ผังหยวนจี้อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น
กล้าพูดกับเขาผังหยวนจี้เช่นนี้ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อย่างอื่นล้วนมีไม่มาก มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่มากที่สุดแห่งนี้ ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดขึ้นไปเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเขาผังหยวนจี้ดูแคลนคนต่างถิ่นที่เอาชนะคู่ต่อสู้ติดต่อกันได้ถึงสองครั้งผู้นี้
แต่เป็นเพราะเดิมทีผังหยวนจี้ก็ดูแคลนใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว
เมื่อเทียบกับการดูแคลนแล้ว อารมณ์ที่มากกว่านั้นคือเกลียดชัง และยังเจือปนด้วยความอาฆาตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเสี้ยวหนึ่ง
หากไม่เป็นเพราะมีบุคคลอย่างผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีป หรืออย่างอาเหลียง จั่วโย่วอยู่ในใต้หล้าไพศาล ผังหยวนจี้ก็ถึงขั้นเคียดแค้นชิงชังใต้หล้าที่เขาไม่คุ้นเคย แต่ร่ำรวยและสงบสุขมั่นคงแห่งนี้ด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่มองว่าเหมาะสมกับหนิงเหยาที่สุดผู้นี้จึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ผังหยวนจี้ดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เดินออกจากโต๊ะสุรา มุ่งหน้าไปบนถนนช้าๆ
ชายฉกรรจ์เคราดกที่มีดวงตาข้างเดียวมีสีหน้าเป็นปกติ แค่ดื่มเหล้าต่อเท่านั้น
เกี่ยวกับเรื่องรักชายหญิง ผังหยวนจี้ไม่สนใจ หนิงเหยาผู้นั้นจะชอบใคร เขาผังหยวนจี้ไม่สนใจแม้แต่น้อย
สิ่งที่ผังหยวนจี้สนใจมีเพียงสถานะผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ และสถานะลูกศิษย์ของใต้เท้าอิ่นกวานเท่านั้น
ความเหมือนร่วมกันที่ใหญ่ที่สุดของสถานะสองอย่างนี้ ก็คือเป็นนักโทษอาญา เป็นประชากรพลัดถิ่นของใต้หล้าไพศาล นี่คือตราประทับที่นาบติดตัวมานานนับหมื่นปี ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่มาสร้างกระท่อมอยู่อาศัยเพียงลำพังบนหัวกำแพงเมืองผู้นั้นไม่เคยส่งเสียงใด แต่คนรุ่นเยาว์ในช่วงหมื่นปีให้หลังล้วนมีแต่ความไม่พอใจ!
ผังหยวนจี้เดินขึ้นไปบนถนนแล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ยากจะจินตนาการได้ว่านี่คือคนหนุ่มที่เพิ่งจะอายุยี่สิบห้าเท่านั้น “เฉินผิงอัน ข้าไม่มีอคติต่อเจ้า แต่ข้ามีอคติต่อใต้หล้าไพศาลอย่างมาก”
บางทีหากอยู่บนภูเขาของใต้หล้าไพศาล อายุเท่านี้ ต่อให้เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต หรือขอบเขตชมมหาสมุทรก็คงถือว่าเป็นผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์ภูเขาตระกูลเซียนที่ถูกห้อมล้อมดุจดวงเดือนที่ถูกล้อมด้วยหมู่ดาวแล้ว
หรือหากอยู่ด้านล่างภูเขาของที่นั่น บางทีก็อาจเป็นคนหนุ่มหล่อเหลามีความสามารถที่ได้ติดอันดับกระดานคนดัง ได้เสวยสุขอยู่กับความรุ่งโรจน์มีเกียรติ เส้นทางอนาคตยาวไกล เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิม
