หนิงเหยาตั้งใจหลอมลมปราณอยู่บนหน้าผาสังหารมังกร
เฉินผิงอันไม่ได้ไปที่ศาลา แต่ฝึกตนอยู่ในเรือนหลังเล็กของตน
หนิงเหยายังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเห็นได้ชัดว่าปราณวิญญาณของแท่นสังหารมังกรแถบนี้เปี่ยมล้นมากกว่า เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการฝึกตนของจวนหนิง แม้จะบอกว่าเฉินผิงอันไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ประโยชน์ที่ได้รับย่อมน้อยกว่า แต่เมื่อเทียบกับสถานที่แห่งอื่นแล้วก็ยังคงเป็นสถานที่ที่สมควรเลือกเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ทำเพียงแค่มองหนิงเหยาอยู่เงียบๆ
หนิงเหยาจึงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า มิน่าเล่าถึงได้ฝึกตนช้าขนาดนี้
เฉินผิงอันจึงยิ่งจนใจมากกว่าเดิม
ในสวนน้ำค้างวสันต์ นครเหนือเมฆของอุตรกุรุทวีป และบนภูเขาอย่างภูเขาเหมิงหลงของแจกันสมบัติทวีป สามารถเลื่อนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสี่ได้ในเวลาสิบปี ไม่ถือว่าช้าแล้วจริงๆ
น่าเสียดายที่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ความเร็วในการฝึกตนของเฉินผิงอันก็สมกับคำกล่าวที่ว่าเต่าย้ายบ้าน มดย้ายรังของเผยเฉียนอย่างแท้จริง
ทว่าต่อให้เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเขาคนนี้ ไม่พูดถึงการฝึกหมัดของนาง พูดถึงแค่ปราณกระบี่สิบแปดหยุด ปีนั้นตนที่เป็นอาจารย์คิดจะถ่ายทอดประสบการณ์ของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเสียหน่อยก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนิงเหยา ปีนั้นตอนที่พูดถึงปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ เฉินผิงอันถามว่าคนวัยเดียวในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะสามารถควบคุมได้ หนิงเหยาจึงบอกให้ฟังว่าพวกเยี่ยนจั๋ว เตี๋ยจ้างใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะควบคุมวิธีหลอมลมปราณและวิธีหลอมกระบี่ของปราณกระบี่สิบแปดหยุดได้ เดิมทีนั่นก็ทำให้เฉินผิงอันตกตะลึงมากพออยู่แล้ว ผลคือเขาเองทนไม่ไหวจึงถามความเร็วของหนิงเหยาว่าเป็นอย่างไร หนิงเหยาหัวเราะเฮอๆ ที่แท้นั่นก็คือคำตอบแล้ว
เพราะฉะนั้นตอนนั้น เฉินผิงอันถึงขั้นรู้สึกว่าที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่บอกว่าตนมีคุณสมบัติของเซียนดิน ก็เป็นแค่คำปลอบใจเท่านั้น
หลังจากผ่านไปประมาณสองชั่วยาม เฉินผิงอันที่ใช้วิธีการฝึกตนมองถ้ำสวรรค์ภายใน ปล่อยดวงจิตที่เล็กเท่าเมล็ดงาให้จมจ่อมอยู่ในเรือนไม้ก็ค่อยๆ ถอยออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมายาวเหยียด หยุดการฝึกตนไว้ก่อนชั่วคราว เฉินผิงอันไม่ได้ฝึกท่าหมัดเดินนิ่งเหมือนในอดีต แต่ออกจากเรือนมายืนอยู่ตรงระเบียงแห่งหนึ่งที่ห่างจากแท่นสังหารมังกรมาพอสมควร มองไกลๆ ไปยังศาลาหลังนั้น ผลคือเขามองเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดภาพหนึ่ง ที่นั่น ปราณกระบี่ในฟ้าดินมารวมตัวกันจนเกิดเป็นแสงแก้วใสเจ็ดสี เหมือนนกตัวน้อยแอบอิงคนที่ค่อยๆ บินล้อมวนอยู่ช้าๆ หากมองไปยังจุดที่สูงกว่าอีกสักหน่อยยังถึงขั้นมองเห็นบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับ ‘เส้นสายน้ำ’ อยู่ด้วย นี่คงจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างถ้ำสวรรค์น้อยใหญ่อย่างฟ้าดินและร่างกายมนุษย์กระมัง อาศัยสะพานแห่งความเป็นอมตะของจวนเซียนทำให้คนและฟ้าดินสอดผสานรวมกันเป็นหนึ่ง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงเสาระเบียง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ดูเอาเถอะ แม่นางที่ข้าตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น ยามที่ตั้งใจฝึกตนขึ้นมา ร้ายกาจหรือไม่เล่า?
ในขณะที่เฉินผิงอันแอบเบิกบานใจอยู่กับตัวเอง ผู้เฒ่าก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ ถามด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะตกตะลึงเล็กน้อย “คุณชายเฉินมองเห็นด้วยหรือว่าปณิธานเซียนกระบี่บริสุทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ในฟ้าดินพวกนั้นโปรดปราณคุณหนูของพวกเราอย่างถึงที่สุด?”
