ไปถึงประตูภูเขาของภูเขามู่อีก็สามารถเดินผ่านไปได้อย่างราบรื่น ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในสำนักพีหมาล้วนรู้จักเฉินผิงอัน อีกทั้งเพิ่งจะผ่านไปไม่นานเขาก็เดินทางกลับมาอีกครั้ง
จู๋เฉวียนไม่ได้อยู่บนภูเขา นางไปที่เมืองชิงหลูหุบเขาผีร้ายแล้ว
แต่ตู้เหวินซือกลับมายังศาลบรรพจารย์แล้วเริ่มปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว การเลื่อนเป็นก่อกำเนิดของเขามีโอกาสสูงมาก
ชุยตงซานพูดถึงตู้เหวินซือแล้วก็หัวเราะคิกคัก “อาจารย์ ไอ้หมอนี่เป็นพวกลุ่มหลงในรัก ว่ากันว่าก่อนหน้านี้นักพรตหญิงหวงถิงของภูเขาไท่ผิงไปที่หุบเขาผีร้ายมารอบหนึ่ง แต่ไม่ได้ไปเพราะตู้เหวินซือ แล้วก็เพราะไม่อยากให้ตู้เหวินซือคิดมากถึงได้ทิ้งประโยค ‘ชั่วชีวิตนี้ข้าหวงถิงไร้คู่บำเพ็ญตน’ เอาไว้ ทำให้ตู้เหวินซือเสียใจแทบแย่ แต่นอกเหนือจากความเสียใจแล้ว อันที่จริงเขายังมีความคิดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างด้วย สตรีที่ตัวเองคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตนไม่อาจครอบครองได้ ยังดีที่ไม่ต้องกังวลว่าบุรุษอื่นจะได้นางไปครอง นี่ก็ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว ดังนั้นตู้เหวินซือที่คิดไปคิดมาจึงรู้สึกว่ายังคงเป็นเพราะขอบเขตของตัวเองไม่สูงมากพอ หากขอบเขตสูงพอแล้ว จะดีจะชั่วก็ยังจะพอมีโอกาสอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นในอนาคตลองไปเยี่ยมเยือนภูเขาไท่ผิงดู หรือไม่ก็ขยับไปอีกก้าว ไปท่องเที่ยวภูเขาสายน้ำร่วมกับหวงถิง…”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าอยู่บนภูเขามู่อีแค่ไม่กี่วัน แต่กลับรู้ชัดเจนขนาดนี้เลยหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ก็เดินเล่นไปเรื่อย บนภูเขากับล่างภูเขาไม่ได้มีอะไรต่างกัน คนเราพออยู่ว่างก็มักจะชอบพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิง โดยเฉพาะพวกผู้ฝึกตนหญิงที่หลงรักตู้เหวินซือที่รู้สึกย่ำแย่กว่าตู้เหวินซือเสียอีก แต่ละคนพากันเปิดปากร้องทวงความเป็นธรรมให้เขา บอกว่าหวงถิงผู้นั้นมีอะไรดี ก็แค่ขอบเขตสูงหน่อย หน้าตาดีหน่อย สำนักใหญ่หน่อย…”
ภูเขามู่อีที่เป็นยอดเขาหลักของสำนักพีหมาไม่ได้ต่างจากยอดเขาทั้งหมดอันเป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนจำนวนมากบนโลกที่เส้นทางเดินขึ้นเขาเป็นขั้นบันไดทอดตรงยาวขึ้นสู่ด้านบน
เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดมักจะทะยานลมขี่กระบี่ขึ้นไปได้โดยตรง ภูเขาบางแห่ง แม้แต่ลูกศิษย์ทั่วไปก็ยังไม่มีข้อห้าม แต่ถ้ำสถิตตระกูลเซียนส่วนใหญ่มักจะพิถีพิถันในข้อที่ว่านกแต่ละชนิดมีเส้นทางเป็นของตัวเอง ระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน เส้นทางไม่เหมือนกัน การที่ทางฝั่งของเขตการปกครองหลงเฉวียนไม่ค่อยเหมือนที่อื่น สาเหตุก็เป็นเพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก่อสร้าง บวกกับที่เดิมทีลูกศิษย์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนและภูเขาลั่วพั่วก็มีไม่มาก อีกทั้งยังไม่ค่อยพิถีพิถันในรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้ ดังนั้นจึงดูแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด แต่พอเปลี่ยนมาเป็นตระกูลเซียนเก่าแก่อย่างสำนักพีหมาหรือสวนน้ำค้างวสันต์ที่มีกฎเกณฑ์มาก ระเบียบวินัยเข้มงวดแล้ว ในสายตาเฉินผิงอัน อันที่จริงก็คือเรื่องดี
เพียงแต่ว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องได้เปรียบที่ลำบากครั้งเดียวแต่สบายไปตลอดกาล การที่จิตใจผู้คนในสวนน้ำค้างวสันต์ระส่ำระส่ายก็เพราะว่ากฎเกณฑ์ของสำนักบนหน้ากระดาษ ระเบียบวินัยที่ปรากฎภายนอกไม่ได้แทรกซอนลึกเข้าไปในใจคนอย่างแท้จริง
สำหรับเรื่องนี้ สำนักพีหมากลับทำให้เฉินผิงอันนับถือจากใจจริง นับตั้งแต่เจ้าสำนักจู๋ไปจนถึงตู้เหวินซือ แล้วก็มาถึงผังหลันซี แต่ละคนมีนิสัยแตกต่างกัน ทว่าบุคลิกลักษณะบางอย่างบนร่างของพวกเขากลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ความเป็นตายของตัวเองคือเรื่องเล็ก แต่เรื่องของสำนักคือเรื่องใหญ่
ทั้งๆ ที่ผู้ฝึกตนแสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย แต่ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมากับกล้ากระโจนเข้าหาความตายเพื่อสำนักกันทุกคน จู๋เฉวียนและเหล่าเจ้าสำนัก เหล่าบรรพจารย์ในแต่ละรุ่น ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับศึกตาย ก็มักจะใช้ตัวเองเป็นแบบอย่าง ยินดีตายก่อนใคร!
บรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักพีหมาทะยานลมเลียบขั้นบันไดลงมาพลิ้วกายหยุดอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยกับคนทั้งสองว่า “คุณชายเฉิน สหายนักพรตชุย ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับแต่ไกล”
หลังจากทักทายกันแล้ว เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าบรรพจารย์สำนักพีหมาท่านนี้จะสนิทสนมกับชุยตงซานมาก คำพูดคำจาราวกับว่าเป็นคนรู้ใจของกันและกัน
หรือว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ชุยตงซานอยู่บนภูเขามู่อีไม่ได้แค่เดินเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นเหมือนคนว่างงานอย่างเดียวเท่านั้น?
ไม่อย่างนั้นการเข่นฆ่าของชุยตงซานกับนครจิงกวานครั้งนั้นก็คงไม่ถึงขั้นทำให้บรรพจารย์ผู้คุมกฎคนหนึ่งต้องมองเขาใหม่ถึงขนาดนี้ ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาแต่ละคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่บุกฝ่าเส้นทางสายเลือดออกมาจากกองกระดูกขาว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองที่มองดูเหมือนอ่อนโยนสุภาพอย่างตู้เหวินซือก็ผ่านการเข่นฆ่าอันยาวนานอยู่ในหุบเขาผีร้ายมาเช่นกัน
บรรพจารย์ผู้เฒ่านำพาคนทั้งสองไปยังเรือนที่เฉินผิงอันเคยมาพักด้วยตัวเอง
เรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาที่เดินทางระหว่างชายหาดโครงกระดูกกับนครมังกรเฒ่ายังต้องใช้เวลาอีกประมาณสิบวันกว่าจะกลับมาถึงอุตรกุรุทวีป
ผังหลันซีกับผังซานหลิ่งท่านปู่ทวดของเขามายืนรออยู่ตรงหน้าประตูเรือนแล้ว
เด็กหนุ่มยิ้มพลางกวักมือเรียก “ท่านเฉิน!”
คนทั้งสองพบหน้ากัน ประโยคแรกของผังหลันซีก็คือการบอกเล่าเรื่องน่ายินดี เขาพูดเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน ข้าขอภาพเทพหญิงจากท่านปู่ทวดมาให้ท่านได้อีกสองชุดแล้ว”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ราคาเท่าไร?”
ผังหลันซียิ้มกล่าว “ตามราคาตลาด…”
ผังหลันซีหยุดชะงักไปครู่ “ย่อมไม่มีทางขายให้! ยกให้เลย ไม่คิดเงิน!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถังเซียนซือช่างเอ็นดูเจ้านัก แต่พวกเราอิงกันตามราคาตลาดเถอะ มิตรภาพส่วนมิตรภาพ การค้าขายก็ส่วนการค้าขาย”
ผังหลันซีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “เพิ่งจะไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วันเอง เหตุใดท่านเฉินถึงทำตัวห่างเหินขนาดนี้แล้ว?”
เฉินผิงอันกดเสียงลงต่ำ “แค่ถ้อยคำตามมารยาทที่ไม่ต้องจ่ายเงิน เจ้าเกรงใจก่อน ข้าก็เลยเกรงใจตาม จากนั้นพวกเราสองคนก็ไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว”
ผังหลันซีหัวเราะปากกว้าง
ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ อีกแล้ว
ท่านเฉินช่างมีความรู้หลากหลายเสียจริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!