ทว่าอยู่ที่นี่ ที่บ้านเกิดของผังหยวนจี้ เคยมีคนบอกว่าที่นี่ก็คือสถานที่ที่แม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้ เพราะปราณกระบี่เข้มข้นเกินไป แม้แต่นกที่บินผ่านสักตัวยังหาได้ยาก น่าสงสารจริงๆ จากนั้นชายฉกรรจ์เมามายที่รอบกายมีเด็กเล็กและเด็กหนุ่มมากมายห้อมล้อมก็เอ่ยอีกว่า ในอนาคตหากพวกเจ้ามีโอกาสจะต้องไปที่ภูเขาห้อยหัว แล้วก็ไปยังสถานที่ที่ไกลกว่าภูเขาห้อยหัว ลองไปเยี่ยมเยือนดู ไม่ว่าทวีปใดของที่นั่นก็ล้วนมีสตรีหน้าตางดงามอยู่มากมาก รับรองว่าไม่ว่าใครก็ไม่ต้องเป็นชายโสดอย่างแน่นอน
อยู่ที่นี่ ไม่ว่าเด็กคนใด ขอแค่ตาไม่บอด ถ้าอย่างนั้นจำนวนของเซียนกระบี่ที่เขาได้เห็นมาชั่วชีวิตก็ย่อมมากกว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของใต้หล้าไพศาลเสียอีก
เพราะว่าที่นี่แค่เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยก็สามารถเจอกับเซียนกระบี่บางคนที่มาซื้อเหล้า มาดื่มเหล้าบนถนนได้แล้ว แล้วก็มักจะเจอเซียนกระบี่หลายท่านที่ขี่กระบี่มุ่งตรงไปยังหัวกำแพงเมือง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเองก็ไม่มีอคติต่อเจ้าผังหยวนจี้ แต่กับคำพูดบางอย่าง ข้ามีอคติอย่างมาก”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหอสุราและร้านเหล้าที่อยู่สองข้างทางของถนนใหญ่ยิ่งดังเซ็งแซ่มากขึ้น
ต่อให้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่ตอนอยู่บ้านเกิดอย่างอุตรกุรุทวีปจะมีสายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร แต่พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็ไม่เคยมีคนหน้าใหม่คนใดกล้าพูดจาเช่นนี้
บางทีเวลาผ่านไปนานเข้า อาจมีสหายที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน หรือยังคงเป็นคนที่เกลียดขี้หน้ากัน แค่พูดจาไม่เข้าหูก็นัดต่อสู้ แต่ร้อยปีที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยมีคนหนุ่มคนใดที่ทึ่มทื่อขนาดนี้มาก่อนจริงๆ
อุตรกุรุทวีปคือทวีปใหญ่ที่คบค้าสมาคมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด แต่คนหนุ่มสาวที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ ก่อนจะมาถึงภูเขาห้อยหัวก็ต้องถูกผู้อาวุโสในสำนักหรือในตระกูลของตนเอ่ยเตือนมาก่อนแล้วว่า คนต่างน้ำเสียงแตกต่าง ทว่าความหมายกลับไม่ค่อยจะต่างกันนัก เว้นเสียแต่ว่าเมื่อมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วจะสำรวมตัว เก็บนิสัยแย่ๆ เอาไว้ เวลาเจอเรื่องอะไรก็อดทนให้มาก หากไม่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความผิดความถูกใหญ่ ก็ห้ามพูดจาล่วงเกินใคร ยิ่งห้ามออกกระบี่ตามใจชอบ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้นมีกฎเกณฑ์น้อยมาก แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เมื่อก่อเรื่องกลับจะยิ่งเป็นปัญหายุ่งยาก
สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีประมัดระวังได้ขนาดนี้ คาดว่าก็คงมีแค่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหมือนเป็นเส้นแบ่งสอดแทรกระหว่างสองทวีปแห่งนี้แล้ว
ต่งปู้เต๋อที่ใบหน้ากลมดิกยืนอยู่บนชั้นสอง ข้างกายห้อมล้อมด้วยสตรีที่อายุพอๆ กันกลุ่มใหญ่ และยังมีเด็กสาวที่เรือนกายยังไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ยังแฝงความเดียงสาของเด็กหญิงอยู่อีกบางส่วน ส่วนใหญ่ดวงตาที่เป็นประกายของพวกนางล้วนมองไปยังผังหยวนจี้ที่ถึงอย่างไรพี่หญิงหนิงก็ไม่ชอบ ถ้าอย่างนั้นพวกนางไม่ว่าใครก็ล้วนมีโอกาสผู้นั้น
