เฉินผิงอันเอ่ย “ก่อนจะเดินทางไปอุตรกุรุทวีป อันที่จริงสามารถไปที่แม่น้ำอวี้เจียงก่อนได้ ไปเพื่อบอกลา อะไรที่ควรดื่มก็ดื่ม อะไรที่ควรกินก็กิน แต่อย่าบอกว่าตัวเองจะเดินลงน้ำ แค่บอกไปว่าตัวเองต้องออกจากบ้านเดินทางไกลเท่านั้น การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ว่าจะต้องบอกความจริงไม่มีปิดบังไปเสียทุกเรื่อง แต่เป็นการที่ไม่สร้างปัญหาให้กับผู้อื่น และยังช่วยคนอื่นแก้ไขปัญหาบางอย่างเท่าที่ตัวเองมีความสามารถ โดยที่ไม่ต้องการให้คนอื่นคอยเอ่ยคำขอบคุณต่อเจ้า”
เฉินหลิงจวินเก็บกระดาษพู่กันลงไป ฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะ พูดด้วยสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย “เมื่อก่อนข้าไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ สนแต่เรื่องดื่มเหล้ากินเนื้อ คุยโวเสียงดังอย่างเดียวเท่านั้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วิถีทางโลกไม่เคยทำให้พวกเราประหยัดแรงกายแรงใจได้หรอก คิดให้มากก็ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร”
เฉินหลิงจวินลังเลอยู่นาน เขาถึงขั้นไม่กล้ามองสบตาเฉินผิงอัน ได้แต่เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “หากข้าบอกว่าอันที่จริงตัวข้าเองไม่ได้อยากเดินลงน้ำ ไม่ได้อยากไปอุตรกุรุทวีปอะไรนั่น แค่อยากจะนั่งกินนอนกินรอความตายอยู่บนภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น ท่านจะโกรธมากหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มไม่เอ่ยอะไร ราวกับว่าเขารู้คำตอบนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เฉินหลิงจวินจึงเงียบเสียงลงไป ไม่กล้าเงยหน้ามองสบตาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเปิดปากพูดว่า “ไม่โกรธ”
เฉินหลิงจวินพลันขยับนั่งตัวตรง พูดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “จริงหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตั้งแต่แรกข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าเพราะเรื่องการเดินลงน้ำเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า แล้วเจ้าเฉินหลิงจวินจะต้องรีบเร่งออกเดินทาง ไม่กล้ามีปากมีเสียง เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไปเดินลงน้ำทันที ข้าถึงขั้นคิดว่าหากเจ้ายังไม่รู้สึกว่าตัวเองอยากเดินลงน้ำจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเลย ลำน้ำจี้ตู๋สายนั้นก็หนีไปไหนไม่ได้เสียหน่อย ในความเป็นจริงแล้ว มีเพียงวันใดที่เจ้าคิดจนเข้าใจกระจ่างอย่างแท้จริงแล้วค่อยเดินลงลำน้ำจี้ตู๋ เทียบกับความมึนๆ งงๆ แค่ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้จบๆ ไปในตอนนี้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จกลับมีมากกว่า แต่จะว่าไปแล้วการเดินลงน้ำคือเส้นทางที่เจ้าเฉินหลิงจวินจำเป็นต้องเดิน ยากที่จะอ้อมผ่านไปได้ ตอนนี้เตรียมพร้อมไว้ให้มาก ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
เฉินผิงอันชะงักไปครู่ก็เอ่ยอีกว่า “บางทีพูดอย่างนี้เจ้าอาจจะรู้สึกบาดหู แต่ข้าก็ควรจะบอกความคิดที่แท้จริงของตัวเองแก่เจ้า ก็เหมือนอย่างที่ชุยตงซานพูด เผ่าพันธุ์เจียวหลงบนโลกมีอยู่ในหนองบึงทะเลสาบมากมาย แต่กลับไม่ใช่ทุกตัวที่จะมีโอกาสเดินจากลำน้ำใหญ่สู่มหานที ดังนั้นหากเจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้จะถ่วงเวลาให้ล่าช้าไม่ได้ แต่แค่เพราะเกียจคร้านตามความเคยชิน เลยไม่ยินดีจะขยับย้ายถิ่นไปเจอกับความลำบาก ข้าจะโกรธมาก แต่หากเจ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่นับเป็นอะไรได้เลย ไม่เดินลงลำน้ำใหญ่แล้วอย่างไร ข้าเฉินหลิงจวินก็ยังคงมีมหามรรคาของตัวเองให้ก้าวเดิน หรือไม่ก็รู้สึกว่าข้าเฉินหลิงจวินชอบที่จะอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้อยู่ไปทั้งชีวิตก็ยินดี ถ้าอย่างนั้นนายท่านของเจ้าก็ดี เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วก็ช่าง จะไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย”
