จั่วโย่วไม่ได้ลืมตาขึ้น เขาเพียงพูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ไม่มีอะไรน่าดู การช่วงชิงชัยชนะแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ไร้ซึ่งความหมายใดๆ”
เว่ยจิ้นรู้นิสัยของผู้อาวุโสแซ่จั่วผู้นี้ดี ดังนั้นคำพูดคำจาของเขาจึงไม่ได้กริ่งเกรงอะไรมากนัก เขายิ้มกล่าวว่า “นี่ไม่เหมือนท่าทีที่ศิษย์พี่ใหญ่คนหนึ่งควรมีต่อศิษย์น้องเล็กเลยนะ”
จั่วโย่วส่ายหน้า “ข้าไม่เคยยอมรับเรื่องนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากอิงตามกฎเกณฑ์สายบุ๋นของลัทธิเต๋า หากไม่แขวนภาพเหมือนของบรรพจารย์ ไม่เคยจุดธูปโขกหัว เขาก็ไม่ถือว่าเป็นศิษย์น้องของข้า”
เว่ยจิ้นจึงไม่พูดอะไรอีก
เดิมทีผู้อาวุโสจั่วก็เป็นคนไม่ชอบพูดคุยอยู่แล้ว ราวกับว่าเมื่อเทียบกับการออกกระบี่ใส่ศัตรูแล้ว ให้เขาพูดหนึ่งประโยคยังเปลืองแรงเสียมากกว่า
จั่วโย่วและเว่ยจิ้น เซียนกระบี่สองท่าน คนหนึ่งมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อีกคนหนึ่งมาจากแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งจั่วโย่วก็ออกห่างจากสายตาของโลกมนุษย์ไปแล้ว เหมือนวิญญาณเร่ร่อนที่ล่องลอยอยู่บนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไม่เคยหยุดอยู่นิ่งกับที่มานานเป็นเวลาร้อยกว่าปี เดิมทีคนทั้งสองก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน นอกเสียจากว่าต่างก็รู้จักอาเหลียง และเฉินผิงอัน
ทั้งวิชากระบี่และนิสัยใจคอของเว่ยจิ้นล้วนถูกตาจั่วโย่ว เว่ยจิ้นคนหนุ่มที่เคยได้รับบุญคุณที่ไม่เล็กจากอาเหลียงผู้นี้ถือเป็นบุคคลที่เหลืออยู่จำนวนไม่มากในบรรดาผู้ฝึกกระบี่มากมายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จั่วโย่วยินดีจะพูดด้วยหลายคำหน่อย
แต่เว่ยจิ้นก็เป็นเพียงแค่เซียนกระบี่ที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้ไม่นาน ย้อนกลับมามองจั่วโย่วที่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าแล้ว เว่ยจิ้นเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสก็สมควรอย่างยิ่ง
เว่ยจิ้นรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย
ในใจผู้ฝึกกระบี่ทุกคนล้วนมีเซียนกระบี่คนหนึ่งที่ตัวเองเลื่อมใสมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่นหอเทพเซียนของสวนลมหิมะ อาจารย์ที่ตบะไม่สูง แต่กลับทำให้เว่ยจิ้นเคารพนับถือมาได้ตลอดชีวิตผู้นั้นก็เลื่อมใสยกย่องหลี่ถวนจิ่งที่ใช้กำลังของคนคนเดียวสยบภูเขาตะวันเที่ยงมาโดยตลอด ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดตอนมีชีวิตอยู่ก็คือหวังว่าจะมีโอกาสได้ถามกระบี่กับหลี่ถวนจิ่ง ต่อให้หลี่ถวนจิ่งจะพูดด้วยแค่คำเดียว ก็ถือว่าชีวิตนี้ไม่เหลือความเสียดายใดๆ แล้ว เสียดายที่อาจารย์หน้าบาง ตบะต่ำ จึงไม่เคยทำความปรารถนาให้เป็นจริงได้ รอจนเว่ยจิ้นออกท่องยุทธภพแล้วได้เจอกับ ‘มือดาบ’ สวมงอบผู้นั้นโดยบังเอิญ เขาก็ปิดด่านฝ่าขอบเขต คิดจะใช้สถานะลูกศิษย์ของอาจารย์ และมาดของเซียนกระบี่ไปถามกระบี่กับสวนลมฟ้า ทว่าหลี่ถวนจิ่งกลับลาจากโลกนี้ไปแล้ว
