กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 570

อย่างแรกคือภาพเหมือนสามภาพที่แขวนอยู่ในศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว

นี่หมายความว่าภูเขาลั่วพั่วมาจากไหน

วันนั้นเป็นครั้งแรกที่หลิวจ้งรุ่นได้รู้ความจริง ขณะเดียวกันก็ได้เข้าใจว่าที่แท้ชื่อของภูเขาลั่วพั่วก็มีความหมายลึกซึ้งถึงเพียงนี้

เรื่องที่สองก็คือตอนนั้นในศาลบรรพจารย์ที่ไม่ใหญ่ มีบรรยากาศแห่งหนึ่งที่ไร้เสียงแต่กลับดังก้องยิ่งกว่าตอนมีเสียงเสียอีก

คนหนุ่มสวมชุดเขียวปักปิ่นหยกบนมวยผมคนนั้นยืนโดดเดี่ยวอยู่ด้านหน้าสุดเพียงลำพัง

ทุกคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะมีขอบเขตอะไร มีชาติกำเนิดแบบใด มีนิสัยแบบใด ผู้สืบทอดก็ดี ผู้ถวายงานก็ช่าง ทุกคนล้วนแสดงความเคารพอย่างถึงที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉินผิงอันประกาศชื่อโจวหมี่ลี่ให้มีหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ขุนเขา หลิวจ้งรุ่นที่เป็นผู้เข้าร่วมพิธีสังเกตและรับสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทางสีหน้าของทุกคนอย่างละเอียด

ไม่ใช่คำว่าดูเหมือนอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนที่ไม่มีใครรู้สึกว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มกำลังทำเรื่องตลกน่าขัน

พอหลิวจ้งรุ่นคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็เริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก นางต้องเดินออกมาจากห้อง มาเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน

แหงนหน้ามองไปทางฝั่งภูเขาลั่วพั่ว อารมณ์ของหลิวจ้งรุ่นซับซ้อนยิ่ง

……

สำนักศึกษาซานหยา

หลังจากเลิกเรียน หลี่ไหวก็ค้นพบว่าพี่สาวของตนมายืนอยู่นอกหอพักนักเรียน

เรือนกายสูงโปร่งสะโอดสะอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า พี่สาวของตนหน้าตางดงามใช้ได้เลย

หลี่ไหวยิ้มกล่าว “ท่านพี่ วันนี้ได้เจอกับหลินโส่วอี เขาเพิ่งบ่นถึงท่านอยู่พอดี ท่านก็มาแล้ว”

หลี่หลิ่วมองน้องชายที่ตัวสูงกว่าตนเองไปเล็กน้อยแล้ว แล้วยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ได้รับจดหมายจากทางบ้าน ท่านแม่ได้ยินว่าเจ้าเรียนหนัก เป็นห่วงเจ้ามาก ก็เลยยืนกรานให้ข้ามาพบหน้าเจ้าให้ได้”

หลี่ไหวเปิดห้องพัก รินน้ำชาให้หลี่หลิ่วหนึ่งถ้วย พูดอย่างจนใจว่า “ข้าก็แค่บ่นไปตามประสาไม่กี่คำ ท่านแม่ไม่รู้ แต่ท่านจะยังไม่รู้ด้วยหรือ สำหรับข้าแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่เรียนหนังสือในโรงเรียน มีวันใดบ้างที่ไม่เรียนหนัก?”

หลี่หลิ่วปลดห่อสัมภาระวางลงบนโต๊ะ นั่งลงด้านข้าง พยักหน้าเอ่ยว่า “อย่างเดียวที่ไม่เหมือนก็คือโตแล้ว”

หลี่ไหวกลอกตามองบน “ข้าก็ไม่ได้อยากโตสักเท่าไรหรอก เหมือนเผยเฉียนอย่างไรล่ะ กินข้าวแค่ไหนก็ตัวไม่โตสักที ข้าเรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง เหนื่อยก็เหนื่อยจริงหรอก เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ออกเดินทางไกลไปพร้อมกับพวกอาจารย์ จะต้องเดินทางหลายพันลี้ เท้าน่ะเหนื่อย แต่ใจไม่เคยเหนื่อยเลยจริงๆ อันที่จริงเมื่อเทียบกับการศึกษาหาความรู้อย่างยากลำบากอยู่ในโรงเรียนแล้ว กลับสบายมากกว่า เพราะฉะนั้นข้าจึงเหมาะจะเป็นจอมยุทธใหญ่ในยุทธภพมากกว่า หากเอาแต่เรียนหนังสือ ชั่วชีวิตนี้ข้าคงไม่มีวันได้ดิบได้ดีหรอก”

