ชั่วพริบตานั้น
ม่านตาดำของเยี่ยนจั๋วพลันหดตัว
คนชุดเขียวมาโผล่พรวดอยู่ข้างกายเขา ยังคงสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ทำไมข้าต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บด้วย? เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้อย่างนั้นหรือ? ตลอดทางที่ข้าเดินทางมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ผ่านการต่อสู้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กับอีกแค่สามครั้งจะเป็นไรไป”
เยี่ยนจั๋วถามเสียงเบา “เฉินผิงอัน ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงมาโผล่อยู่ข้างกายข้าได้? ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมีความเร็วมากขนาดนี้เชียวหรือ? ไม่อย่างนั้นพวกเรามาทิ้งระยะห่างจากกันแล้วค่อยประมือกันใหม่อีกครั้งดีไหม? เมื่อครู่นี้ข้าก็แค่กำลังโมโห ก็เลยไม่ได้สนใจ ไม่นับๆ พวกเรามาเริ่มกันใหม่”
เฉินผิงอันยิ้มพลางคีบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “คือยันต์ฟางชุ่น สามารถช่วยให้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวย่อพื้นที่ได้”
เยี่ยนจั๋วพลันกระจ่างแจ้ง
เฉินผิงอันเก็บยันต์ลงไป
เยี่ยนจั๋วที่เพิ่งจะมารู้สึกตัวภายหลังพลันยิ้มพูดอย่างฉุนๆ ว่า “เจ้ายังไม่ได้ใช้ยันต์แผ่นนี้สักหน่อย?! เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่ากำลังหลอกคนโง่หรือไร?”
เฉินผิงอันซ่อนสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เขายกแขนขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “มีสองมือนะ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หุบยิ้ม มองไปยังสตรีแขนเดียวที่อยู่ห่างไปไกล เอ่ยขออภัยว่า “ไม่ได้คิดจะล่วงเกินแม่นางเตี๋ยจ้างนะ”
เตี๋ยจ้างยิ้มส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่เจ้าอ้วนเยี่ยนที่พุงใหญ่ แต่ใจแคบสักหน่อย คำพูดของคุณชายเฉินต่อจากนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องที่ข้าแขนขาด เพราะมันคือเรื่องเล็ก ต่อให้เอามาล้อเล่นก็ไม่เป็นไรเลย พี่หญิงหนิงก็เคยล้อข้า บอกว่าหากวันหน้าได้ครองคู่กับบุรุษที่รัก แล้วเกิดความรู้สึกที่ยากจะควบคุม อยากจะกอดกันและกัน แบบนั้นจะไม่กระอักกระอ่วนแย่หรือ ข้ายังเคยตั้งใจใคร่ครวญถึงปัญหายากข้อนี้เป็นพิเศษ คิดว่าควรจะยื่นแขนข้างเดียวออกไปอย่างไร ควรจะใช้ท่าทางแบบไหน”
หนิงเหยายื่นมืดมาบิดแก้มเตี๋ยจ้าง “พูดเหลวไหลอะไรน่ะ!”
ต่งฮว่าฝูที่ยืนอยู่ด้านข้างถอนหายใจดังเฮ้อ ที่แท้พี่หญิงหนิงก็พูดคุยเรื่องพวกนี้ด้วย ถือว่าได้เปิดโลกเลยนะเนี่ย
หนิงเหยามองมาทางเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หนิงเหยาถึงได้เอ่ยว่า “ไป ไปหาเหล้าดื่มใกล้ๆ กับร้านของเตี๋ยจ้างกัน”
ตอนที่ทุกคนเดินออกจากบ้าน หนิงเหยายังสั่งสอนเตี๋ยจ้างที่ปากไม่มีหูรูดด้วยสายตา
เตี๋ยจ้างยิ้มเอ่ยขอโทษไปตลอดทาง ก็แค่ดูไม่มีความจริงใจสักเท่าไร
ต่งฮว่าฝูเดินอยู่รั้งท้าย เขาเคยชินเสียแล้ว
เฉินผิงอันถูกเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วขนาบข้างซ้ายขวาราวกับเทพทวารบาลสององค์ เยี่ยนจั๋วพูดเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน ด้วยวิชาที่โผล่เข้าโผล่ออกอย่างลึกลับนี้ของเจ้า บวกกับที่เจ้าคือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่ชื่อเสียงโด่งดังและมีน้อยจนนับนิ้วได้ของใต้หล้าไพศาล การต่อสู้สองครั้งแรก หากโชคดี ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถประคองตัวต่อไปได้ หากแพ้ในครั้งที่สาม ข้าผู้นี้เป็นคนมีคุณธรรมน้ำใจเป็นที่สุด จะยอมแบกเจ้ากลับมาที่นี่เอง!”
เฉินซานชิวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่าไปเชื่อคำพูดพล่อยๆ ของเจ้าอ้วนเยี่ยน ออกจากบ้านมาแล้ว การช่วงชิงกันในด้านปณิธานความฮึกเหิมของคนรุ่นเยาว์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่างถิ่นที่เดินทางมาไกลอย่างเจ้า การจับคู่ประลองฝีมือระหว่างผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเรา หนึ่งเพราะต้องทำตามกฎเกณฑ์ จึงไม่มีทางที่จะทำร้ายรากฐานการฝึกตนของเจ้า สองก็เพราะแค่ตัดสินแพ้ชนะกันเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่ล้วนรู้จักหนักเบาเสมอ ไม่มีทางที่จะทำให้เลือดท่วมร่างเจ้าแน่นอน”
ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้คนทั้งสองมึนงงไม่เข้าใจ “หากเป็นอย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก”
หลังเดินออกมาจากประตูใหญ่ของจวนหนิง แม้ว่าข้างนอกจะมีผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยมารวมกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน แต่กลับไม่มีใครออกหน้ามาพูด
จนกระทั่งคนทั้งกลุ่มเดินไปใกล้จะถึงร้านของเตี๋ยจ้าง บนถนนสายยาวแทบจะไม่มีคนเดินเท้า สองข้างทางล้วนมีแต่ร้านเหล้าตั้งเรียงราย
มีหลายคนที่รีบรุดมาดื่มเหล้าก่อนเพื่อรอชมเรื่องสนุก แต่ละคนดื่มเหล้ากันไป แต่กลับไม่มีใครพูดคุยกัน มีเพียงแค่รอยยิ้มที่คลุมเครือมีเลศนัย
มีคนหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่บนถนนใหญ่ ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน คนหนุ่มที่ตรงเอวพกกระบี่เล่มยาวก้าวเดินมาข้างหน้าช้าๆ
หนิงเหยาชำเลืองตามองแวบหนึ่งแล้วก็ไม่มองอีก แต่หันไปคุยกับเตี๋ยจ้างต่อ
เยี่ยนจั๋วเอ่ยเตือนเสียงเบา “คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร มีนามว่าเริ่นอี้ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนผู้นี้มีชื่อว่า…”
เฉินผิงอันกลับยิ้มกล่าวว่า “แค่รู้ว่าอีกฝ่ายมีขอบเขตอะไรและชื่ออะไรก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะชนะได้อย่างไม่สมเกียรติ”
เฉินซานชิวหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าเริ่นอี้คนนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นสุนัขรับใช้อันดับหนึ่งข้างกายฉีโซ่ว ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนชอบเป็นแนวหน้าอยู่เสมอ”
เริ่นอี้หยุดอยู่ห่างไปห้าสิบก้าว “เฉินผิงอัน ยินดีมาประลองกับข้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันเดินนำไปข้างหน้าสองสามก้าวเพียงลำพัง แต่ปากกลับเอ่ยว่า “หากข้าบอกว่าไม่ยินดี เจ้าจะรับคำอย่างไร?”
เริ่นอี้เอามือข้างหนึ่งกดด้ามกระบี่ ยิ้มกล่าวว่า “หากไม่ยินดี ก็แสดงว่าไม่กล้า ข้าไม่ต้องรับคำ แล้วก็ไม่ต้องออกกระบี่”
พริบตานั้นทุกคนที่ชมศึกอยู่ก็เห็นเพียงว่าชุดสีเขียวพุ่งทะยานราวกับสายฟ้า กระโจนวูบไปถึง และจนกระทั่งบัดนี้ บนถนนถึงเพิ่งจะมีแรงสะเทือนอื้ออึงดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มห้าขอบเขตล่างที่ขอบเขตต่ำหน่อยพากันสบถด่ามารดาอีกฝ่าย เพราะจอกเหล้าถ้วยเหล้าบนโต๊ะล้วนเด้งกระดอนทำให้สุรากระฉอกออกมาไม่น้อย
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางส่วนใหญ่จะใช้ปราณกระบี่ของตัวเองสลายความเคลื่อนไหวนั้น แล้วก็รวบรวมสมาธิจ้องมองการต่อสู้ตรงจุดนั้นต่อ
ส่วนพวกเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนที่แอบปะปนมาอยู่ในกลุ่มคนกลับไม่สนใจการกระทบกระแทกกันของถ้วยชามบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย
เริ่นอี้ผู้นั้นค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าข้างกายมีคนหนุ่มชุดเขียวมายืนอยู่ อีกฝ่ายเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งจับแขนข้างที่ชักกระบี่ของเขาเอาไว้ แค่นั้นเขาก็ไม่อาจชักกระบี่ออกมาได้แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ คนผู้นั้นยังยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องออกกระบี่กลับออกกระบี่ไม่ได้เลย คือคนละเรื่องเลยทีเดียว”
ร่างของเฉินผิงอันพุ่งวูบไปมาไม่อยู่นิ่ง คอยหลบกระบี่บินเล่มหนึ่งที่เร็วราวสายฟ้าแลบ เพียงแต่ว่าเมื่อเริ่นอี้จะออกกระบี่อีกครั้ง มือข้างที่จับกระบี่กลับถูกคนที่อยู่ด้านหลังผู้นั้นกุมเอาไว้อีก และยังคงชักกระบี่ออกจากฝักไม่ได้อยู่เหมือนเดิม
หลังจากผ่านไปสองสามครั้ง เริ่นอี้ก็คิดจะเปลี่ยนกลยุทธใหม่ เขาจะทะยานลมลอยขึ้นกลางอากาศ หมายทิ้งระยะห่างออกจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อยู่บนพื้นคนนั้น จะได้ออกกระบี่ได้ตามใจชอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!