สำหรับเว่ยจิ้นแล้ว ชีวิตของตนมักเป็นเช่นนี้เสมอ อะไรที่ไม่ต้องการ บางทีอาจกรูกันเข้ามาหา อะไรที่ไขว่คว้าอย่างยากลำบาก มักจะจากไปในชั่วพริบตา ยิ่งเดินก็ยิ่งออกห่างไปไกล
โชคดีที่พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว สภาพจิตใจของเว่ยจิ้นก็เปิดกว้าง
ที่นี่มีผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่อาศัยอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพังมานานหมื่นปี มีคนบนเส้นทางเดียวกันที่จากอุตรกุรุทวีปมากระโจนเข้าหาความตายด้วยความกล้าหาญ แน่นอนว่าก็ยังมีผู้อาวุโสจั่วที่วิชากระบี่สูงถึงขีดสุดจนราวกับว่าเหนือกว่าผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในใต้หล้าไพศาลไปแล้วระดับใหญ่
การต่อสู้ครั้งก่อนหน้านี้ จั่วโย่วสะพายกระบี่บุกเข้าไปในพื้นที่ใจกลางของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ ใช้ปราณกระบี่บนร่างเปิดทางให้ตัวเองตามใจปรารถนา ไม่จำเป็นต้องออกกระบี่ แค่สมบัติอาคมขยับเข้ามาใกล้ร่างก็แตกกระจายเป็นผุยผงไปเองก่อนแล้ว
จนกระทั่งไปเจอกับปีศาจใหญ่ที่ตัวเองหมายตา จั่วโย่วถึงได้เริ่มเปิดฉากต่อสู้อย่างจริงจัง
การต่อสู้ของเทพเซียนในครั้งนั้น มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนตกร่างแหเดือดร้อนไปด้วย แต่ถึงอย่างไรในรัศมีร้อยลี้ก็ล้วนเป็นเผ่าปีศาจทั้งนั้น
เป็นท่วงท่าสง่างามที่ชวนตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
เพียงแค่ศึกนี้ก็ทำให้จั่วโย่วกลายเป็นคนต่างถิ่นที่ได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด
หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลง จั่วโย่วมานั่งดื่มเหล้าบนหัวกำแพงเพียงลำพัง หลังจากที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เฉินชิงตูปรากฎตัวก็เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘แค่วิชากระบี่สูง ยังไม่พอ’
ต่อให้เผชิญหน้ากับเสาเทพค้ำยันมหาสมุทรที่อาเหลียงเรียกด้วยความเคารพว่าพี่ใหญ่เซียนกระบี่ผู้นี้ จั่วโย่วก็ยังตอบรับแค่ประโยคเดียว ‘นั่นก็เพราะวิชากระบี่ยังสูงไม่มากพอ’
ตอนนั้นเฉินชิงตูที่เอาสองมือไพล่หลังหันหลังกลับเดินจากไปพลางส่ายหน้ายิ้มกล่าว ‘เหตุใดซิ่วไฉเฒ่าที่รู้จักพลิกแพลงเป็นที่สุดผู้นั้น ถึงได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเจ้าออกมาได้นะ’
จั่วโย่วคร้านจะพูดด้วย
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะเขาสู้ผู้เฒ่าคนนี้ไม่ได้
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงใช้กระบี่พูดคุยไปแล้ว จะได้ทำให้นักโทษหมื่นปีที่มีความอาวุโสสูงที่สุดผู้นี้รู้จักมีความเกรงใจยามพูดถึงอาจารย์ของตนเสียบ้าง
เว่ยจิ้นก้มหน้าจ้องมองฝ่ามือที่แบออก ยิ้มกล่าวว่า “การต่อสู้ครั้งแรก เฉินผิงอันชนะแล้ว ชนะอย่างสบายมาก คู่ต่อสู้คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง”
จั่วโย่วเงียบไปครู่หนึ่ง ยังคงไม่ลืมตา เพียงแค่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร?”