หลี่หลิ่วตบห่อสัมภาระ “ของบางอย่างด้านในนี้ เจ้าจงเก็บรักษาไว้ให้ดี วันหน้าหากขาดเงินก็สามารถให้เจ้าขุนเขาเหมาช่วยเอาไปขายแลกเงินให้เจ้าได้”

“พูดล้อเล่นอะไร ข้าหรือจะกล้าไปหาเจ้าขุนเขาเหมา มีแต่จะหลบเลี่ยงเขาผู้อาวุโสน่ะสิไม่ว่า”

หลี่ไหวฟุบตัวลงบนโต๊ะ เปิดห่อสัมภาระออก เลือกๆ หยิบๆ พลางบ่นไปด้วยว่า “ข้าก็ว่าแล้วเชียว ท่านพี่ไปเป็นสาวใช้ให้เซียนซือผู้เฒ่าอยู่บนยอดเขาสิงโตได้แค่ไม่กี่ปีเอง จะต้องไม่มีทางเก็บสะสมของดีอะไรมาได้แน่นอน เห็นไหมล่ะ ไม่มีสมบัติตระกูลเซียนที่แสงศักดิ์สิทธิ์เรืองรองเลยสักชิ้น เทียบกับพวกของที่เฉินผิงอันให้ข้าแล้วก็ห่างชั้นกันไกลโขเลย ท่านพี่ ท่านพยายามเข้าสิ ตั้งใจฝึกตนให้ดี เป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางถ้ำสถิตให้เร็วสักหน่อย ท่านไม่รู้อะไร ตอนนี้หลินโส่วอีมีหน้ามีตานักล่ะ สตรีในเมืองหลวงต้าสุยแทบจะแย่งชิงเขาจนหัวร้างข้างแตกแล้ว”

หลี่หลิ่วแย้มยิ้ม ไม่ได้ต่อปากต่อคำ

สิ่งของด้านในห่อสัมภาระ แน่นอนว่าเป็นเพราะยังไม่เปิดผนึกวิชาลับ ถึงได้ดูหม่นหมองไร้สีสัน นี่ก็เพราะนางกลัวว่าหากทางสำนักศึกษาและเหมาเสี่ยวตงไม่ทันระวัง จะปกปิดรัศมีของพวกมันเอาไว้ไม่อยู่

หลี่ไหวถอนหายใจ ส่ายหน้า วางของที่อยู่ในมือลง ผูกปมห่อสัมภาระใหม่อีกครั้ง เขาคงช่วยหลินโส่วอีได้แค่เท่านี้แล้ว

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลินโส่วอีถึงดึงดันจะชอบหลี่หลิ่วพี่สาวของเขา หลี่ไหวคิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจ ต่งสุ่ยจิ่งชอบพี่สาวเขาก็ยังพอทำเนา เปิดร้านขายเกี๊ยวน้ำอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนก็ยังถือว่าฐานะเหมาะสมกับครอบครัวของตน แต่ตอนนี้เจ้าหลินโส่วอีเป็นถึงหยกงามด้านการฝึกตนที่มีชื่อเสียงไปทั่วต้าสุยแล้ว พี่สาวข้ามีดีอะไรนักหนา ต้องคิดถึงพะวงหายาวนานขนาดนี้ด้วยหรือ?

หลี่ไหวยกห่อสัมภาระขึ้นมา โอ้ หนักมากเลยนะนี่

จากนั้นหลี่ไหวก็มองพี่สาวที่ใช้สองมือยกถ้วยดื่มชาช้าๆ ก่อนอดไม่ไหวพูดด้วยความหวังดีว่า “ท่านพี่ วันนี้ข้าไม่พูดอะไรมากแล้ว ถึงอย่างไรท่านก็ยังไม่ออกเรือน คนครอบครัวเดียวกัน มอบของให้กันไปให้กันมา เงินก็หมุนวนอยู่ในบ้านตัวเองนี่แหละ แต่วันหน้าหากท่านออกเรือนไปก็อย่าได้มอบของให้ข้าแบบนี้อีก เดิมทีฝึกตนอยู่บนภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างท่านได้ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาสิงโตก็เพราะใช้เส้นสายทางเครือญาติ อยู่บนภูเขาต้องถูกคนซุบซิบนินทาอย่างแน่นอน ท่านเก็บเงินไว้ให้ตัวเองมากๆ เถอะ อันที่จริงขอแค่ช่วยเหลือร้านท่านพ่อท่านแม่ได้บ้างก็ถือว่าพอสมควรแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราก็ใช่ว่าจะเห็นแก่เรื่องพวกนี้เสียหน่อย หากท่านแม่พูดอะไร ท่านก็ผลักเรื่องมาที่ข้า ข้าไม่ได้จะตำหนิท่านหรอกนะ แต่ท่านอายุก็ไม่น้อยแล้ว ใกล้จะกลายเป็นหญิงแก่อยู่รอมร่อ ควรจะคิดเรื่องการแต่งงานของตัวเองบ้างได้แล้ว สินเดิมมีมากหน่อย ทางฝั่งแม่สามีจะได้ทำสีหน้าดีๆ ให้เห็นบ้าง”

