กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 577

เยี่ยนจั๋วลูบคลำปลายคางตัวเอง “เป็นเช่นนี้จริง เป็นเพราะการกระทำของพี่น้องผิงอันของข้ามีช่องโหว่อยู่เล็กน้อย”

ในบรรดาพวกเขา ต่งถ่านดำคือคนที่มองดูแล้วโง่เขลาที่สุด ทว่าต่งถ่านดำกลับไม่ได้โง่จริงๆ เพียงแค่คร้านที่จะใช้หัวสมองก็เท่านั้น

แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับเขาเยี่ยนจั๋วแล้ว ต่งถ่านดำก็น่าจะยังมีเฉินซานชิวคั่นกลางอีกคนหนึ่ง

เฉินซานชิวคิดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ไม่สนใจเรื่องรกสมองพวกนี้แล้ว เอาเป็นว่าเฉินผิงอันกล้าพูดแบบนี้ กล้าเรียกชื่อคนให้มาต่อสู้ด้วยเหมือนเลือกอาหาร แค่เขาเรียกฉีโซ่วและผังหยวนจี้ ข้าก็ยอมรับสหายอย่างเฉินผิงอันแล้ว เพราะตัวข้าเองคงไม่กล้าทำแบบนั้น คบหาสหายเพราะอะไร ก็ไม่ใช่เพราะว่านอกจากจะกินดื่มร่วมกันแล้ว สหายยังสามารถทำเรื่องสาแก่ใจที่ตัวเองทำไม่ได้หรอกหรือ รวบรวมพวกลูกสมุนกลุ่มใหญ่ไว้ข้างกาย เรื่องแบบนี้ ข้ามีหน้าตาให้ต้องรักษา ย่อมไม่อาจทำได้ หากฉีโซ่วกล้าทำลายกฎ พวกเราเองก็ไม่ได้กินหญ้าเสียหน่อย บุกสังหารไปเลย ต่งถ่านดำพอเจ้าต่อสู้ได้ครึ่งทางแล้วก็แกล้งตายซะ แสร้งทำเป็นว่าได้รับบาดเจ็บ พี่สาวเจ้าต้องลงมือช่วยเหลือพวกเราแน่นอน พอนางลงมือ สหายของนางที่เพื่อมิตรภาพแล้วก็ต้องลงมือด้วย ต่อให้แค่แสร้งทำท่าพอเป็นพิธีก็สามารถทำให้พวกสหายสุนัขของฉีโซ่วอับอายขายหน้าได้แล้ว”

แต่หนิงเหยากลับกล่าวว่า “เดิมทีฉีโซ่วก็แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าไม่น้อย หากเป็นชั่วเสี้ยวเส้นยาแดงผ่าแปด อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย หากอยู่ห่างไปหน่อย แม้แต่ข้าก็ยังขวางไว้ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นข้าจะจับตาดูการเลือกสนามรบของฉีโซ่ว หากฉีโซ่วจงใจล่อให้เฉินผิงอันขยับเข้าใกล้ร้านของเตี๋ยจ้าง นั่นก็หมายความว่าฉีโซ่วคิดจะลงมืออำมหิตแล้ว สรุปก็คือพวกเจ้าไม่ต้องสนใจ แค่ดูเรื่องสนุกไปก็พอ แล้วนับประสาอะไรกับที่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเฉินผิงอันจะให้โอกาสฉีโซ่วได้กุมกระบี่ไว้ในมือ เขาน่าจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้วเหมือนกัน”

หนิงเหยาชำเลืองตามองกระบี่เล่มที่ฉีโซ่วสะพายไว้ด้านหลัง

เฉินซานชิวบื้อใบ้ไร้คำตอบโต้

เตี๋ยจ้างยิ่งเป็นกังวลหนักกว่าเดิม

นางรู้ดีว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ตนไม่ถนัดมากที่สุด

บางครั้งเตี๋ยจ้างที่ความคิดละเอียดอ่อน มีสัมผัสเฉียบไวก็จำต้องยอมรับว่า ลูกหลานแซ่ใหญ่อย่างพวกเฉินซานชิวนี้ หากเป็นคนดีก็ยังพอทำเนา แต่หากเอาความฉลาดเฉลียวไปใช้ในทางที่ผิด นั่นก็คือเลวร้ายจริงๆ แล้ว

เพราะพวกเขามีวิสัยทัศน์ที่สูงยิ่งกว่า ช่วยให้พวกเขาที่อายุยังน้อยๆ ก็สามารถใช้สายตาหลุบต่ำจากที่สูงมามองเรื่องราวซับซ้อนราวกับเชือกพันกันยุ่งเหยิงในสายตาของเตี๋ยจ้างได้ อีกทั้งยังสามารถสืบสาวเบาะแสจนเจอเส้นสายที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุด ปัญหายุ่งยากมากมายจึงคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย

อาเหลียงเคยบอกว่า นี่ก็คือหนึ่งในวิชากระบี่ของฟ้าดิน

และอาเหลียงก็เคยพูดกับเตี๋ยจ้างว่า เป็นเพื่อนกับพวกเฉินซานชิว ให้รู้จักมองดูให้มาก เรียนรู้ให้มาก เจ้าน่าจะมีหลุมในใจสองหลุมที่ต้องข้ามผ่านไป หากข้ามผ่านไปได้จึงจะสามารถเป็นสหายกันได้อย่างยาวนาน ข้ามผ่านไปไม่ได้ สักวันหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องให้มีการจากตาย ทั้งสองฝ่ายก็จะกลายเป็นว่านานวันยิ่งไม่มีเรื่องให้คุยกันไปเอง จากสหายที่ดีที่สุด กลายเป็นสหายที่รู้จักกันอย่างผิวเผิน จุดจบที่ไม่เรียกว่างดงามเช่นนี้ ไม่เกี่ยวกับว่าทั้งสองฝ่ายผิดหรือถูก หากมีวันนั้นจริงๆ ก็แค่ดื่มเหล้าซะ แม่นางที่หน้าตาดี หากดื่มเหล้าบ่อยๆ ใบหน้าที่งดงาม เรือนกายที่สะโอดสะองก็จะคงอยู่ได้อย่างยาวนาน

หนิงเหยาพลันหันหน้ามาถาม “พวกเจ้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันต้องแพ้แน่ๆ หรือ?”

เฉินซานชิวกล่าวอย่างจงใจ “พูดโป้ปด ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันสามารถล้มฉีโซ่วได้ด้วยมือเดียว พูดความจริง หากฉีโซ่วไม่ได้สะพายกระบี่เล่มนั้น ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันยังพอจะมีโอกาสชนะอยู่บ้าง”

หนิงเหยาไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

นางหันหน้าไปมองมุมหนึ่ง หัวคิ้วขมวดแน่น

ตรงริมขอบหลังคาของหอสุราแห่งหนึ่ง มีเด็กหญิงสวมชุดคลุมสีดำตัวโคร่งนั่งอยู่ นางมัดผมแกละสองข้างที่มองดูแล้วน่ารักซุกซน อ้าปากหาวค้างอยู่นาน

ดูเหมือนนางจะหมดความอดทน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเปิดปากเอ่ยว่า “ผังหยวนจี้ อืดอาดอยู่ได้ ขี้ก้อนหนึ่งถูกเจ้าแบ่งไปหลายท่อนแล้ว ไม่อายคนบ้างหรือไร จัดการกับฉีโซ่วก่อนสิ แล้วค่อยจัดการกับเจ้าคนที่ชื่อว่าอะไรนั่น แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?!”

เฉินผิงอันมองไปยังหลังคาแถบนั้นแทบจะเวลาเดียวกับหนิงเหยา

นั่นคือบุคคลแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ที่มองดูเหมือนทำอะไรไม่เอาจริงเอาจัง ทว่าหมัดเดียวกลับทำให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเนื้อหนังปริแตกได้

นิสัยร้ายๆ เจ้าอารมณ์ของผู้ฝึกกระบี่ตระกูลต่ง อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้แค่อยู่อันดับสองเท่านั้น

เพราะว่ามีนางอยู่

ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันเคยเห็นนาง ‘ทิ้งตัวดิ่ง’ ลงไปจากหัวกำแพง วิ่งไป ‘เล่นสนุก’ กับปีศาจใหญ่ตัวหนึ่งที่ขยับเข้าใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่กับตาตัวเองมาก่อน

นั่นคือปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตัวจริงเสียงจริง แต่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่กลับบอกว่า ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้ นางจึงรู้สึกว่าตัวเองแพ้แล้ว

บนถนนใหญ่ นอกจากหนิงเหยาและเซียนกระบี่หลายท่านที่จงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ‘แม่นางน้อย’ ผู้นั้นแล้ว แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันอีกคน ทว่าทุกคนที่เหลือกลับเหงื่อตกขนลุกชัน

ไม่มีใครเปิดปากพูดเอาใจอีกฝ่ายเพื่อหาเรื่องให้ตัวเอง

‘อิ่นกวาน’ ไม่ใช่ชื่อแซ่ของนาง แต่เป็นตำแหน่งขุนนางในยุคบรรพกาลห่างไกลที่ไม่เคยมีบันทึกมาก่อน สืบทอดตำแหน่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น รับหน้าที่ดูแลกองทัพและลงทัณฑ์อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ และในประวัติศาสตร์ก็เคยมีใต้เท้าอิ่นกวานที่ฝีมือไม่ได้เรื่องจนตกเป็นหุ่นเชิดอยู่มากมาย แต่เมื่อนางรับตำแหน่งนี้ ความดูแคลนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่อตำแหน่งอิ่นกวานก็ไม่เหลืออยู่เลย นางไม่เพียงแต่เป็นคนที่สังหารปีศาจห้าขอบเขตกลางได้มากที่สุด ตลอดพันปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกกระบี่ที่ลงสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วขลาดกลัวที่จะต่อสู้จึงถูกนางใช้หมัดเดียวต่อยให้เลือดเนื้อปลิวกระจายตายคาที่ ก็มีอยู่มากเหมือนกัน

