กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 569

สรุปบท บทที่ 569.1 ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 569.1 ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 569.1 ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ชุยตงซานนั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวเล็กด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว ยื่นมือสองข้างออกมา ข้างหนึ่งอ้อมข้ามศีรษะ อีกมือหนึ่งวางไว้ตรงหัวเข่า “ฉีจิ้งชุนใช้สิ่งนี้มาปกป้องมรรคา แล้วอย่างไร? ตอนนี้อาจารย์ก็ยังอยู่ในจุดต่ำ ระหว่างความต่ำสูงนี้มีเรื่องไม่คาดฝันห้อมล้อมมากมาย ตู้เม่าก็คือตัวอย่างหนึ่งในนั้น”

กล่าวมาถึงตรงนี้ก็เหมือนชุยตงซานจะนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ จึงเบ้ปากพูดว่า “เอาเถอะ ไม่นับตู้เม่า ฉีจิ้งชุนก็ยังถือว่าพอจะมีกลยุทธในการรับมืออยู่บ้าง แต่หากขยับลงไปอีกหน่อย ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่ต่ำกว่าขอบเขตบินทะยานอย่างขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหริน หรือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด หากอาจารย์ต้องเข่นฆ่ากับพวกเขา จะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมา ยิ้มกล่าวว่า “นี่มันคำพูดไร้แก่นสารอะไรกัน บนเส้นทางของการเดินขึ้นเขา ผู้ฝึกตนใต้หล้านี้ต่างก็ต้องรับมือกับเรื่องไม่คาดฝันและหมื่นหนึ่งอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรือ? หลักการเหตุผลที่สุดโต่งไม่ถือว่าเป็นหลักการเหตุผล ข้อนี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ? นิสัยแย่ๆ ที่แพ้แล้วพาลไม่ยอมแพ้ของเจ้า ต้องเปลี่ยนได้แล้ว”

ชุยตงซานกล่าว “ในใจยอมรับว่าแพ้ แต่ปากไม่ยอมรับ แค่นี้ก็ไม่ได้หรือ?”

เฉินผิงอันเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยต่อคำ

ชุยตงซานเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืนมา เอ่ยว่า “รู้เร็วขนาดนี้ ไม่ดี”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้ารู้”

ชุยตงซานยกสองมือเกาหัว พูดอย่างอัดอั้นว่า “นับแต่โบราณมาคนคำนวณล้วนไม่สู้ฟ้าลิขิต คำพูดประโยคนี้สามารถข่มขู่ให้คนบนยอดเขาตกใจกลัวได้มากที่สุด ใช้ความไม่ตั้งใจเล่นงานคนตั้งใจ นั่นต่างหากถึงจะมีโอกาสชนะ อาจารย์ไม่รู้หรือว่า ในอดีตที่ท่านสามารถเอาชนะลู่เฉินมาได้ ถือเป็นความโชคดีที่บังเอิญมากแค่ไหน? ตอนนี้หากลู่เฉินคิดจะเล่นงานอาจารย์อีกครั้ง แค่แบ่งสมาธิมาหน่อย ยอมทำตัวหน้าไม่อาย วางแผนที่รอบคอบรัดกุมเล่นงานอาจารย์ อาจารย์ก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”

ชุยตงซานหยุดมือที่เกาหัวยิกๆ ของตัวเอง เพิ่มน้ำหนักเสียงพูดว่า “แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็คงใช่กระมัง”

ชุยตงซานถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน

ทุกครั้งที่เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน ก็ล้วนถือเป็นการสร้างศัตรูให้ตัวเองทั้งสิ้น

จะเรียกว่าทำตัวเป็นศัตรูกับโลกก็ยังได้

ต้นหญ้าบนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ กลับกลายเป็นว่าต้านรับแรงลมไม่หักโค่นงอได้มากกว่าต้นไม้สูง

เฉินผิงอันกลับมานั่งลงบนม้านั่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ คนเราจะเอาแต่หาเรื่องมาขู่ให้ตัวเองตกใจกลัวไม่ได้ ตลอดหลายปีในตรอกหนีผิง ข้าก็ยังเดินผ่านมาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้ยิ่งเดินแล้วยิ่งขี้ขลาด วิชาหมัดไม่อาจฝึกอย่างเสียเปล่า คนเราก็ไม่ควรมีชีวิตอย่างเสียเปล่าเช่นกัน”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “อาจารย์คิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ เดินก้าวหนึ่งก็คิดกันไปก้าวหนึ่ง แล้วก็ทำได้แค่นี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟาก เจ้ายอมให้ข้าสิบสองเม็ดก็ยังกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงไปอีกสิบปีให้หลัง? แล้วหากข้ามีชีวิตอยู่ได้ร้อยปีเล่า?”

