สรุปตอน บทที่ 566.3 กลับคืนสู่บ้านเกิด – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 566.3 กลับคืนสู่บ้านเกิด ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ไปถึงประตูภูเขาของภูเขามู่อีก็สามารถเดินผ่านไปได้อย่างราบรื่น ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในสำนักพีหมาล้วนรู้จักเฉินผิงอัน อีกทั้งเพิ่งจะผ่านไปไม่นานเขาก็เดินทางกลับมาอีกครั้ง
จู๋เฉวียนไม่ได้อยู่บนภูเขา นางไปที่เมืองชิงหลูหุบเขาผีร้ายแล้ว
แต่ตู้เหวินซือกลับมายังศาลบรรพจารย์แล้วเริ่มปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว การเลื่อนเป็นก่อกำเนิดของเขามีโอกาสสูงมาก
ชุยตงซานพูดถึงตู้เหวินซือแล้วก็หัวเราะคิกคัก “อาจารย์ ไอ้หมอนี่เป็นพวกลุ่มหลงในรัก ว่ากันว่าก่อนหน้านี้นักพรตหญิงหวงถิงของภูเขาไท่ผิงไปที่หุบเขาผีร้ายมารอบหนึ่ง แต่ไม่ได้ไปเพราะตู้เหวินซือ แล้วก็เพราะไม่อยากให้ตู้เหวินซือคิดมากถึงได้ทิ้งประโยค ‘ชั่วชีวิตนี้ข้าหวงถิงไร้คู่บำเพ็ญตน’ เอาไว้ ทำให้ตู้เหวินซือเสียใจแทบแย่ แต่นอกเหนือจากความเสียใจแล้ว อันที่จริงเขายังมีความคิดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างด้วย สตรีที่ตัวเองคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตนไม่อาจครอบครองได้ ยังดีที่ไม่ต้องกังวลว่าบุรุษอื่นจะได้นางไปครอง นี่ก็ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว ดังนั้นตู้เหวินซือที่คิดไปคิดมาจึงรู้สึกว่ายังคงเป็นเพราะขอบเขตของตัวเองไม่สูงมากพอ หากขอบเขตสูงพอแล้ว จะดีจะชั่วก็ยังจะพอมีโอกาสอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นในอนาคตลองไปเยี่ยมเยือนภูเขาไท่ผิงดู หรือไม่ก็ขยับไปอีกก้าว ไปท่องเที่ยวภูเขาสายน้ำร่วมกับหวงถิง…”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าอยู่บนภูเขามู่อีแค่ไม่กี่วัน แต่กลับรู้ชัดเจนขนาดนี้เลยหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ก็เดินเล่นไปเรื่อย บนภูเขากับล่างภูเขาไม่ได้มีอะไรต่างกัน คนเราพออยู่ว่างก็มักจะชอบพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิง โดยเฉพาะพวกผู้ฝึกตนหญิงที่หลงรักตู้เหวินซือที่รู้สึกย่ำแย่กว่าตู้เหวินซือเสียอีก แต่ละคนพากันเปิดปากร้องทวงความเป็นธรรมให้เขา บอกว่าหวงถิงผู้นั้นมีอะไรดี ก็แค่ขอบเขตสูงหน่อย หน้าตาดีหน่อย สำนักใหญ่หน่อย…”
ภูเขามู่อีที่เป็นยอดเขาหลักของสำนักพีหมาไม่ได้ต่างจากยอดเขาทั้งหมดอันเป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนจำนวนมากบนโลกที่เส้นทางเดินขึ้นเขาเป็นขั้นบันไดทอดตรงยาวขึ้นสู่ด้านบน
เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดมักจะทะยานลมขี่กระบี่ขึ้นไปได้โดยตรง ภูเขาบางแห่ง แม้แต่ลูกศิษย์ทั่วไปก็ยังไม่มีข้อห้าม แต่ถ้ำสถิตตระกูลเซียนส่วนใหญ่มักจะพิถีพิถันในข้อที่ว่านกแต่ละชนิดมีเส้นทางเป็นของตัวเอง ระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน เส้นทางไม่เหมือนกัน การที่ทางฝั่งของเขตการปกครองหลงเฉวียนไม่ค่อยเหมือนที่อื่น สาเหตุก็เป็นเพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก่อสร้าง บวกกับที่เดิมทีลูกศิษย์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนและภูเขาลั่วพั่วก็มีไม่มาก อีกทั้งยังไม่ค่อยพิถีพิถันในรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้ ดังนั้นจึงดูแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด แต่พอเปลี่ยนมาเป็นตระกูลเซียนเก่าแก่อย่างสำนักพีหมาหรือสวนน้ำค้างวสันต์ที่มีกฎเกณฑ์มาก ระเบียบวินัยเข้มงวดแล้ว ในสายตาเฉินผิงอัน อันที่จริงก็คือเรื่องดี
