ไปถึงห้องหนังสือ คนทั้งสองก็พากันนั่งลง เหมาเสี่ยวตงพูดเข้าประเด็นทันที “หลายปีมานี้อ่านตำราเล่มใดบ้าง ข้าจะทดสอบเจ้าสักหน่อย ดูสิว่าเอาแต่ฝึกตนจนไม่สนใจความรู้ในการอบรมบ่มเพาะตนหรือไม่”
เฉินผิงอันหยิบตำราปึกหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ วางทับซ้อนกันไว้บนหัวเข่า จากนั้นก็ร่ายชื่อตำรายาวเหยียด หนังสือที่เขาเอาออกมาเมื่อครู่นี้ก็คือหนังสือที่ตอนนั้นชุยตงซานยืมไปจากสำนักศึกษาซานหยา พออ่านจบแล้ว แน่นอนว่าต้องคืนให้กับสำนักศึกษา เพียงแต่ว่าภูเขาลั่วพั่วได้อิงตามชื่อของตำราเหล่านี้ซื้อตามมาเก็บไว้แล้วสองชุด ชุดหนึ่งเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี อีกชุดหนึ่งเฉินผิงอันจะขีดเส้นวาดวงกลม เขียนคำอธิบายไว้ตรงพื้นที่ว่างด้านข้าง แล้วเอาวางไว้บนโต๊ะที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่
เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “หลากหลายขนาดนี้เชียว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ด่านในใจยากจะผ่านไปได้ บางครั้งทักษะอย่างหนึ่งที่ฝึกปรือจนชำนาญซึ่งในอดีตเอามาใช้ได้อย่างสบายใจทุกครั้ง กลับดูเหมือนว่าจะไม่อาจช่วยให้ผ่านด่านไปได้ สุดท้ายถึงค้นพบว่าไม่ใช่ความรู้ที่ติดกายไม่ดีพอ ไม่พอใช้ แต่เป็นเพราะตนเรียนรู้มาอย่างตื้นเขินเกินไป”
หัวคิ้วของเหมาเสี่ยวตงค่อยๆ คลายออก “ดีมาก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องทดสอบแล้ว”
เฉินผิงอันถามถึงเรื่องการเรียนช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ของพวกหลี่เป่าผิง เหมาเสี่ยวตงเล่าอย่างกระชับเรียบง่าย แต่เฉินผิงอันก็ฟังออกว่าโดยภาพรวมแล้วเหมาเสี่ยวตงค่อนข้างจะพึงพอใจ แต่เฉินผิงอันก็ฟังออกถึงคำบ่นเล็กๆ เหมือนผู้ใหญ่ในครอบครัวที่มีต่อเด็กรุ่นหลังของตน รวมไปถึงความนัยนอกเหนือจากคำพูดบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นนิสัยของหลี่เป่าผิงต้องเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นจะอัดอั้นแย่ ไม่น่ารักเหมือนตอนเด็กแล้ว การฝึกตนของหลินโส่วอีราบรื่นเกินไป กลัวก็แต่ว่าวันใดจะละทิ้งตำราไปเป็นเทพเซียนบนภูเขาเอาได้ อวี๋ลู่อ่านบทความอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าแท้จริงแล้วส่วนลึกในใจกลับไม่ได้รู้สึกยอมรับและเลื่อมใสลัทธิขงจื๊ออย่างที่เขามีต่อสำนักนิติธรรม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายอะไร ในด้านความรู้ เซี่ยเซี่ยไม่เคยมีความปรารถนาใดๆ นี่ไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว เอาแต่สนใจเรื่องการฝ่าทะลุคอขวดของการฝึกตนเพียงอย่างเดียว ฝึกตนทั้งวันทั้งคืนไม่เคยเกียจคร้าน ตอนอยู่ในห้องเรียน ความคิดจิตใจก็ยังอยู่กับการฝึกตน ราวกับว่าจะชดเชยเอาวันเวลาของเมื่อหลายปีก่อนที่ตัวเองคิดว่าใช้ไปอย่างสิ้นเชิงกลับคืนมาให้ได้ แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรหากยิ่งรีบก็จะยิ่งช้า ง่ายที่จะสะสมภัยแฝงมากมายเอาไว้ การฝึกตนในวันนี้หากเน้นย้ำในด้านความเร็วเพียงอย่างเดียว ก็มีแต่จะกลายเป็นปมของปัญหาที่ทำให้การฝึกตนในอนาคตหยุดชะงักไม่เดินหน้า
ส่วนหลี่ไหว กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่เหมาเสี่ยวตงรู้สึกวางใจมากที่สุด บอกว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เลว
เฉินผิงอันยื่นมือมาวางทับบนตำราเบาๆ แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “การอบรมสั่งสอนผู้คนของอาจารย์เหมา มีมาดของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง”