จั่วโย่วนึกว่าผู้อาวุโสจั่วรังเกียจที่ขอบเขตคู่ต่อสู้ของเฉินผิงอันต่ำเกินไป จึงเอ่ยว่า “การต่อสู้ครั้งที่สองก็คือโอสถทองหนุ่มคนหนึ่ง”
คิดไม่ถึงว่าจั่วโย่วจะยิ่งขมวดคิ้วมุ่น “เพิ่งจะสิบปี? สิบปีแล้วกระมัง? สิบปีก็สามารถเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรได้แล้วหรือ?”
อารมณ์ของเว่ยจิ้นซับซ้อนเล็กน้อย
ผู้อาวุโสจั่วไม่มีความมั่นใจในตัวศิษย์น้องเล็กของตัวเองคนนั้นเกินไปหน่อยหรือไม่?
และไม่นานเว่ยจิ้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าตอนที่จั่วโย่วไปขอเป็นศิษย์ในสำนักของซิ่วไฉเฒ่า ขอบเขตของเขาไม่สูงเท่าไรจริงๆ อีกทั้งยังไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดด้วย
จั่วโย่วเอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้าไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์การต่อสู้ของทางฝั่งนั้นแล้ว”
เว่ยจิ้นจึงก้มหน้ามองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือของตัวเองต่อไปเพียงลำพัง
จั่วโย่วใช้ปณิธานกระบี่ที่เปี่ยมล้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาขัดเกลาปณิธานกระบี่ของตัวเองต่ออีกครั้ง
ตอนที่อายุยังน้อยไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แบ่งสมาธิมาที่เรื่องการฝึกวรยุทธและฝึกกระบี่ ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
เมื่อผ่านเรื่องราวมามากมายแล้วหันกลับไปเรียนหนังสืออีกครั้ง ก็ยากที่จะรับหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายธรรมดาเหล่านั้นมาได้
ในสมองคิดแต่ว่าจะอยู่ร่วมวิถีของโลกใบนี้อย่างกลมกลืนได้อย่างไร เลือกไปเลือกมา ความรู้ที่เอามาใช้ประโยชน์ได้ ความรู้ที่สามารถคลี่คลายปัญหาเร่งด่วนดั่งไฟลามไหม้ขนคิ้วได้ จึงจะเป็นความรู้ที่ดีที่ผู้คนให้การยอมรับ ความรู้เช่นนี้ต่อให้รู้มากแค่ไหน สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว แน่นอนว่ายังพอจะมีประโยชน์ที่ไม่น้อยอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรเมื่อเป็นมนุษย์ก็ยังต้องมีสถานที่ที่ทำให้ตัวเองสบายใจเหมือนอยู่บ้าน แต่สำหรับลูกศิษย์ของอาจารย์ตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายผู้นั้น…กลับมีความหมายไม่มากแล้ว
เว่ยจิ้นเงียบงันไปนาน หลังจากชมการต่อสู้ครั้งที่สองแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเล็กน้อยจากจั่วโย่วที่อยู่ข้างกายก็อดไม่ไหวถามว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสจั่วยังมีห่วงให้พะวงถึง เหตุใดแค่ไปพบหน้าเขาสักครั้งก็ยังไม่ยอมทำ?”
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “ข้าบอกแล้วว่า ข้าไม่ยอมรับว่าเขาเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า”
คนหนุ่มผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ตนได้ เป็นศิษย์น้องของฉีจิ้งชุนได้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาคือศิษย์น้องเล็กในใจของเขาจั่วโย่ว
ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขาจั่วโย่วถึงได้เรียกตัวเองว่าศิษย์พี่ใหญ่ มองชุยฉานที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งไร้ตัวตน?
ถอยไปพูดหมื่นก้าว ในใต้หล้านี้มีศิษย์น้องเล็กคนใดบ้างที่เอาแต่คลอเคลียแนบชิดภรรยาตัวเอง แต่ทิ้งศิษย์พี่ใหญ่ไว้ด้านข้างไม่สนใจ
ข้าไม่เห็นเจ้าเป็นศิษย์น้อง ก็มีเหตุผลให้เจ้ากล้าไม่เห็นข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ด้วยอย่างนั้นหรือ?
