ชุยตงซานที่กำลังอ้าปากหาวรีบนั่งตัวตรงอย่างสำรวมทันที เขาเอ่ยว่า “เรื่องค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขามู่อี อันที่จริงยังมีจุดที่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้อีก”
เหวยอวี่ซงตบโต๊ะ “ทุกอย่างล้วนอิงตามคำกล่าวของคุณชายเฉิน ตกลงกันตามนี้แหละ!”
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความจริงใจ ถามว่า “จะทำให้สำนักพีหมาวางตัวลำบากหรือไม่?”
เหวยอวี่ซงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชอบธรรม “พูดเป็นเล่น ในสำนักพีหมาแห่งนี้ ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน อย่าว่าแต่เจ้าสำนักจู๋เลย ต่อให้เป็นราชาสวรรค์ก็ยังบังคับข้าเหวยอวี่ซงไม่ได้!”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง แล้วจึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มของเหวยอวี่ซงไม่แปรเปลี่ยน
เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ ด้วย
……
เหวยอวี่ซงจากมาพร้อมกับเยี่ยนซู่ ผังซานหลิ่ง
เหวยอวี่ซงยืนกรานจะพูดคุยเรื่องในวันวานกับสหายนักพรตชุยให้จงได้ ชุยตงซานจึงได้แต่ติดตามไปด้วย
ตอนนี้จึงเหลือแค่เฉินผิงอันกับผังหลันซี ผังหลันซีนั่งลงแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านเฉิน ผู้อาวุโสชุยท่านนี้เป็นลูกศิษย์ของท่านจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าจะรู้สึกว่าไม่เหมือนก็เป็นเรื่องปกติ”
ผังหลันซีทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเปิดปากขอร้องคนอื่นแล้วรู้สึกลำบากใจ ถ้าอย่างนั้นก็…”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก เพียงยกสองมือขึ้นทำท่าประกอบ
ผังหลันซีเข้าใจทันที คือภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็ม
ผังหลันซีรีบร้อนทะยานลมจากไป แล้วย้อนกลับมาอย่างว่องไวอีกครั้ง กลับมาพร้อมกล่องไม้สองกล่องที่วางลงบนโต๊ะ
นอกจากนี้ยังมีจดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากนครเหนือเมฆด้วย คนรับจดหมายคือเขาผังหลันซี ซึ่งขอให้ส่งมอบต่อไปยัง ‘เฉินคนดี’
เฉินผิงอันเก็บจดหมายมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้มีความมั่นใจที่จะพูดแล้วใช่ไหม?”
ผังหลันซีพูดเสียงเบา “ท่านเฉิน ข้าค่อนข้างเป็นกังวล”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
ผังหลันซีคือเด็กหนุ่มที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการฝึกตน ความกลัดกลุ้มของเด็กหนุ่มบนภูเขาไม่ได้อยู่ที่การฝึกตน ถ้าอย่างนั้นก็อยู่แค่ที่ความรุ่งโรจน์และเสื่อมถอยของสำนักเท่านั้น ทว่าสำนักพีหมายังไม่มีภัยแฝงเช่นนี้อยู่ หรือควรจะพูดว่าพวกเขาเจอกับอันตรายที่ซ่อนแฝงมาโดยตลอดอยู่แล้ว นี่กลับกลายเป็นว่าทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนเคยชินกับมันไปเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่เรื่องนั้นแล้ว
เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าลองเล่ามาก่อน แล้วเดี๋ยวข้าค่อยช่วยวิเคราะห์ให้เจ้า”
ผังหลันซีจึงเล่าเรื่องพวกนั้น อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องอะไรมาก
เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มกำลังตกอยู่ในห้วงรัก บางครั้งความคิดก็วกไปวนมา ไม่ได้มีเพียงเด็กสาวเท่านั้นที่มีความคิดวกวนร้อยพันตลบ
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ครุ่นคิดตาม เขากลั้นยิ้ม เอ่ยว่า “วางใจเถอะ แม่นางที่เจ้าชอบไม่มีทางโลเลหันไปชอบชุยตงซานได้หรอก อีกอย่างชุยตงซานเองก็ไม่มีทางเห็นแม่นางที่เจ้ารักอยู่ในสายตา”
ผังหลันซีหน้าแดงก่ำ พูดอย่างเดือดดาลว่า “ท่านเฉิน ข้าจะโกรธแล้วนะ อะไรที่บอกว่าชุยตงซานไม่มีทางเห็นนางอยู่ในสายตา?!”