หลี่หลิ่วยิ้มตาหยี “ดูท่าจะโตแล้วจริงๆ ถึงได้รู้จักคิดเพื่อพี่สาวแล้ว”

หลี่ไหวนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาว เทถั่วเหลืองลงในจานแล้วผลักไปให้พี่สาว ตัวเองคว้าถั่วกำหนึ่งมาไว้ในมือ ปากเคี้ยวถั่วเหลืองพลางยิ้มพูดไปด้วยว่า “ท่านพี่ ประโยคนี้ของท่านไร้มโนธรรมแล้วนะ นับตั้งแต่เด็กข้าทุ่มเทแรงใจให้ท่านน้อยนักหรือ คอยพยายามช่วยหาพี่เขยมาให้ท่านตลอด ยกตัวอย่างเช่นอาเหลียงพี่น้องคนดีของข้าเอย เฉินผิงอันที่ข้าเลื่อมใสที่สุดเอย น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ ต้องโทษท่านเองนั่นแหละ จะมาโทษข้าไม่ได้หรอกนะ”

หลี่หลิ่วโยนถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งใส่เขา “ไม่มีน้องชายคนไหนเล่นสกปรกแกล้งพี่สาวอย่างเจ้าหรอก”

หลี่ไหวรับไว้แล้วโยนใส่ปากพร้อมกับถั่วที่อยู่ในฝ่ามือไปพร้อมกันรวดเดียว “ล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น วันหน้าออกเรือนไป หากท่านยังคอยเอาของมามอบให้บ้านเดิมอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ได้แล้วจริงๆ พี่เขยจะต้องไม่ชอบใจแน่ ท่านอย่าเอาแต่ฟังท่านแม่บ่น วันหน้าข้าควรจะเป็นอย่างไร ข้าย่อมต้องช่วงชิงมาด้วยตัวเอง อาศัยพี่เขยจะนับเป็นอะไรได้ จะทำให้ท่านถูกคนในบ้านของพี่เขยดูแคลนเปล่าๆ”

หลี่ไหวยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล “ต่อให้พี่เขยในอนาคตจะเป็นคนใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อย ท่านก็ไม่ควรทำเช่นนี้”

หลี่หลิ่วยิ้มถาม “ทำไมล่ะ?”

หลี่ไหวพูดอย่างหมดความอดทนว่า “ท่านพี่ ท่านนี่น่ารำคาญนัก ข้าบอกว่าควรทำอย่างนี้ ท่านก็ทำอย่างนี้ไปนั่นแหละ บ้านเราใครใหญ่สุด? ข้าใช่ไหมล่ะ ท่านแม่ฟังข้า ท่านพ่อฟังท่านแม่ ท่านฟังท่านพ่อ ถ้าอย่างนั้นท่านว่าคำพูดของใครได้ผลที่สุด?”

หลี่หลิ่วหัวเราะทันใด

หลี่ไหวกะพริบตาปริบๆ “ก็ได้ ข้ายอมรับ คำพูดประโยคก่อนหน้านี้เป็นคำพูดที่ข้าเคยปรึกษากับเฉินผิงอันเมื่อปีนั้น แล้วก็เป็นเพราะว่าตลอดหลายปีมานี้พวกเราได้เจอกันน้อย ก็เลยต้องเก็บคำพูดพวกนี้เอาไว้ไม่เคยมีโอกาสได้พูดกับท่านเสียที แต่ปัญหาข้อหลังนั่น เฉินผิงอันไม่ได้สอนข้า จะวิเคราะห์ให้ท่านฟังอย่างไร หากท่านอยากรู้คำตอบ เดี๋ยววันหน้าข้าค่อยไปถามเอาจากเฉินผิงอันอีกที”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!