เฉินหลิงจวินยิ้มกล่าว “เข้าใจแล้ว”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ทุกครั้งที่เฉินหรูชูเข้ามาซื้อของในเมืองแล้วเจ้าคอยช่วยคุ้มครองนางอย่างลับๆ ข้าดีใจมาก เพราะนี่ก็คือความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง”
เฉินหลิงจวินอับอายเล็กน้อย “ข้าก็แค่มาเดินเล่นเท่านั้นเอง! ใครเป็นคนปากมากมาบอกนายท่าน คอยดูเถอะข้าจะตบปากเขาให้…”
ชุยตงซานที่อยู่นอกประตูพูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ข้าเอง”
เฉินหลิงจวินอึ้งงันเป็นไก่ไม้
แล้วเขาก็วิ่งเหยาะๆ ไปเปิดประตู เดินเบามือเบาเท้าไปอยู่ด้านหลังชุยตงซาน บีบนวดไหล่ให้เขาพลางถามเสียงเบา “พี่ชุย ทนนั่งอย่างยากลำบากมาทั้งคืนแล้ว ปวดเมื่อยตรงไหนจะต้องบอกน้องชายนะ พวกเราเป็นคนกันเองที่รักใคร่สนิทสนมกันดี เกรงใจกันเกินไปก็ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย! น้ำหนักมือของน้องชายตอนนี้เบาหรือว่าหนักไปไหม?”
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูออกมาถีบเข้าที่ก้นของเฉินหลิงจวิน ด่าขำๆ ว่า “ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่ว เจ้าก็มีส่วนด้วย!”
……
ร้านฉ่าวโถวที่อยู่ข้างกันในตรอกฉีหลงก็เปิดทำการแล้วเหมือนกัน
คนที่มาเปิดร้านคือเด็กสาวที่มีชื่อเล่นว่าจิ่วเอ๋อร์คนนั้น
เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยทักทาย “จิ่วเอ๋อร์ อาจารย์และศิษย์พี่ของเจ้าล่ะ?”
เด็กสาวรีบยอบตัวคารวะ กล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงระคนยินดี “เจ้าขุนเขาเฉิน”
จากนั้นนางก็พูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “อาจารย์คอยดูแลร้านมาโดยตลอด อายุก็มากแล้ว ก็เลยตื่นสายไปสักหน่อย วันนี้ข้าเลยเป็นคนมาเปิดร้าน เมื่อก่อนไม่ได้เป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ไปเก็บสมุนไพรบนภูเขามาหลายวันแล้ว คาดว่าคงช้าหน่อยกว่าจะกลับมาถึงตรอกฉีหลง”
จิ่วเอ๋อร์เตรียมจะไปเรียกอาจารย์ เพราะถึงอย่างไรเจ้าขุนเขาก็มาเยือนด้วยตัวเอง ต่อให้จะถูกอาจารย์ดุด่าก็ควรจะต้องไปรายงานสักคำ
เฉินผิงอันห้ามจิ่วเอ๋อร์เอาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “อย่าไปรบกวนการพักผ่อนของท่านนักพรตเลย ข้าก็แค่ผ่านทางมาเลยแวะมาดูพวกเจ้าเท่านั้น”
จิ่วเอ๋อร์รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “เจ้าขุนเขาเฉิน กิจการของร้านไม่ถือว่าดีสักเท่าไร”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่เป็นไร อันที่จริงกิจการของร้านฉ่าวโถวแห่งนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว พวกเจ้าก็พยายามกันต่อไป หากมีเรื่องก็ไปที่ภูเขาลั่วพั่ว อย่าได้รู้สึกเกรงใจเป็นอันขาด ประโยคนี้ เดี๋ยวจิ่วเอ๋อร์เจ้าจะต้องช่วยข้านำไปบอกแก่ท่านผู้เฒ่าด้วย ท่านนักพรตเป็นคนมีคุณธรรม ต่อให้มีเรื่องจริงๆ ก็ชอบจะแบกรับไว้คนเดียว อันที่จริงแบบนี้ไม่ดีเลย คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน ใช่แล้ว ข้าคงไม่เข้าไปนั่งในร้านแล้ว ยังมีธุระให้ต้องไปทำอีก”
จิ่วเอ๋อร์ที่เพิ่งจะเปิดประตูร้านเอามือสองข้างเอื้อมไปด้านหลัง แล้วถูมือเข้าด้วยกัน พูดเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขาเฉินจะไม่เข้าไปดื่มชาสักถ้วยจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันโบกมือยิ้ม “ไม่ดื่มแล้วจริงๆ เหลือค้างไว้ก่อนก็แล้วกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!