ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจเอ่ยว่า “ก็แค่เถียงแพ้เท่านั้น ไม่ใช่ว่าความรู้ของเจ้าไม่ลึกซึ้งถึงแก่น แล้วก็ไม่ใช่ว่าความรู้ด้านลัทธิพุทธของพวกเจ้าไม่ดีสักหน่อย ตอนนั้นข้าก็เกลี้ยกล่อมเจ้าแล้วว่าอย่าทำเช่นนี้ เหตุใดยังต้องบากหน้ามาขออาศัยลัทธิขงจื๊อของพวกเรา ตอนนี้กลับดีนัก ต้องลำบากแล้วเห็นไหม? คิดจริงๆ หรือว่าคนคนเดียวก็สามารถกินความรู้อันเป็นรากฐานของสองลัทธิได้หมด? หากมันเป็นเรื่องดีที่ง่ายดายขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นยังต้องโต้เถียงกันไปอีกทำไม สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะความสามารถในการไกล่เกลี่ยของมรรคาจารย์เต๋าศาสดาพุทธล้วนสูงไม่พอหรอกหรือ? อีกอย่าง เจ้าก็แค่เถียงไม่เก่ง แต่ต่อสู้เก่งมากนี่นา น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”
คำพูดประโยคนี้หากดังเข้าหูลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อในสถานศึกษาศาลบุ๋น อาจฟังดูเนรคุณ เหมือนคนคิดทรยศต่อลัทธิของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็เห็นคนอื่นดีกว่าคนของตัวเอง
อริยะลัทธิขงจื๊อที่หลังจากพ่ายแพ้ในการอภิปรายจึงเปลี่ยนสำนักใหม่ผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยามที่ไร้ขีดจำกัด ก็คืออิสระเสรี”
คำพูดง่ายๆ ประโยคเดียว กลับชักนำให้ฟ้าดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่เปลี่ยนสี เพียงแต่ว่าไม่นานก็ถูกปราณกระบี่บนหัวกำแพงเมืองสลายภาพเหตุการณ์ประหลาดนั้นไป
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า ถอนหายใจเฮือกๆ แล้วร่างของเขาก็พุ่งวูบขยับมาอยู่ข้างกระท่อม เฉินชิงตูผายมือออกมา ยิ้มกล่าวว่า “เหวินเซิ่งเชิญนั่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืนมา เอ่ยว่า “ศาลบุ๋นต้องการยืมตัวคนสามคนจากเจ้า”
เฉินชิงตูถาม “ทำไมถึงเป็นเจ้าที่มา? ไม่ใช่หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งที่น่าจะถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรมมากกว่า แล้วก็ไม่ใช่รองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง?”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า “ก็ข้าหน้าหนาไงล่ะ พวกเขามาแล้วก็มีแต่จะต้องหน้าหงายกลับไป”
เฉินชิงตูส่ายหน้า “ไม่ให้ยืม”
ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำว่า “แบบนี้ไม่ค่อยประเสริฐแล้ว”
……
จั่วโย่วเดินมาหยุดอยู่นอกกระท่อม
ผ่านไปไม่นานเท่าไร ซิ่วไฉเฒ่าก็เดินออกมาจากกระท่อมด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “คุยยาก แต่ต่อให้คุยยากแค่ไหนก็ยังต้องคุย”
จั่วโยวถาม “อาจารย์จะไปจากที่นี่เมื่อไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าเกาหัว “ถึงอย่างไรก็ต้องลองดูอีกหน่อย หากคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็จนปัญญาแล้ว หากถึงเวลาต้องไปก็ยังต้องไป ช่วยไม่ได้ ชีวิตนี้เกิดมามีชะตาเหนื่อยยาก มีชะตาที่ต้องเป็นแพะรับบาปแทนคนอื่น”
จั่วโย่วเอ่ย “ไม่ไปพบเฉินผิงอันสักหน่อยหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดอย่างเดือดดาล “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”
จั่วโย่วจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ไม่เสียแรงที่เป็นบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของสายเหวินเซิ่ง
ดูเหมือนซิ่วไฉเฒ่าจะรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ จึงตบไหล่จั่วโย่ว “จั่วโย่วเอ๋ย ในที่สุดอาจารย์กับบัณฑิตที่เจ้าค่อนข้างเคารพผู้นั้นก็บุกเบิกเส้นทางสายหนึ่งร่วมกันได้สำเร็จแล้ว ที่นั่นคืออาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลของใต้หล้าลำดับที่ห้าเชียวนะ ไม่ว่าอะไรก็มีมาก ก็มีแต่คนที่ไม่มาก วันหน้าในเวลาชั่วครู่ชั่วยามก็คงจะมีคนเพิ่มได้ไม่มากสักเท่าไร นี่ก็ตรงกับความต้องการของเจ้าพอดีไม่ใช่หรือ? ไม่ไปดูที่นั่นสักหน่อยหรือไร?”