เหมาเสี่ยวตงโบกมือ พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ห่างไกลจนเทียบไม่ติดเลยล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มพลางหอบตำราลุกขึ้นยืน เตรียมจะวางตำราแล้วจากไป เหมาเสี่ยวตงเองก็ลุกขึ้น แต่กลับไม่ได้รับตำราเหล่านั้นเอาไว้ “เจ้าเก็บไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะควักเงินซื้อหนังสือไปชดเชยให้กับหอเก็บตำราของสำนักศึกษาเอง ตำราเหล่านี้ถือเป็นของขวัญร่วมพิธีที่ข้ามอบให้ศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วที่ก่อสร้างสำเร็จก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ ครั้นจึงเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินจากไป เหมาเสี่ยวตงก็พยายามกดมุมปากของตัวเองลงไม่ให้รอยยิ้มของตนฉีกกว้างเกินไป
ฤดูหนาวที่เหน็บหนาวนี้ คำพูดบางอย่างชวนให้อบอุ่นใจมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันเดินไปตลอดทางจนกระทั่งไปถึงหอพักของหลี่เป่าผิง แล้วจึงเห็นว่าเผยเฉียนกำลังแหงนหน้าคุยกับหลี่เป่าผิงอย่างเบิกบาน
แม่นางที่ใช้คำว่าน้อยไม่ได้แล้วสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่เดิมทีมีแต่จะทำให้พวกสตรีรู้สึกถึงความบ้านนอกคอกนา ทว่าเมื่ออยู่บนร่างของนางกลับไม่มีกลิ่นอายความบ้านๆ แบบนั้นอยู่เลย
เรือนกายของนางสูงเพรียว คางแหลมเล็ก สีหน้าสงบนิ่งไม่ยินดียินร้าย เพียงแต่ว่ารอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงคุ้นตาดังเดิม ดวงตาที่ยังคงงดงามคู่นั้น นอกจากจะพูดได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะซุกซ่อนเรื่องราวเอาไว้ด้วย
พอเห็นเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิงก็ก้าวเร็วๆ เข้ามาหา ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ยิ้มถามว่า “ทำไมไม่เรียกอาจารย์อาน้อยแล้วล่ะ”
เหตุใดแม่นางน้อยที่หน้ากลมตาโตในปีนั้นถึงได้โตเร็วขนาดนี้นะ?
หลี่เป่าผิงพลันยิ้มกว้าง ตะโกนเสียงดังว่า “อาจารย์อาน้อย!”
ในที่สุดก็กลับมาเป็นแม่นางน้อยของปีนั้นเสียที
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องคิดมาก ยิ่งไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะสร้างปัญหาให้กับอาจารย์อาน้อย ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น”
สีหน้าของหลี่เป่าผิงสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา
เฉินผิงอันจึงเสนอให้ทุกคนไปนั่งเล่นที่หอพักแขก เผยเฉียนรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เหตุใดอาจารย์ถึงสละสิ่งที่อยู่ใกล้ เรียกร้องสิ่งที่อยู่ห่างไกล หอพักของพี่หญิงเป่าผิงก็อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่หรือ?
หลี่เป่าผิงกลับไม่ได้พูดอะไร นางเอื้อมสองมือไปไพล่หลัง สิบนิ้วสอดผสานเข้าด้วยกัน เดินถอยหลังอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามว่า “อาจารย์อาน้อย รู้หรือไม่ว่าพวกเราไม่ได้เจอกันมากี่วันแล้ว?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “หลายปีมากแล้ว”
เผยเฉียนตะโกนบอกตัวเลขที่ชัดเจนออกมาเสียงดัง
นี่เป็นเรื่องที่นางถนัดที่สุด
ท่องตำรา จำเส้นทาง จดจำเรื่องราว
พอไปถึงหอพักแขก เผยเฉียนก็บอกว่าจะไปเรียกหลี่ไหวมา เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แต่กลับบอกให้เผยเฉียนพาหลี่ไหวไปที่เรือนของเซี่ยเซี่ยได้เลย
ที่นั่นสถานที่กว้างขวาง
เผยเฉียนวิ่งตะบึงไปตลอดทางเพื่อไปรายงานข่าว
หลี่เป่าผิงถามเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย มีเหล้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง “เจ้าจะดื่มหรือ?”
หลี่เป่าผิงยิ้มจนตาหยี พยักหน้ารับเบาๆ “อยากลองแอบดื่มสักเล็กน้อย”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเอาเหล้าหมักข้าวเหนียวที่ต่งสุ่ยจิ่งเป็นคนหมักออกมากาหนึ่ง รินใส่ชามเล็กๆ สองใบ “ใช่ว่าจะดื่มเหล้าไม่ได้ แต่ต้องดื่มให้น้อยหน่อย”
หลี่เป่าผิงยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบคำเล็กๆ “เป็นรสชาติของบ้านเกิด”
เฉินผิงอันจิบเหล้าคำเล็ก เล่าให้หลี่เป่าผิงฟังว่าเขาได้ไปพบกับพี่ชายใหญ่ของนางที่แคว้นชิงเฮาของอุตรกุรุทวีป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!