สรุปเนื้อหา บทที่ 571.1 อาจารย์อาน้อยเยือกเย็นเป็นที่สุด – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 571.1 อาจารย์อาน้อยเยือกเย็นเป็นที่สุด ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
บนหัวเรือมังกร มีหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กยืนอยู่ด้วยกัน
ชุดเขียว สะพายกระบี่
ส่วนคนตัวเล็กนั่น ตรงเอวห้อยดาบกับกระบี่คู่กัน ถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่ สวมงอบไม้ไผ่สานใบเล็ก
มีทรัพย์สมบัติมาก ก็คือความกลัดกลุ้มเล็กๆ ท่ามกลางความเบิกบานที่ยิ่งใหญ่
หลิวจ้งรุ่นยืนอยู่ชั้นบนสุดของเรือมังกร หลุบตาลงมองระเบียงเรือชั้นหนึ่ง เรือมังกรจำเป็นต้องมีคนบังคับ นางจึงได้คุยเรื่องการค้าอย่างใหม่กับภูเขาลั่วพั่ว
หลิวจ้งรุ่นหาลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์สองสามคนที่ติดตามตนย้ายมาฝึกตนบนภูเขาหลังอ๋าวมา แล้วถ่ายทอดวิชาบังคับเรือมังกรให้แก่พวกนาง นี่ไม่ใช่แผนการระยะยาว แต่กลับสามารถทำให้ผู้ฝึกตนของเกาะจูไชสามารถกลมกลืนเข้ากับกลุ่มภูเขาของถ้ำสวรรค์หลีจูได้เร็วขึ้น
นี่ก็คือการเลือกหลังจากที่หลิวจ้งรุ่นได้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งในขณะที่เดินเล่นกลางลานบ้านค่ำคืนนั้น
หลิวจ้งรุ่นคิดจนเข้าใจกระจ่างแล้ว แทนที่จะทำให้ผู้ฝึกตนเกาะจูไชต้องเดือดร้อนตกอยู่ในสภาวะพิพักพิพ่วนเพียงเพราะความตะขิดตะขวงใจของตน ก็ไม่สู้เลียนแบบจูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วที่ทำตัวหน้าไม่อายไปเสียเลย
เฉินผิงอันกำลังเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองพบเจอมาระหว่างเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีป พูดถึงผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนของที่นั่นที่แค่เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยพบเจอตัวจริง อีกฝ่ายมีนามว่าหลินซู่ อยู่ในตำแหน่งผู้นำของสิบคนรุ่นเยาว์แห่งอุตรกุรุทวีป ได้ยินมาว่าขอแค่เขาลงมือนั่นก็หมายความว่าเขาชนะแล้ว
เผยเฉียนได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าไอ้หมอนั่นพอจะมีดีอยู่บ้าง น่าเสียดายที่ครั้งนี้อาจารย์ไปท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปนานขนาดนั้น แต่ไอ้หมอนั่นก็ยังไม่โชคดีพอจะได้พบหน้าอาจารย์ ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างใหญ่หลวงในชีวิตของหลินซู่ผู้นั้นเสียจริง คาดว่าเวลานี้คงเสียใจจนไส้ขมวดกันเป็นปมแล้วกระมัง ก็ไม่โทษที่ซู่หลินผู้นั้นตาไม่มีแวว เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ก็ไม่ใช่คนที่ใครจะมาพบหน้าก็ได้
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่รู้ว่าในหัวน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยแป้งเปียกของเผยเฉียนนั้นกำลังคิดเหลวไหลอะไรอยู่
คนหนุ่มสาวสิบคนของอุตรกุรุทวีป ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา เพราะอย่างฉีจิ่งหลงก็เป็นเพื่อน ทั้งยังเป็นเพื่อนประเภทที่ดีที่สุดและสนิทที่สุดด้วย
ตอนอยู่บนภูเขากระจกวิเศษของหุบเขาผีร้ายก็เคยเจอกับหยางหนิงเจินที่ปิดบังตัวตนมาก่อน กับ ‘บัณฑิต’ หยางหนิงซิ่งก็เคยพูดคุยสมาคมกัน วางแผนปัดแข้งปัดขากันมาตลอดทาง
ตอนชมศึกบนภูเขาตี่ลี่ผ่านบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่นครเหนือเมฆ ก็เคยเห็นการจับคู่เข่นฆ่ากันระหว่างผู้ฝึกตนอิสระหวงซีกับผู้ฝึกยุทธหญิงซิ่วเหนียง
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ตอนที่เพิ่งจะพาเจ้าออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว อาจารย์ไม่ชอบเจ้า ไม่ใช่ความผิดของเจ้าทั้งหมด เพราะก็มีสาเหตุที่ตอนนั้นอาจารย์ไม่ชอบตัวเองแฝงอยู่ด้วย เรื่องนี้จำเป็นต้องพูดกับเจ้าอย่างชัดเจน”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง “ข้าเองก็ไม่ชอบตัวเองเวลานั้นเหมือนกัน”
เฉินผิงอันถาม “ยังจำครั้งแรกที่พวกเราเจอกันได้ไหม?”
เผยเฉียนรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ตอนที่ข้าไปเยือนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ได้ไปหาแม่นางน้อยที่ปีนั้นมักจะเอาของกินมามอบให้ข้าบ่อยๆ แล้ว ข้าไปขอบคุณนางจากใจจริง แล้วยังเอ่ยขออภัยนางด้วย ข้ายังเคยฝากฝังเฉาฉิงหล่างว่า หากในอนาคตครอบครัวของแม่นางน้อยคนนั้นเกิดเรื่อง ก็ขอให้เขาช่วยเหลือสักหน่อย แน่นอนว่าหากนางหรือคนในครอบครัวนางเป็นฝ่ายที่ทำผิด เฉาฉิงหล่างก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะฉะนั้นอาจารย์ห้ามพลิกบัญชีเก่าขึ้นมาเปิดนะ”
เฉินผิงอันกดหัวเผยเฉียนเบาๆ “เรื่องเก่าเก็บนานปีทุกเรื่องที่สามารถพลิกกลับมาพูดใหม่ได้อีกครั้ง นั่นต่างหากถึงจะเป็นการคลายปมในใจที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเมื่อก่อนเจ้าทำผิดมหันต์ แต่ภายหลังหันมาทำความดี อาจารย์จึงปลื้มใจอย่างมาก แต่ความผิดบางอย่างที่อาจจะมีโอกาสกลับมาอีกครั้ง ก็ควรทำให้เหมือนกับแผ่นไม้ไผ่พวกนั้นที่ต้องเอาออกมาตากแดด เอามามองแสงจันทร์บ่อยๆ เพื่อช่วยให้เจ้าได้ทบทวนตัวเอง”
เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกลของเรือข้ามฟาก เป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวที่สุด ดูท่าหิมะคงใกล้จะตกแล้ว
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ลัทธิเต๋าเลื่อมใสในความเป็นธรรมชาติ ก็ยังคงต้องเป็นตามประโยคนั้น ไม่ฝึกวิถีแห่งคน ก็ยากจะเข้าใกล้วิถีแห่งสวรรค์”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังว่า “คำพูดทุกคำของอาจารย์ดุจหยกดุจทองคำ ทำเอาข้านึกอยากจะเอามีดแกะสลักและแผ่นไม้ไผ่ชุดหนึ่งออกมาได้เหมือนอาจารย์ จะได้เอาไว้บันทึกคำสั่งสอนของอาจารย์โดยเฉพาะ”
เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน พูดยิ้มๆ ปนฉุนว่า “นิสัยประจบสอพลอของคนบนภูเขาลั่วพั่ว พวกชุยตงซาน จูเหลี่ยน เฉินหลิงจวินรวมกันแล้วยังสู้เจ้าไม่ได้เลย!”
เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า เอียงหัวร้องโอ้ยๆ
หลิวจ้งรุ่นที่อยู่ชั้นบนมองเห็นภาพนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนราวระเบียง
ยามที่ชุยตงซานอยู่กับเขา มักจะชอบพูดถึงสำนักศึกษาซานหยา
ในช่วงเวลาเช่นนี้ หลี่เป่าผิงต้องยังสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสดอยู่เหมือนเดิมแน่นอน นางคือนักเรียนที่ประหลาดที่สุดของสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย ถึงขั้นที่ว่ามีเพียงนางคนเดียว ไม่มีคำว่าหนึ่งใน ความประหลาดของเมื่อก่อนก็คือชอบโดดเรียน ชอบถามคำถาม คัดตัวอักษรกองทับกันราวขุนเขา ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไปมาดุจสายลม ความประหลาดของทุกวันนี้ก็คือ ได้ยินมาว่าหลี่เป่าผิงกลายเป็นคนสงบนิ่ง เงียบขรึมพูดน้อย คำถามก็ไม่ค่อยถามแล้ว เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว ยังคงชอบโดดเรียนอยู่เหมือนเดิม ไปเดินเล่นตามตรอกน้อยใหญ่ของเมืองหลวงต้าสุยเพียงลำพัง เรื่องหนึ่งที่ทำให้นางมีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ มีอาจารย์ท่านหนึ่งของสำนักศึกษาขอลาป่วย แล้วบอกให้หลี่เป่าผิงมาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แทน ยี่สิบวันผ่านไป อาจารย์ผู้เฒ่ากลับมาสอนอีกครั้ง ผลกลับพบว่าชื่อเสียงและบารมีผู้เป็นอาจารย์ของตนไม่มากพอ สายตาที่เหล่าลูกศิษย์มองมา ทำให้อาจารย์ผู้เฒ่าบาดเจ็บได้เล็กน้อย ขณะเดียวกันยามที่มองไปยังหลี่เป่าผิงที่นั่งอยู่ในมุมห้อง เขากลับมีสีหน้าภาคภูมิใจ
ตอนนั้นเฉินผิงอันรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
แต่ชุยตงซานกลับหัวเราะร่าเสียงดัง บอกว่าเป่าผิงน้อยช่วยถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจให้ผู้อื่น ไม่ได้เสนอความคิดใหม่ที่แปลกแหวกแนว ไม่เคยล้ำเส้นกฎเกณฑ์เลยแม้แต่น้อย
หลินโส่วอี คือหยกงามด้านการฝึกตนที่แท้จริง อาศัย ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ แค่เล่มเดียวก็เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนได้ไกลเป็นพันลี้ในวันเดียว อีกทั้งทางสำนักศึกษายังมีวิสุทธิจารย์คนหนึ่งมาถ่ายทอดความรู้ให้ เขาถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้กับหลินโส่วอีอย่างไม่มีกั๊กไว้ แต่คนทั้งสองกลับไม่ได้เป็นอาจารย์และศิษย์กันในนาม ได้ยินมาว่าตอนนี้หลินโส่วอีมีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งบนภูเขาและวงการขุนนางของต้าสุยแล้ว และในความเป็นจริงแล้ว ซือหลางทั้งหลายที่มีอำนาจสูงส่งในหน่วยจานกานของกรมอาญาที่ช่วยราชสำนักต้าหลีตามหาตัวอ่อนในการฝึกตนโดยเฉพาะ ก็ได้ติดต่อไปหาบิดาของหลินโส่วอีด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าบิดาของหลิวโส่วอีกลับปฏิเสธมาโดยตลอด บอกแค่ว่าตนจะถือว่าตัวเองไม่เคยให้กำเนิดบุตรชายผู้นี้
อวี๋ลู่ หลายปีมานี้ทำการขัดเกลาขอบเขตร่างทองของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อหลายปีก่อนฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่ถึงอย่างไรอวี๋ลู่ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าคล้อยตามกระแสมาโดยตลอดก็มีปณิธานบางอย่างอยู่จริงๆ
ชอบตกปลา ข้องจับปลาก็มี แต่พอจับปลาได้ก็ปล่อยไป เห็นได้ชัดว่ามีความสุขกับขั้นตอนของการตกปลามากกว่า จะได้ปลาตัวเล็กหรือตัวใหญ่ อวี๋ลู่ไม่ได้เรียกร้องอะไร
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูของสำนักศึกษาซานหยาจำเฉินผิงอันได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ไปที่ไหนมาบ้างแล้วเล่า?”