ชุยตงซานพูดเสียงแผ่ว “หากกระดานหมากยังมีสิบเก้าช่อง ศิษย์ไม่กล้าพูดว่าอีกหลายสิบปีให้หลังจะยังสามารถยอมให้อาจารย์สิบสองเม็ด แต่หากกระดานหมากใหญ่ขึ้นอีกนิด…”

สายตาของเฉินผิงอันจ้องมองไปเบื้องหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หุบปาก!”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ยามที่อาจารย์ไร้เหตุผลนั้นมีมาดองอาจเป็นที่สุด!”

เขาที่เป็นลูกศิษย์จะคอยตั้งตารอดู

คอยดูด้วยความคาดหวังอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันบอกว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย แล้วก็ไม่ได้สนใจชุยตงซานอีก

ชุยตงซานจึงนั่งต่ออยู่ในบ้านบรรพบุรุษหลังนี้ จ้องมองวงกลมเล็กใหญ่สองวงบนพื้น ไม่ได้พยายามใคร่ครวญหาความหมายที่ลึกซึ้งของพวกมัน แต่เป็นเพราะความเบื่อล้วนๆ

หากพูดถึงแค่ความรู้นับพันนับหมื่นบนโลก ความรู้ที่สามารถทำให้ชุยตงซานครุ่นคิดถึงจุดที่เล็กละเอียดยิบย่อยของพวกมันได้ มีอยู่ไม่เยอะ

เฉินผิงอันไปที่หลุมฝังศพของพ่อแม่ เขาเผากระดาษจำนวนมาก กระดานส่วนหนึ่งในนั้นก็คือกระดาษที่ซื้อมาจากถ้ำสวรรค์วังมังกร จากนั้นก็นั่งลงเติมดิน

ชุยตงซานเขย่งปลายเท้าพาดตัวไปบนหัวกำแพง มองไปยังด้านในของเรือนที่อยู่ติดกัน ลมและน้ำของตรอกเส้นนี้ช่างดีจริงๆ

ซ่งจี๋ซินกลายเป็นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลี ส่วนจื้อกุยผู้นั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าล้วนเป็นบ้านของนาง ตระกูลฝูก็คือบ่าวไพร่ที่เฝ้าบ้านให้นาง

ชุยตงซานปีนขึ้นไปบนหัวกำแพง กระโดดอยู่สองที เศษฝุ่นก็ร่วงลงมาระนาว

เฉาซีเซียนกระบี่ได้ออกจากอุตรกุรุทวีปกลับไปยังทักษิณาตยทวีปแล้ว เพราะถึงอย่างไรหอพิทักษ์เมืองแห่งนั้นก็จำเป็นต้องมีคนคอยควบคุมสถานการณ์ จึงทิ้งเฉาจวิ้นที่พบเจออุปสรรคเล็กๆ บนเส้นทางการฝึกตนผู้นั้นให้ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในกองทัพต้าหลีเอาเอง

เกี่ยวกับเรื่องของผีสาวสวมชุดแต่งงาน อันที่จริงไม่ใช่ว่าอาจารย์จะไม่มีคำตอบให้

ก็แค่เขาชุยตงซานแสร้งพูดให้เรื่องราวฟังดูซับซ้อน นี่ก็เพื่อหวังยืนยันเรื่องหนึ่งให้แน่ใจว่าตอนนี้อาจารย์โน้มเอียงเข้าหาความรู้ประเภทไหนกันแน่

ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ต่างจากการยกหินทุ่มเท้าตัวเอง ตอนนี้ชุยตงซานจึงรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่มาก

ชุยตงซานยื่นมือสองข้างออกมา กางนิ้วทั้งสิบ สะบัดข้อมือ

หากไม่มีเรื่องนี้ อันที่จริงชุยตงซานยังอยากจะคุย ‘เรื่องเล็ก’ อีกเรื่องหนึ่งกับอาจารย์ ความรู้ที่จำเป็นต้องใช้เส้นใยเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนถักทอขึ้นมา