เพียงแต่ว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องได้เปรียบที่ลำบากครั้งเดียวแต่สบายไปตลอดกาล การที่จิตใจผู้คนในสวนน้ำค้างวสันต์ระส่ำระส่ายก็เพราะว่ากฎเกณฑ์ของสำนักบนหน้ากระดาษ ระเบียบวินัยที่ปรากฎภายนอกไม่ได้แทรกซอนลึกเข้าไปในใจคนอย่างแท้จริง
สำหรับเรื่องนี้ สำนักพีหมากลับทำให้เฉินผิงอันนับถือจากใจจริง นับตั้งแต่เจ้าสำนักจู๋ไปจนถึงตู้เหวินซือ แล้วก็มาถึงผังหลันซี แต่ละคนมีนิสัยแตกต่างกัน ทว่าบุคลิกลักษณะบางอย่างบนร่างของพวกเขากลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ความเป็นตายของตัวเองคือเรื่องเล็ก แต่เรื่องของสำนักคือเรื่องใหญ่
ทั้งๆ ที่ผู้ฝึกตนแสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย แต่ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมากับกล้ากระโจนเข้าหาความตายเพื่อสำนักกันทุกคน จู๋เฉวียนและเหล่าเจ้าสำนัก เหล่าบรรพจารย์ในแต่ละรุ่น ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับศึกตาย ก็มักจะใช้ตัวเองเป็นแบบอย่าง ยินดีตายก่อนใคร!
บรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักพีหมาทะยานลมเลียบขั้นบันไดลงมาพลิ้วกายหยุดอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยกับคนทั้งสองว่า “คุณชายเฉิน สหายนักพรตชุย ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับแต่ไกล”
หลังจากทักทายกันแล้ว เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าบรรพจารย์สำนักพีหมาท่านนี้จะสนิทสนมกับชุยตงซานมาก คำพูดคำจาราวกับว่าเป็นคนรู้ใจของกันและกัน
หรือว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ชุยตงซานอยู่บนภูเขามู่อีไม่ได้แค่เดินเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นเหมือนคนว่างงานอย่างเดียวเท่านั้น?
ไม่อย่างนั้นการเข่นฆ่าของชุยตงซานกับนครจิงกวานครั้งนั้นก็คงไม่ถึงขั้นทำให้บรรพจารย์ผู้คุมกฎคนหนึ่งต้องมองเขาใหม่ถึงขนาดนี้ ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาแต่ละคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่บุกฝ่าเส้นทางสายเลือดออกมาจากกองกระดูกขาว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองที่มองดูเหมือนอ่อนโยนสุภาพอย่างตู้เหวินซือก็ผ่านการเข่นฆ่าอันยาวนานอยู่ในหุบเขาผีร้ายมาเช่นกัน
บรรพจารย์ผู้เฒ่านำพาคนทั้งสองไปยังเรือนที่เฉินผิงอันเคยมาพักด้วยตัวเอง
เรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาที่เดินทางระหว่างชายหาดโครงกระดูกกับนครมังกรเฒ่ายังต้องใช้เวลาอีกประมาณสิบวันกว่าจะกลับมาถึงอุตรกุรุทวีป
ผังหลันซีกับผังซานหลิ่งท่านปู่ทวดของเขามายืนรออยู่ตรงหน้าประตูเรือนแล้ว
เด็กหนุ่มยิ้มพลางกวักมือเรียก “ท่านเฉิน!”