เฉินผิงอันรีบขยับตัวยืนดีๆ เอ่ยตอบว่า “ท่านปู่น่าหลัน แค่พอจะมองเบาะแสบางอย่างออก ไม่ได้เห็นชัดเจนมากนัก”
น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “พูดถึงแค่สายตาของคุณชายเฉิน นี่ก็ไม่แพ้ให้กับผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของพวกเราแล้ว”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “หนิงเหยาจะฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองได้เมื่อไหร่?”
น่าหลันเย่สิงกล่าว “อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรอให้ศึกใหญ่ครั้งถัดไปปิดฉากลงกระมัง”
เฉินผิงอันถาม “ทุกครั้งที่หนิงเหยากับเพื่อนออกจากหัวกำแพง ตอนนี้ข้างกายมีอาจารย์กระบี่ติดตามอยู่กี่คน มีขอบเขตเท่าไร?”
น่าหลันเย่สิงยิ้มตอบ “ตอนที่คุณชายเฉินจากไป การเข่นฆ่าครั้งนั้น คนสามสิบกว่าคนที่รวมคุณหนูของข้าอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ออกจากหัวกำแพงเมืองไปทางทิศใต้ ทุกคนล้วนมีอาจารย์กระบี่ติดตามไปเป็นองค์รักษ์ แน่นอนว่าเตี๋ยจ้างก็มี เพราะว่าเด็กกลุ่มนี้ล้วนถือเป็นเมล็ดพันธ์ที่ล้ำค่าที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในเรื่องนี้ ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปช่วยได้มากจริงๆ ไม่อย่างนั้นหากมีแค่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เองก็คงไม่เพียงพอ ช่วยไม่ได้ เด็กรุ่นของคุณหนูมีพรสวรรค์กันมากจริงๆ อาจารย์กระบี่ที่รับหน้าที่เป็นองค์รักษ์ส่วนใหญ่มักจะมีพลังพิฆาตสูง ออกกระบี่ได้อย่างเด็ดขาด สิ่งที่ต้องการก็คือเมื่อออกหนึ่งกระบี่ไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็สามารถแลกชีวิตกับนักฆ่าของเผ่าปีศาจได้”
“นอกจากนี้แล้วก็ยังมีข้ารับใช้เก่าแก่ของจวนหนิงอย่างข้าที่คอยให้การปกป้องคุณหนูอย่างลับๆ เยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิวก็มีอาจารย์กระบี่ของตระกูลคนหนึ่งรับหน้าที่เป็นนักรบเดนตาย พอถึงสงครามครั้งที่สอง เด็กรุ่นหลังพวกนี้ก็พากันฝ่าทะลุขอบเขต ตามกฎของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรหรือมีสถานะแบบไหน เมื่อเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่จัดหาอาจารย์กระบี่ไปช่วยคุ้มกันให้อีก พวกคุณหนูคือกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งแต่ละคนยังมีความหวังบนมหามรรคา เพราะฉะนั้นต่อให้ไม่มีอาจารย์กระบี่ทั่วไป แต่ก็ยังมีเซียนกระบี่คนหนึ่งที่เป็นผู้ถ่ายทอดกระบี่ให้ด้วยตัวเอง เป็นทั้งผู้ปกป้องมรรคา แล้วก็เป็นทั้งผู้ถ่ายทอดมรรคา เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ท่านนี้ไม่จำเป็นต้องคอยดูแลเด็กรุ่นหลังให้มากเกินไปนัก ส่วนใหญ่แล้วก็ยังต้องรับผิดชอบความเป็นความตายกันเอาเอง พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้พวกคุณหนูล้วนรบตายกันหมด เซียนกระบี่ที่เหลือรอดชีวิตเพียงลำพังท่านนั้นก็ไม่มีทางถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่ตำหนิเอาโทษแม้แต่ครึ่งคำ”
น่าหลันเย่สิงกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไรแปลก รอจนพวกคุณหนูเติบโตอย่างแท้จริงก็จะต้องทำหน้าที่เป็นอาจารย์กระบี่ผู้ติดตามให้กับเด็กรุ่นหลัง กำแพงเมืองปราณกระบี่มีการสืบทอดเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหนชื่อแซ่ใด แน่นอนว่าอยู่ในนครแห่งนี้ย่อมมีประโยชน์ ในช่วงเวลาของความสงบสุขระหว่างศึกใหญ่สองครั้ง ทรัพย์สินและทรัพยากรในการฝึกตน เมื่อเทียบกับคนที่มีชาติกำเนิดยากจนแล้ว ลูกหลานแซ่ใหญ่ล้วนได้เปรียบอย่างแท้จริง แต่พอไปถึงสนามรบทางทิศใต้ จะแซ่อะไรก็ไร้ความหมายแล้ว ขอแค่ขอบเขตสูง อันตรายก็ยิ่งมาก ในประวัติศาสตร์ก็ใช่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราจะไม่มีพวกรักตัวกลัวตาย มีคุณสมบัติและฐานะทางบ้านดีเสียเปล่า แต่จิตแห่งกระบี่กลับไม่ได้เรื่อง ก็เลยจงใจเผาผลาญเวลาทิ้งอย่างเสียเปล่า ทั้งชีวิตได้ขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองแค่ไม่กี่ครั้ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!