แน่นอนว่าชุยตงซานย่อมไม่มีทางถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดของตัวเองไปให้กับผู้อื่น แต่จะเลือกแค่บาง ‘ช่วงตอน’ ที่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนเท่านั้น

การสร้างคนกระเบื้อง

เศษกระเบื้องแตกพังหนึ่งกองจะเอามาประกอบกันเป็นคนที่แท้จริงคนหนึ่งได้อย่างไร สามจิตหกวิญญาณ เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างไร

รากฐานของความรู้นี้กำลังถักทออยู่

ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าการกระทำนี้ต้องใช้ต้นทุนสูงเกินไป ความรู้ลึกล้ำเกินไป ธรณีประตูสูงเกินไป แม้แต่ชุยตงซานเองก็ยังหาวิธีที่จะฝ่าสถานการณ์นี้ออกไปไม่ได้

หากทำสำเร็จ ความกังวลซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ใหญ่ที่สุดของใต้หล้าไพศาล การยกทัพบุกเข้ามารุกรานของเผ่าปีศาจ รวมถึงศัตรูคู่แค้นที่ใต้หล้ามืดสลัวจำเป็นต้องสร้างป๋ายอวี้จิงขึ้นมาต้านทาน ล้วนยากที่จะหนีพ้นจุดจบของการดับสูญอย่างสิ้นเชิงไปได้

หากว่ากันตามความหมายบางประการ การปรากฏตัวของมนุษย์ ก็คือ ‘คนกระเบื้อง’ ในช่วงแรกเริ่มสุดนั่นเอง ก็แค่วัสดุต่างกันเท่านั้น

และชุยตงซานเองก็หวังว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่ง ในช่วงเวลาที่งานใหญ่ของเขากำลังจะประสบความสำเร็จ คนที่สามารถทำให้ตนเชื่อและศรัทธาได้อย่างสุดจิตสุดใจ จะสามารถบอกกับเขาได้ว่าการเลือกของเขาผิดหรือถูกกันแน่ ไม่เพียงเท่านี้ ยังต้องอธิบายอย่างชัดเจนว่าถูกที่ตรงไหน หรือผิดที่ตรงใด จากนั้นเขาชุยตงซานก็จะสามารถทุ่มเททำงานได้อย่างเต็มที่ แม้จะตายก็ไม่เสียดายอีกแล้ว

ไม่เหมือนกับซิ่วไฉเฒ่าที่ในปีนั้นบอกเพียงแค่ผลลัพธ์ ไม่บอกว่าเพราะอะไร

……

เจ้าถ่านดำน้อยผู้นี้ตัวสูงเร็วจริงๆ

เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเว่ยเซี่ยน แล้วเดินอาดๆ วนรอบกายเว่ยเซี่ยนเป็นวงใหญ่ “โอ้โห ดำเป็นถ่านยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”

เว่ยเซี่ยนตีหน้าเคร่ง “บังอาจ”

เผยเฉียนพูดอย่างเดือดดาล “ทำไม! จะวางมาดใส่ข้าอีกแล้วใช่ไหม? หลอกผีน่ะสิเจ้า ที่บ้านเจ้ามีไม้คานสีทองกะผายลมน่ะสิ”

เว่ยเซี่ยนเอ่ย “ตอนนี้ข้าเป็นอู่ซวนหลางของต้าหลี แล้วยังเป็นขุนนางใหญ่อีกด้วย”

เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนมีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรมในชนบท แต่มามีชื่อเสียงได้ดิบได้ดีในกองทัพบนสนามรบ

เผยเฉียนยกนิ้วโป้งชี้ไปยังโจวหมี่ลี่ที่แบกไม้เท้าเดินป่าสองอันยืนอยู่ด้านข้าง “ใหญ่แค่ไหน? ใหญ่เท่านางไหม?”

เว่ยเซี่ยนไม่รู้ว่าเผยเฉียนอมพะนำเรื่องอะไรอยู่ “มีเรื่องเล่ารึ?”

เผยเฉียนตะโกนเรียก “โจวหมี่ลี่!”

แม่นางน้อยชุดดำกระทืบเท้า ยืดอกตั้ง “อยู่นี่!”

เผยเฉียนแค่นเสียงเย็นในลำคอ “บอกมา เจ้าชื่ออะไร!”

โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้วแน่น เขย่งปลายเท้ากระซิบเสียงเบาอยู่ข้างหูเผยเฉียน “เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกชื่อของข้าไปแล้ว ข้าควรจะเรียกตัวเองว่าภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้หรือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วดีล่ะ?”

เผยเฉียนถอนหายใจ เจ้าฟักน้อยนี่อย่างอื่นล้วนดีหมด เพียงแค่โง่ไปหน่อยเท่านั้น

เว่ยเซี่ยนยิ้มพลางยื่นมือออกมาหมายจะลูบหัวของแม่นางน้อยถ่านดำ คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะก้มหัวค้อมตัวขยับหนึ่งก้าวหลบพ้นมาได้อย่างง่ายๆ เผยเฉียนจุ๊ปากพูด “เหล่าเว่ยเอ๋ย เจ้าแก่แล้วนะ หนวดเคราเต็มหน้าแบบนี้จะหาเมียได้อย่างไร ยังเป็นโสดอยู่สินะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องเสียใจไป ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราในทุกวันนี้ อย่างอื่นมีไม่มาก แต่คนที่หาเมียไม่ได้อย่างเจ้านี่แหละที่มีมากที่สุด เว่ยป้อที่เป็นเพื่อนบ้านเอย พ่อครัวเฒ่าจูเอย เจิ้งต้าเฟิงที่ตีนเขาเอย เสี่ยวป๋ายที่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่เอย เหล่าซ่งบนยอดเขาเอย หยวนไหลเอย แต่ละคนน่าสงสารนัก”

เว่ยเซี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าเองก็ยังไม่มีอาจารย์แม่เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

เผยเฉียนกระตุกมุมปาก หัวเราะเฮอะๆๆ ติดกันสามที

โจวหมี่ลี่ก็เฮอะๆๆ ตามไปด้วย

เฉินผิงอันที่เพิ่งทักทายหลูป๋ายเซี่ยงและหลิวจ้งรุ่นเสร็จหันมาเขกมะเหงกใส่สองศีรษะน้อยๆ ไปคนละที

เผยเฉียนเคยชินเสียแล้ว แต่โจวหมี่ลี่ที่เคยยืนอยู่ในหีบไม้ไผ่ใบใหญ่เขกมะเหงกให้เฉินผิงอันกินจนอิ่มกลับเตรียมจะอ้าปากกัดเฉินผิงอัน ผลกลับถูกเฉินผิงอันกดหัวเอาไว้ แล้วโจวหมี่ลี่เตรียมจะแสดงอำนาจบารมีก็ได้ยินเผยเฉียนกระแอมหนักๆ หนึ่งที นางพลันหยุดนิ่งไม่ขยับทันที

หลิวจ้งรุ่นมียันต์กระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างอยู่แผ่นหนึ่ง จึงทะยานลมจากไปโดยตรง

ตำหนักวารีสมบัติหนักที่ถูกเซียนหลอมกลางมาแล้ว ตอนนี้ยังถูกซ่อนไว้บนเรือมังกร วันหน้าหลูป๋ายเซี่ยงจะขอให้ซานจวินเว่ยป้อร่ายวิชาอภินิหารส่งตรงไปที่ภูเขาหลังอ๋าว ไม่อย่างนั้นตำหนักวารีที่ใหญ่เหมือนรถม้าคันหนึ่ง อีกทั้งนางเองก็ไม่มีวัตถุจื่อชื่อในตำนานติดกาย ไม่ใช่ว่าไม่สามารถร่ายวิชาน้ำเคลื่อนย้ายตำหนักวารีได้ แต่จะสะดุดตาเกินไป ท่าเรือมีคนมากมายสายตาก็มากตามไปด้วย หลิวจ้งรุ่นทำอย่างนี้ก็เพื่อป้องกันไว้ก่อน นางไม่อยากให้มีปัญหาแทรกซ้อนจริงๆ

ส่วนเรือมังกรที่มีชื่อว่า ‘ฟานโม่’ (หมึกที่หกพลิกคว่ำหรือเมฆดำที่ทับซ้อนกันหนาชั้น) ลำนั้น แน่นอนว่าต้องกลายเป็นทรัพย์สินของภูเขาลั่วพั่ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาหนิวเจี่ยวทั้งลูกมีเฉินผิงอันและเว่ยป้อเป็นผู้ร่วมครอบครอง การมาจอดที่นี่ก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!