คนทั้งสองพบหน้ากัน ประโยคแรกของผังหลันซีก็คือการบอกเล่าเรื่องน่ายินดี เขาพูดเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน ข้าขอภาพเทพหญิงจากท่านปู่ทวดมาให้ท่านได้อีกสองชุดแล้ว”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ราคาเท่าไร?”
ผังหลันซียิ้มกล่าว “ตามราคาตลาด…”
ผังหลันซีหยุดชะงักไปครู่ “ย่อมไม่มีทางขายให้! ยกให้เลย ไม่คิดเงิน!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถังเซียนซือช่างเอ็นดูเจ้านัก แต่พวกเราอิงกันตามราคาตลาดเถอะ มิตรภาพส่วนมิตรภาพ การค้าขายก็ส่วนการค้าขาย”
ผังหลันซีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “เพิ่งจะไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วันเอง เหตุใดท่านเฉินถึงทำตัวห่างเหินขนาดนี้แล้ว?”
เฉินผิงอันกดเสียงลงต่ำ “แค่ถ้อยคำตามมารยาทที่ไม่ต้องจ่ายเงิน เจ้าเกรงใจก่อน ข้าก็เลยเกรงใจตาม จากนั้นพวกเราสองคนก็ไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว”
ผังหลันซีหัวเราะปากกว้าง
ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ อีกแล้ว
ท่านเฉินช่างมีความรู้หลากหลายเสียจริง
ชุยตงซานจึงมอบผลหลี่ตอบแทนผลท้อให้อีกฝ่าย “พี่หญิงจู๋เป็นสตรีที่ดีขนาดนี้ ตอนนี้ยังไม่มีคู่บำเพ็ญตน แม้แต่สวรรค์ก็ทนสิ่งนี้ไม่ได้”
ดังนั้นคนทั้งสองจึงเกือบจะตีกัน ตอนที่จู๋เฉวียนกลับไปยังเมืองชิงหลูของหุบเขาผีร้ายโทสะยังเดือดพล่านอยู่ไม่คลาย
เหวยอวี่ซงคือคนฉลาดที่คุ้นเคยกับการทำการค้าดี ไม่อย่างนั้นด้วยเจ้าสำนักที่ไม่เอาจริงเอาจัง กับบรรพจารย์ผู้เฒ่าที่พึ่งพาไม่ได้อย่างพวกเยี่ยนซู่นี้ ต่อให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักพีหมาจะมากแค่ไหน แต่ป่านนี้ก็คงถูกนครจิงกวานแล่เนื้อเถือหนัง เผาผลาญรากฐานของสำนักไปจนสิ้นนานแล้ว ทุกครั้งที่เหวยอวี่ซงปรึกษาธุระอยู่ในศาลบรรพจารย์ ต่อให้เผชิญหน้ากับจู๋เฉวียนและเยี่ยนซู่อาจารย์ผู้มีพระคุณของตนก็ยังไม่เคยมีใบหน้ายิ้มแย้มให้เห็น ทุกครั้งเขาจะชอบพกสมุดบัญชีมาพูดคุยธุระด้วย เปิดสมุดบัญชีพลางพูดจาเหน็บแนมคนอื่นไปพลาง นานวันเข้าพวกผู้อาวุโสในศาลบรรพจารย์ก็ได้แต่คลี่ยิ้มบางๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะแค่ชินแล้วก็ดีไปเอง
เหวยอวี่ซงรู้สึกว่าหากจะช่วยให้สวนน้ำค้างวสันต์ขนส่งสินค้าไปยังแจกันสมบัติทวีป ย่อมไม่มีปัญหา แต่เรื่องของการแยกบัญชีรายรับรายจ่ายนั้นควรต้องใคร่ครวญกันให้ดี