จั่วโย่วส่ายหน้า “อาจารย์ ที่นี่ก็มีคนไม่มาก อีกทั้งยังดีกว่าใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งนั้นด้วย เพราะว่าที่แห่งนี้ ยิ่งเป็นช่วงหลังก็ยิ่งมีคนน้อย ไม่มีทางที่จะกรูกันเข้ามายิ่งนานวันก็ยิ่งมากคนอย่างแน่นอน”
ซิ่วไฉเฒ่าบ่นอย่างเศร้าใจ “อาจารย์อย่างข้าช่างน่าน้อยใจนัก ลูกศิษย์แต่ละคนไม่มีใครเชื่อฟังข้าเลย”
จั่วโย่วเอ่ยเสียงเบา “ก็ยังมีเฉินผิงอันไม่ใช่หรือ”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดีว่า “จั่วโย่วเอ๋ย หากเจ้ายังเอาแต่พูดแทงใจดำอาจารย์อยู่อย่างนี้คงไม่ค่อยเข้าทีแล้วนะ”
จั่วโย่วกล่าวอย่างกังขา “ทำไมการที่อาจารย์จะไปพบหน้าเฉินผิงอันถึงไม่เหมาะ?”
ซิ่วไฉเฒ่าทั้งยิ้มทั้งขมวดคิ้ว สีหน้าจึงแปลกประหลาดยิ่ง “ได้ยินว่าศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนนั้นเพิ่งจะสร้างศาลบรรพจารย์ขึ้นที่ภูเขาบ้านเกิด แขวนภาพเหมือนของข้าเอาไว้ตรงกลาง สูงที่สุด อันที่จริงไม่ค่อยเหมาะเท่าไร แค่แอบแขวนไว้ในห้องหนังสือก็ได้แล้วนี่นา ข้าไม่ใช่คนที่พิถีพิถันในเรื่องเล็กน้อยสักหน่อย เจ้าก็เห็นว่าปีนั้นศาลบุ๋นยกรูปปั้นข้าออกไป อาจารย์อย่างข้าเคยถือสาไหม? ไม่ถือสาเลยสักนิด ชื่อเสียงเกียรติยศจอมปลอมบนโลกเป็นสิ่งฉาบฉวยไร้ต้นสายปลายเหตุ ประหนึ่งถั่วลิสงโรยเกลือที่กินแกล้มเหล้าคำแล้วคำเล่า”
จั่วโย่วเอ่ย “รบกวนอาจารย์ช่วยหุบรอยยิ้มบนหน้าหน่อย”
ซิ่วไฉเฒ่าร้องอ้อหนึ่งที สังเกตเห็นว่าตาเฒ่าเหยาผู้นั้นไม่ได้อยู่บนหัวกำแพงเมืองแล้ว เขาจึงขยี้แก้มตัวเอง กระโดดตัวสูง พลิกหลังมือตบป้าบเขาที่หัวของจั่วโย่ว “ยังจะมีหน้ามาพูดว่าคนอื่นพูดจาไร้สาระ เจ้าเองก็มีแต่คำพูดไร้สาระเป็นกระบุงโกยไม่ใช่หรือไร ในบรรดาลูกศิษย์ก็เจ้านี่แหละที่ทึ่มที่สุด”
จั่วโย่วรู้สึกจนใจเล็กน้อย “ถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสในครอบครัวของหนิงเหยา ศิษย์ย่อมทำอะไรไม่สะดวกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างกังขา “ข้าเองก็ไม่ได้บอกว่าการที่เจ้าเก็บมือเก็บเท้าเป็นสิ่งที่ผิดนี่นา ไม่ต้องขยับมือเท้า