้งร่างโยกไหว ทั้งคนทั้งเก้าอี้จึงโยกไปซ้ายทีขวาที ราวกับว่าใช้ขาเก้าอี้ต่างขาสองข้างของตน แล้วกำลังเดินโซเซอยู่
พอถูกอาจารย์จับได้ ชุยตงซานก็หยุดการกระทำทันที เขาแหงนหน้าขึ้นแล้วผิวปาก
ซ่งหลันเฉียวยิ้มบางๆ ตามมารยาท แล้วจึงดึงสายตากลับคืนมา
สมองไอ้หมอนี่มีปัญหากระมัง? ต้องใช่แน่นอน!
เฉินผิงอันคุยกับซ่งหลันเฉียวนานถึงหนึ่งชั่วยามเต็ม ทั้งสองฝ่ายต่างก็เสนอความเป็นไปได้มากมาย พูดคุยกันถูกคอไม่น้อย
พอถึงช่วงหลังๆ ซ่งหลันเฉียวก็ผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก เริ่มเข้าสู่สภาวะที่ยอดเยี่ยม ความคิดมากมายที่สะสมมานานหลายปี แต่กลับไม่เคยพูดออกมาล้วนสามารถเปิดเผยได้อย่างสบายใจ ส่วนเซียนกระบี่หนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งมักจะคอยเติมน้ำชาให้ทั้งสองฝ่ายอยู่บ่อยๆ ก็ยิ่งเป็นคนค้าขายที่เขาถูกชะตาด้วยอย่างที่หาได้ยาก ถ้อยคำของเขาไม่เคยแสดงการยืนกรานอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่เคยพูดว่าได้หรือไม่ได้ ส่วนมากจะเอ่ยถ้อยคำที่อ่อนโยนละมุนละม่อมทำนองว่า ‘ตรงจุดนี้ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร ขอผู้อาวุโสซ่งช่วยอธิบายอย่างละเอียดอีกหน่อย’ ‘เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ามีความคิดบางอย่างที่แตกต่างออกไป ผู้อาวุโสซ่งลองฟังดูก่อน หากมีความเห็นต่างก็บอกมาตามตรงได้เลย’ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่เลอะเลือน การกระทำเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่ซ่งหลันเฉียวคิดจะขุดหลุมฝังเกาซง เซียนกระบี่หนุ่มก็ไม่พูดแฉต่อหน้า เพียงเอ่ยประโยคว่า ‘เรื่องนี้อาจต้องให้ผู้อาวุโสซ่งสิ้นเปลืองแรงใจกับทางฝั่งของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ให้มากสักหน่อย’
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นไม่มีอะไรทำจึงโยกเก้าอี้วนไปรอบโต๊ะ ยังดีที่ตอนใช้เก้าอี้เดินไม่มีเสียงใด ไม่มีความเคลื่อนไหวให้หนวกหูแม้แต่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!