หนิงเหยาพยักหน้ารับ พูดด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “เหมือนกับป๋ายหมัวมัวที่ต่างก็เพื่อปกป้องข้า เพียงแต่ว่าป๋ายหมัวมัวขัดขวางนักฆ่าที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดคนหนึ่งในเมือง ส่วนท่านปู่น่าหลันอยู่บนสนามรบทางใต้ของเมือง ขัดขวางปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเพื่อรอฉวยโอกาสโจมตี หากไม่เป็นเพราะท่านปู่น่าหลัน ข้ากับพวกเตี๋ยจ้างก็คงตายกันไปหมดแล้ว”
หนิงเหยาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “ไม่ต้องรู้สึกละอายใจ แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก เรื่องเดียวที่มีประโยชน์ก็คือฝ่าทะลุขอบเขตสังหารศัตรู ป๋ายหมัวมัวกับท่านปู่น่าหลันถือว่าดีแล้ว หากไม่สามารถปกป้องข้า เจ้าลองคิดดู ท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเสียใจแค่ไหน? เรื่องราวทุกอย่างควรจะคิดในแง่ดีเข้าไว้ แต่จะคิดอย่างไร คิดหรือไม่ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ฝ่าทะลุขอบเขต ไม่ฆ่าปีศาจ ไม่กล้าตาย ก็ถือว่ามีขอบเขตเสียเปล่า และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็เป็นแค่เครื่องประดับที่ไร้ค่า อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ชีวิตของทุกคนล้วนมีมูลค่า ถ้าอย่างนั้นในชีวิตของคนคนหนึ่งก็ต้องดูที่ว่าตอนที่รบตายมีขอบเขตเท่าไร และระหว่างนี้ได้สังหารปีศาจกับมือตัวเองไปมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงปีศาจใหญ่ที่ถูกเหล่าอาจารย์กระบี่ทั้งหลายล่อให้มาติดกับแล้วซุ่มฆ่ามีเท่าไร จากนั้นก็เอามาหักกับขอบเขตของตัวเอง รวมถึงอาจารย์กระบี่ผู้ติดตามที่ตายไประหว่างทาง ได้กำไรหรือขาดทุน ล้วนมองเห็นได้ในปราดเดียว”
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนเป็นเหยื่อล่อที่โยนออกไปอย่างเปิดเผย”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ พูดเสียงหนัก “ใช่! ข้า เตี๋ยจ้าง เยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝู เสี่ยวกวอกวอที่ตายไปแล้ว แน่นอนว่ายังมีพวกคนวัยเดียวกันอีกมากมาย พวกเราทุกคนล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจ แต่นี่ไม่ถ่วงรั้งการทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่เพื่อสังหารศัตรูของพวกเรา ในทางส่วนตัวแล้วพวกเราทุกคนต่างก็มีสมุดบัญชีอยู่เล่มหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขที่ขอบเขตแตกต่างกันไม่มาก ใครเอวแข็งกว่าใคร ก็ต้องดูที่ว่าใครหาเงินได้เร็วที่สุด ศีรษะของปีศาจก็คือเงินเพียงหนึ่งเดียวในสายตาของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่!”
หนิงเหยาชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ในบ้านของเจ้าอ้วนเยี่ยน เงินเทพเซียนที่มาจากใต้หล้าไพศาลเยอะไหม เยอะมาก แต่ตอนที่เจ้าอ้วนเยี่ยนยังเด็ก กลับเป็นเด็กที่ถูกรังแกอย่างอนาถที่สุด เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนดูแคลนเขา ครั้งที่น่าสังเวชที่สุดก็คือเขาสวมชุดคลุมอาคมใหม่เอี่ยมตัวหนึ่ง คิดจะออกไปโอ้อวดนอกบ้าน แต่ผลกลับถูกคนวัยเดียวกันกลุ่มหนึ่งดักตัวไว้ในตรอก ตอนที่กลับมาถึงบ้าน เจ้าอ้วนน้อยที่ร้องไห้โฮมีแต่กลิ่นฉี่เต็มตัว ภายหลังเยี่ยนจั๋วมาอยู่กับพวกเราถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย ตัวเจ้าอ้วนเยี่ยนเองก็ใจสู้ด้วย นอกจากครั้งแรกที่ลงสนามรบที่ถูกพวกเรารังเกียจแล้ว หลังจากนั้นมาก็มีแต่เขาที่เป็นฝ่ายรังเกียจคนอื่น”