ปีนั้นในศึกสิบสาม คนแรกที่ออกศึกของฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ก็คือใต้เท้าอิ่นกวานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้าเปลี่ยวร้างพอๆ กับที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้

ผลคืออีกฝ่ายที่ให้ปีศาจใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการใช้เนื้อหนังมังสาอันแข็งแกร่งเข่นฆ่าศัตรูลงสนามรบ พอเห็นนางก็เผ่นหนีทันที จากนั้นทั้งสองฝ่ายที่คุมเชิงกันก็ได้เห็นแม่นางน้อยคนหนึ่งทุบทำลายสนามรบอยู่นานถึงหนึ่งเค่อเต็ม

ผังหยวนจี้พยักหน้ารับ “ศิษย์จะฟังคำของอาจารย์”

ทว่าฉีโซ่วกลับกุมหมัดก้มหน้าเอ่ยว่า “ขอใต้เท้าอิ่นกวานโปรดให้ข้าลงมือก่อน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าก็จะต่อสู้กับหยวนจี้ โดยยินดีให้ตัดสินกันด้วยความเป็นความตาย”

ดวงตาอิ่นกวานเป็นประกายวาบ รีบโบกมืออย่างแรง “แบบนี้ก็ได้อยู่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็เร็วๆ หน่อย รีบต่อสู้กันเร็วเข้า พวกเจ้าลงมือเต็มที่เอาให้ตายกันไปข้างได้เลย ข้าจะช่วยรักษากฎให้พวกเจ้าเอง เรื่องของการต่อยตีกันนี้ ข้ามีความยุติธรรมเป็นที่สุด”

จากนั้นนางก็มองไปทางโต๊ะสุราที่ผังหยวนจี้นั่งดื่มเหล้าก่อนหน้านี้ แล้วยู่ใบหน้าเล็กๆ “เจ้าแมลงน่าสงสารตาเดียว โยนเหล้ามาให้กาหนึ่งสิ หากกล้าไม่โยนให้ข้า ข้าจะทุบเจ้า…”

ทันใดนั้นตลอดทั้งร้านเหล้าก็ระเบิดดังปัง กระเบื้องบนหลังคาปลิวว่อนกระจัดกระจาย ในร้านเต็มไปด้วยเศษซากระเกะระกะ ผู้ฝึกกระบี่น้อยใหญ่ทุกคนที่อยู่ในร้านเหล้าล้วนหมดสติไปแล้ว หันไปมองอีกที ชายฉกรรจ์เคราดกที่เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนนั้นได้ถูกนางเตะเข้าที่หน้าผาก ร่างปลิวออกไปกระแทกกำแพง ทั่วร่างเต็มไปด้วยฝุ่นผง พอลุกขึ้นยืนได้ก็ไม่ได้กลับมาที่ร้านเหล้า มีเพียงนางที่ยืนอยู่บนโต๊ะเหล้าเพียงตัวเดียวในร้านที่ยังสมบูรณ์แบบ กระทืบเท้าเบาๆ กาเหล้าก็กระเด้งขึ้นมา ถูกนางกุมไว้ในมือ พอสูดดมกลิ่นแล้ว ใบหน้าก็ยับยุ่ง “มีแต่กลิ่นเยี่ยวฉุนกึก จะดีจะชั่วก็ควรเป็นเหล้าสิ ควรเป็นเหล้าสิ!”

พูดมาถึงท้ายที่สุด ใต้เท้าอิ่นกวานที่สูงส่งเกินกว่าผู้ใดคนนี้กลับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำสีหน้าเศร้าระทม

วินาทีที่ใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นออกมาจากหลังคา

เฉินผิงอันก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่กลับชักเท้ากลับมาทันใด จากนั้นจึงหันไปมองฉีโซ่วแล้วกระตุกมุมปาก

ผังหยวนจี้เอนตัวไปด้านหลังถอยกรูดกลับไปยังร้านเหล้าที่เละเทะไม่เหลือชิ้นดี ยกมือขึ้นรับกระเบื้องแผ่นหนึ่งที่ตกลงมา ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เคยบอกว่า ห้ามไม่ให้ท่านดื่มเหล้า”

อิ่นกวานกล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าก็แค่ดมเท่านั้น ทำไม ทำผิดกฎแล้วหรือ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ใครที่เป็นคนทำหน้าที่ลงทัณฑ์ คือเขาตาแก่หนังเหนียวเฉินชิงตูงั้นหรือ?”

แล้วทันใดนั้นนางก็นั่งลงบนไปโต๊ะอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง โยนกาเหล้าไปให้ผังหยวนจี้ “เก็บไว้ให้ข้าก่อน”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!