เว่ยจิ้นชมศึกอยู่ไกลๆ เงียบๆ
จั่วโย่วพลันลืมตาขึ้น แล้วก็หรี่ตาลง ทอดสายตามองไกลไปยังถนนใหญ่เส้นนั้น
เว่ยจิ้นกลั้นขำ ไม่เอ่ยอะไร
เวลานี้เป็นเวลาที่ลูกหลานตระกูลฉีผู้นั้นชักกระบี่ออกจากฝักพอดี
เพียงไม่นานจั่วโย่วก็ปิดตาลงอีกครั้ง
เว่ยจิ้นยิ้มอย่างเข้าใจ
สายของเหวินเซิ่งนั้นมีเหตุผลที่สุดแล้ว
……
พื้นที่แห่งอื่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้เท้าอิ่นกวานทะยานลมมายังด้านล่างกำแพงเมือง แล้วก็กระโดดผลุงเหยียบขึ้นไปบนตัวกำแพง เดินไต่ขึ้นสู่ด้านบน
ฝีเท้านั้นมองดูเหมือนไม่เร็ว แต่เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีก็มาถึงหัวกำแพง เซียนกระบี่อายุมากท่านหนึ่งของอุตรกุรุทวีปที่ปักหลักอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกุมหมัดคารวะ
ใต้เท้าอิ่นกวานพยักหน้ารับ ยืนอยู่บนหัวกำแพงทางฝั่งทิศเหนือ ก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ขยับมาทางหัวกำแพงทางทิศใต้ ดึงผมแกละทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นแล้วแกว่งไปมา ร่างค่อยๆ ทะยานขึ้นกลางอากาศช้าๆ
แต่ต่อมานางก็ขมวดคิ้ว หมุนตัวกลับอย่างไม่เต็มใจ ทะยานลมพุ่งตรงไปยังหัวกำแพงมุมหนึ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าด้วยความเร็วราวกับลูกธนู ทะเลเมฆหนาหนักเหนือศีรษะของนางถูกแรงกระเทือนจนสลายออกจากกัน พริบตาเดียวนางก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกระท่อมหลังหนึ่ง “ทำไมกัน? ข้าไม่ได้ดื่มเหล้าสักหน่อย!”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีเรื่องจะปรึกษาเจ้าหน่อย”
อิ่นกวานเอ่ย “ไม่ดื่มเหล้า ช่วงนี้ไม่มีเรี่ยวแรงให้ต่อสู้ ข้าไม่ไปทางทิศใต้”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เกเรซุกซนขนาดนี้ วันหน้าไม่คิดจะแต่งงานจริงๆ หรือไร?”
ใต้เท้าอิ่นกวานที่สวมชุดคลุมตัวโคร่งสีดำ เวลานี้เหมือนแมวน้อยสีดำที่พองขนตัวหนึ่ง
ชายแขนเสื้อใหญ่ของแม่นางน้อยโบกสะบัด เมฆสีดำล้อมวนไปทั่วกาย
ที่แท้ระหว่างที่ผู้เฒ่าพูด ร่างของเขาก็ได้ขยับมายืนอยู่ข้างกายนาง ค้อมเอวยื่นมือมากดศีรษะเล็กๆ ของนางเอาไว้แล้ว
ชุดคลุมสีดำที่สะบัดพึ่บพั่บไม่หยุดนั้นพลันแฟบลง นางก้มหน้าขยับเท้าหนี เอ่ยเสียงหนัก “มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ สิ!”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ไปเล่นที่ไหนก็ไป ไม่มีอะไรแล้ว”
นางเอ่ยอย่างเดือดดาล “เฉินชิงตู! เจ้าแกล้งข้าอย่างนั้นหรือ!”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ฟังจากน้ำเสียงของใต้เท้าอิ่นกวานพวกเรา คงจะไม่ยอมแพ้สินะ?”
สีหน้าของนางมืดทะมึน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!