เฉินผิงอันคารวะอีกฝ่าย เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างรีบขยับหีบไม้ไผ่ใบเล็กให้เข้าที่แล้วทำตามทันที เขาหยิบเอกสารผ่านด่านในชายแขนเสื้อส่งไปให้ ผู้เฒ่ารับไปดูแล้วก็หัวเราะทันใด “ดีนักนะ คราวก่อนใบถงทวีป คราวนี้อุตรกุรุทวีป ครั้งหน้าเป็นที่ไหน ควรถึงคราวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีโอกาสสงบใจอ่านตำรา ก็ได้แต่อาศัยการเดินทางให้มากๆ แล้ว”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ หันหน้ามามองเผยเฉียน “เหตุใดแม่หนูน้อยไม่ดำเป็นถ่านเหมือนเดิมแล้วเล่า? ตัวก็สูงขึ้นแล้ว เป็นเพราะได้เรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนของบ้านเกิดหรือ?”
เผยเฉียนยิ้มหน้าบาน พยักหน้ารับอย่างแรง “ท่านผู้เฒ่าช่างมีความรู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่ว่ามองใครก็ล้วนแม่นยำไปหมด เจ้าขุนเขาเหมาควรจะให้ท่านผู้เฒ่าไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียน วันหน้าสำนักศึกษาซานหยาจะยังธรรมดาได้หรือ จะไม่ใช่ว่าวันนี้มีนักปราชญ์ พรุ่งนี้มีวิญญูชนเลยหรือไร?”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง ถามว่า “เรียนรู้มาจากเฉินผิงอันงั้นหรือ?”
เผยเฉียนบื้อใบ้ไร้คำตอบโต้ คำถามข้อนี้ตอบยากจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางเขกมะเหงกใส่หัวเผยเฉียนหนึ่งที
เผยเฉียนรู้สึกว่าวันหน้าหากมาเยือนสำนักศึกษาซานหยาอีก ควรพูดกับผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูให้น้อยจึงจะดี
ผู้เฒ่ามองดูเหมือนว่าจะอายุมากแล้ว แต่พูดจาหรือทำอะไรกลับไม่มีความชำนาญเอาเสียเลย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิตที่ไม่เคยท่องยุทธภพมาก่อน
เข้ามาในสำนักศึกษาอย่างคุ้นเคย คนทั้งสองไปเข้าพักในหอพักแขกก่อน ผลคือเฉินผิงอันเอาของมาน้อย ไม่ได้มีของอะไรให้เก็บไว้ในห้อง ส่วนเผยเฉียนก็ไม่อยากวางของสิ่งใดทิ้งไว้ เพราะหีบไม้ไผ่ใบเล็กต้องให้สำนักศึกษาซานหยาได้เห็น ไม้เท้าเดินป่าก็ต้องให้พี่หญิงเป่าผิงได้เห็น ส่วนเตาเจี้ยนชว่อที่ผูกเอวไว้ แน่นอนว่าก็ต้องให้ลูกสมุนในยุทธภพทั้งสามคนได้เปิดหูเปิดตา จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้เลย
เฉินผิงอันบอกให้เผยเฉียนไปที่หอพักของหลี่เป่าผิงก่อน ส่วนตัวเองไปหาเหมาเสี่ยวตง
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ห้อยไม้บรรทัดเล่มหนึ่งไว้ตรงเอวยืนอยู่ตรงหน้าประตู ยิ้มถามว่า “เป็นขอบเขตร่างทองแล้วหรือนี่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกที่ยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป”
เหมาเสี่ยวตงรู้สึกมีความสุขในความทุกข์ของอีกฝ่าย “บิดาของหลี่ไหวออกแรงไม่น้อยเลยกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน “ก็พอสมควร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!