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน พูดปลงอนิจจังเสียงเบาว่า “เป็นสถานที่ที่ดีที่ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ล้วนไม่เงียบเหงา”
หนิงเหยาถาม “สรุปว่าเจ้าเลือกเรือนพักได้หรือยัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังเลย มาคราวนี้ต้องอยู่นานหน่อย จะทำแบบขอไปทีไม่ได้ พาข้าเดินต่ออีกหน่อยสิ”
หนิงเหยาบ่น “เจ้านี่น่ารำคาญที่สุดเลย”
แม้ปากจะบอกว่ารำคาญ ทว่าฝีเท้าของแม่นางที่มีกลิ่นอายองอาจทั่วร่างกลับไม่เร็วขึ้น
เฉินผิงอันคิดเรื่องในใจบางอย่าง
อันที่จริงเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับคนทั้งสองอย่างแนบแน่น
แล้วก็ยังถามเรื่องสถานการณ์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้จากหนิงเหยาด้วย
อยู่ดีๆ หนิงเหยาก็เหยียบหลังเท้าเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันคืนสติกลับมา บอกที่อยู่ของเรือนหลังหนึ่ง หนิงเหยาจึงบอกให้เขาเดินไปเอง ส่วนนางจากไปเพียงลำพัง
เฉินผิงอันไปถึงเรือนที่ตัวเองเลือก อยู่ห่างจากที่พักของหนิงเหยาไม่ไกล แต่ก็ไม่ใช่เพื่อนบ้านกัน
ป๋ายเลี่ยนซวงหญิงชราที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับมาช่วยเปิดประตูให้ นางมอบกุญแจพวงใหญ่ให้เฉินผิงอัน บอกชื่อของเรือนทั้งหลายให้ฟัง เห็นได้ชัดว่าสถานที่เหล่านี้เฉินผิงอันล้วนสามารถเปิดประตูเข้าไปเยือนด้วยตัวเองได้
หญิงชรามอบกุญแจให้แล้วก็เอ่ยสัพยอกว่า “กุญแจเรือนของคุณหนู ไม่ต้องมอบให้คุณชายเฉินจริงๆ หรือ”
เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบพูดว่า “ไม่ต้องๆ”
เข้ามาในเรือนสองชั้นที่เงียบสงบ เฉินผิงอันเลือกห้องห้องหนึ่งแล้วก็ปลดเจี้ยนเซียนที่อยู่ด้านหลังลง หยิบชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะด้วยกัน
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ยื่นมือไปลูบชุดคลุมอาคมตัวนั้น
หากจะพูดว่าเจี้ยนเซียนเล่มนี้อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่อยู่ด้านล่างมือชิ้นนี้กลับคืนมาเป็นระดับของอาวุธเซียนได้อย่างไร เฉินผิงอันก็รู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร แต่ละบัญชีล้วนกระจ่างแจ่มชัด
คำตอบนั้นง่ายดายมาก เพราะล้วนเป็นผลลัพธ์จากการป้อนเงินเหรียญทองแดงแก่นทองทีละเหรียญทั้งสิ้น จินหลี่เคยเป็น ‘เสื้อคลุมมังกร’ ที่เจียวชั่วร้ายในร่องเจียวหลงตัวนั้นสวมอยู่บนร่าง เพราะเทียนซือท่านหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ปิดด่านบนภูเขาเซียนนอกมหาสมุทรล้มเหลว นี่จึงเป็นของที่เขาทิ้งเอาไว้ ตอนที่มาอยู่ในมือของเฉินผิงอันมีระดับขั้นแค่สมบัติอาคม หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไกลร่วมกันเป็นพันเป็นหมื่นลี้ กินเหรียญทองแดงแก่นทองไปไม่น้อย จึงค่อยๆ กลายมาเป็นอาวุธกึ่งเซียน ครั้งนี้ก่อนที่เฉินผิงอันจะเดินทางมายังภูเขาห้อยหัวก็ยังคงเป็นระดับขั้นของอาวุธกึ่งเซียน และติดค้างอยู่อย่างนี้มานานหลายปีแล้ว เฉินผิงอันจึงใช้เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสที่เหลืออยู่ชิ้นนั้นมาทำการค้ากับเว่ยป้ออย่างลับๆ ครั้งหนึ่ง ซานจวินแห่งขุนเขาเหนือเพิ่งจะได้เหรียญทองแดงแก่นทองมาจากทางราชสำนักต้าหลีหนึ่งร้อยเหรียญ จึงอาศัยความสามารถและแววตาของตัวเองมา ‘เดิมพันใหญ่’ กับเจ้าขุนเขาลั่วพั่วท่านนี้ของเรา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!