ตอนที่เหวยอวี่ซงคิดจะดีดลูกคิดคำนวณบัญชี เยี่ยนซู่กับผังซานหลิ่งก็เริ่มยิ้มบางๆ ตามความเคยชิน ชุยตงซานรู้สึกว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เขาควรพูดจึงหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้ผังหลันซี ผังหลันซีมีใจระแวงต่อ ‘คนวัยเดียวกัน’ ที่หล่อเหลาจนน่าเหลือเชื่อผู้นี้อยู่มาก เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีจิตใจเป็นเด็กหนุ่ม เขาจึงกังวลว่าหากแม่นางที่เติบโตมาพร้อมเขาตั้งแต่เด็กได้ไปเจอกับคนวัยเดียวกันที่ดีกว่าเขา จะเกิดความคิดบางอย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ลงจากเขาไปพบนางที่นครปี้ฮว่า แล้วนางเล่าให้ฟังว่าเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนนี้มาซื้อภาพเทพหญิงที่ร้าน แม้นางจะเอ่ยพูดถ้อยคำธรรมดาบอกว่าเด็กหนุ่มมีนิสัยประหลาด แต่ในใจผังหลันซีก็ยังอดรู้สึกตุ๋มๆ ต่อมๆ ไม่ได้
ช่วงนี้ผังหลันซีใกล้จะกลุ้มใจตายเต็มทีแล้ว
ดังนั้นจึงอยากจะขอความรู้จากเฉินผิงอันมากเป็นพิเศษ
ร้านผ้าห่อบุญอิสระอย่างเฉินผิงอันกับเหวยอวี่ซงที่ดูแลเรื่องเงินทองทั้งหมดในสำนักพีหมา ต่างคนก็ต่างหั่นราคากันเต็มที่
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังอดรู้สึกจนใจไม่ได้
เหวยอวี่ซงผู้นี้ขี้เหนียวจนเกินควรไปหน่อยแล้วจริงๆ
ไม่มีมาดของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลสำนักอักษรตัวจงแม้แต่น้อย
หากเป็นรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างที่พูดคุยกันยาก เหวยอวี่ซงก็จะยกเอาบรรพจารย์ท่านหนึ่งที่ออกเดินทางไกลขึ้นมาอ้าง สรุปก็คือเป็นการสาดโคลนใส่อีกฝ่ายด้วยคำพูดน่าเชื่อถือ บอกว่าบรรพจารย์ท่านนี้หัวโบราณคร่ำครึอย่างไร เงินเกล็ดหิมะทุกเหรียญจะต้องไม่ขาดอย่างไร หากเป็นเรื่องที่ทำลายผลประโยชน์ของสำนัก ต่อให้แค่เป็นที่น่าสงสัยเท่านั้น บรรพจารย์ท่านนี้ก็จะยังซักไซ้เอาความกับศาลบรรพจารย์ ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น เขาเหวยอวี่ซงไม่มีตำแหน่งฐานะในสำนักพีหมามากที่สุด ใครจะขอเงินจากเขาล้วนพูดจากระโชกโฮกฮากใส่ หากไม่ให้ก็ชักสีหน้า แต่ละคนถ้าไม่ได้อาศัยตบะที่สูงกว่าก็อาศัยความอาวุโสที่มากกว่า และยังมีบางคนที่หน้าไม่อายยิ่งกว่านั้น อาศัยว่าตัวเองตบะต่ำลำดับอาวุโสต่ำกว่าก็ยังจะหาเรื่องเอากับเขาได้
สรุปก็คือฟังจากคำร้องทุกข์ของเหวยอวี่ซงแล้ว ดูเหมือนว่าตลอดทั้งสำนักพีหมาก็คือเขาเหวยอวี่ซงนี่แหละที่ไม่มีความสำคัญที่สุด พูดจาไม่มีคนฟังมากที่สุด
ดังนั้นเฉินผิงอันที่จนปัญญาจึงวางถ้วยชาลงเบาๆ แล้วกระแอมหนึ่งที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!