เหตุใดท่านเฉินถึงพูดจาไม่เข้าหูอย่างนี้นะ!
เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา
เฉินผิงอันกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
ผังหลันซีคิดแล้วก็เกาหัว รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
ปมในใจนั้นก็หายไปด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ ส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มยังมีความขุ่นเคืองอยู่อีกเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองจะต้องฝึกตนให้ดีๆ จะต้องให้แม่นางของตัวเองรู้สึกว่าการที่นางชอบตนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว นางไม่ได้มองคนผิด และจะไม่มีทางเสียใจไปตลอดชีวิต
เฉินผิงอันถึงได้กล่าวว่า “แม่นางคนนั้นชอบเจ้า ไม่ใช่เพราะเจ้าผังหลันซีคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน แต่หากเจ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่แท้จริง ถ้าอย่างนั้นแม่นางที่เจ้าชื่นชอบก็จะยิ่งดีใจ ดีใจแทนเจ้า และตัวนางเองก็ดีใจด้วย”
ผังหลันซีถามเสียงเบา “เป็นแบบนี้หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นแบบนี้แหละ เรื่องนี้ข้ามั่นใจยิ่งกว่าอะไร”
ผังหลันซีฟุบตัวลงบนโต๊ะ สายตาเหม่อลอย
เฉินผิงอันเปิดกล่องไม้ หยิบเอาภาพเทพหญิงม้วนหนึ่งมาคลี่ลงบนโต๊ะ ไล่สายตามองอย่างละเอียด ไม่เสียทีที่เป็นผลงานแห่งความภาคภูมิใจของผังซานหลิ่ง
ผังหลันซีพลันถามขึ้นว่า “ท่านเฉิน คงจะมีสตรีมากมายมาชื่นชอบท่านกระมัง?”
เฉินผิงอันเก็บภาพเทพหญิงมาช้าๆ ส่ายหน้าตอบ “ไม่มีสักหน่อย”
ผังหลันซีก็ส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อ”
เฉินผิงอันเปิดจดหมายของสวีซิ่งจิ่ว เนื้อความในจดหมายกระชับเรียบง่าย บอกเล่าสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาของนครเหนือเมฆให้ฟัง แล้วก็บอกว่าตัวเองได้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว แค่รอให้ท่านหลิวถามกระบี่สำเร็จ เขาก็จะไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยอีกครั้ง ครั้งนี้จะเป็นการลงเขาไปฝึกประสบการณ์ด้วย ขึ้นเหนือไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุย ลงใต้มาถึงชายหาดโครงกระดูก
เฉินผิงอันอ่านจดหมายแล้วก็เอ่ยว่า “ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง ก็คือคนที่เขียนจดหมายนี่ สวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆ วันหน้าเขาอาจจะมาท่องเที่ยวที่นี่ หากตอนนั้นเจ้าว่างก็ช่วยข้ารับรองเขาสักหน่อย แต่หากยุ่งก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งสมาธิมาสนใจ นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่เอ่ยตามมารยาทอะไร ไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนของข้าแล้วจะต้องเป็นเพื่อนของเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเอง”
ผังหลันซีพยักหน้าตอบรับ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะส่งจดหมายไปที่นครเหนือเมฆ นัดหมายกับเขาให้เรียบร้อยก่อน จะได้เป็นสหายกันหรือไม่ ถึงเวลานั้นพบหน้ากันแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!