อันที่จริงต่งปู้เต๋อเป็นกังวลเล็กน้อย กลัวว่าน้องชายที่ดื้อดึงของตนจะถูกลากเข้าไปในการต่อสู้วุ่นวายที่อยู่ดีๆ อาจเกิดขึ้นนี้ด้วย
ทางฝั่งของฉีโซ่วก็มีภูเขาลูกเล็กของตนเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอิทธิพลของตระกูลที่ช่วยหนุนหลังให้กับคนหนุ่ม หรือพลังการต่อสู้ที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสะสมมาก็ล้วนไม่เป็นรองทางฝั่งของหนิงเหยา ถึงขั้นยังเหนือกว่าด้วย ก็แค่เริ่นอี้ที่หนีไปด้วยความขุ่นเคืองคนเดียวเท่านั้น หากมีเรื่องกันขึ้นมา คงได้ตะลุมบอนกันแน่
ดังนั้นนอกจากความเป็นกังวลแล้ว ต่งปู้เต๋อยังคันไม้คันมือ อยากลงมือเต็มที่แล้วเหมือนกัน
นางเป็นถึงพี่สาวแท้ๆ ของต่งฮว่าฝูเชียวนะ
เด็กสาวคนหนึ่งที่แก้มกลมย้อยเขย่งปลายเท้าฟุบตัวลงบนกรอบหน้าต่าง พยักหน้าแรงๆ พลางเอ่ยว่า “เจ้าหมอนี่ก็หล่อเหลาจริงๆ นะ แต่พวกเจ้าเชิญชอบเจ้าหมอนี่กันตามสบายเถอะ ข้าน่ะ นับจากวันนี้ไปจะชอบเจ้าคนที่ชื่อเฉินผิงอันนั่นแล้ว พี่หญิงต่ง หากวันใดพี่หนิงเหยาไม่ต้องการเขาแล้ว จำไว้ว่ารีบมาบอกข้าทันทีเลยนะ ข้าจะได้รีบลงมือ รีบๆ แต่งงานให้เสร็จสิ้นกันไป ชุดแต่งงานในร้านของหอเจี่ยวซานนั่นสวยมากจริงๆ ลูบแล้วลื่นมือดีนัก”
ต่งปู้เต๋อยกเท้าเตะก้นของแม่นางน้อยหนึ่งที ยิ้มกล่าวว่า “สตรีทั่วไปที่สมองไม่สมประดี มักจะคิดถึงบุรุษจนเสียสติ แต่เจ้ากลับดีนัก ดันคิดถึงชุดแต่งงานจนเสียสติซะนี่”
เด็กสาวคลึงก้นตัวเอง ใช้ไหล่เล็กบางดันคนวัยเดียวกันข้างกายที่แอบหัวเราะออกไปไกลๆ พลางโวยวายว่า “พี่หญิงต่ง ท่านแม่ข้าบอกแล้วว่า ท่านต่างหากที่เป็นสาวเทื้อสมองไม่สมประดีที่สุด!”
ใบหน้าต่งปู้เต๋อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ยว่าแบบนี้เองหรือ จากนั้นก็ยื่นมือมากดศีรษะของแม่หนูน้อยกระแทกลงบนขอบหน้าต่างดังตึงๆ “สาวเทื้อใช่ไหม?”
พอต่งปู้เต๋อหยุดมือ เด็กสาวก็นวดคลึงหน้าผาก หันหน้ามายิ้มแยกเขี้ยว “แม่นางน้อย แม่นางน้อย พี่หญิงต่งที่อายุสิบแปดตลอดกาล” แล้วเด็กสาวก็นินทาอยู่ในใจว่า สาวเทื้ออายุแปดสิบตลอดกาลมากกว่ากระมัง
ผลคือต่งปู้เต๋อกลับยื่นมือมาจับหัวแม่นางน้อยผู้นี้โขกกับขอบหน้าต่างอีกครั้ง “อายุแปดสิบใช่ไหม? ความคิดเล็กๆ น้อยๆ นั่นของเจ้า ขาดก็แค่ไม่ได้เขียนไว้บนใบหน้าเท่านั้น”
แล้วต่งปู้เต๋อก็พลันปล่อยมือ “ข้าก็ว่าแล้วเชียว ฉีโซ่วอุตส่าห์เปลืองแรงขนาดนี้ ย่อมไม่ปล่อยโอกาสที่ตัวเองจะได้มีหน้ามีตาให้แก่ผังหยวนจี้ไปเปล่าๆ แน่”
เด็กสาวคนนั้นไม่มีเวลามามัวงัดข้อกับต่งปู้เต๋ออีก นางกดหัวคนวัยเดียวกันที่บังอยู่ด้านหน้าตัวเองลง ส่วนนางยื่นคอยืดยาวออกไป พูดเหมือนคนแก่ว่า “หากเปลี่ยนข้าไปเป็นฉีโซ่ว ป่านนี้ก็คว่ำโต๊ะต่อยตีกันไปนานแล้ว”
ตรงร้านเหล้าที่อยู่สุดปลายของถนน มีคนปรากฏตัวบนถนนเส้นใหญ่ ก็คือฉีโซ่ว
เรือนกายสูงใหญ่ องอาจผึ่งผาย สวมชุดตัวยาวสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง สะอาดสะอ้านคล่องตัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!