แต่ปราณกระบี่ของเจ้ามีมากขนาดนั้น บางครั้งไม่ทันระวัง ควบคุมไม่ได้สักเสี้ยวครึ่งเสี้ยว ปล่อยให้มันวิ่งเข้าไปหาตาเฒ่าเหยา หากตาเฒ่าเหยาโวยวาย พวกเจ้าสองคนก็ถือโอกาสคล้อยตามสถานการณ์ไปประลองฝีมือกันดู ต่างคนต่างได้ผลประโยชน์ เอาชนะตาเฒ่าเหยาได้ เจ้าค่อยเอ่ยประจบคนเขาดังๆ อีกสักสองสามคำ เรื่องก็จบลงอย่างงดงามแล้ว แค่นี้เจ้าก็ไม่เข้าใจหรือ?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ “ศิษย์โง่เขลา อาจารย์พูดมีเหตุผล”
ซิ่วไฉเฒ่าหมุนตัวได้ก็วิ่งไปทางกระท่อม “คิดถึงเหตุผลบางอย่างขึ้นมาได้ ลองไปต่อรองราคาดูอีกสักหน่อย”
จั่วโย่วจึงเดินมาข้างหัวกำแพง
ครู่หนึ่งต่อมา ซิ่วไฉเฒ่าก็เดินถอนหายใจเฮือกๆ มาหยุดอยู่ข้างกายจั่วโย่ว
จั่วโย่วถาม “อาจารย์ ท่านว่าพวกเราที่ยืนอยู่บนฝุ่นเม็ดหนึ่งแล้วเดินไปยังฝุ่นอีกเม็ดหนึ่ง จะถือเป็นขีดจำกัดของผู้ฝึกตนแล้วหรือเปล่า”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ต้นไม้หนึ่งต้นกับต้นไม้อีกต้นมักจะทักทายกันท่ามกลางสายลม ภูเขาหนึ่งลูกกับภูเขาอีกลูกอยู่ร่วมกันอย่างเงียบงันไร้สำเนียงมานานร้อยปีพันปี ลำคลองสายหนึ่งกับลำคลองสายหนึ่ง เมื่อเติบใหญ่แล้วก็จะมาชนกัน เมื่อมองดูสรรพสิ่งเงียบๆ ก็มักจะหาความสำราญให้กับตนได้เสมอ”
จั่วโย่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ขออาจารย์โปรดพูดให้เข้าใจง่ายสักหน่อยเถิด”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ก็อาจารย์ไม่รู้คำตอบของปัญหาข้อนั้นของเจ้านี่นา ก็เลยได้แต่หาประโยคอื่นมาทำให้เจ้าสับสนแทน”
จั่วโย่วหมดคำพูด
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างปลงปนิจจังว่า “ตระกูลเซียนนั่งอยู่บนยอดเขา เส้นทางในโลกมนุษย์ย่อมเปื้อนเปรอะไปด้วยดินโคลน”
จั่วโย่วเอ่ย “อาจารย์กำลังตำหนิศิษย์”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ข้ากำลังเรียกร้องอริยะปราชญ์และวีรบุรุษผู้กล้าต่างหาก”
จากนั้นจั่วโย่วก็ชมทัศนียภาพร่วมกับอาจารย์ของตัวเองไปอีกตลอดทั้งคืนโดยที่ไม่เอ่ยอะไรอีก
เมื่อฟ้าสว่าง ซิ่วไฉเฒ่าก็หมุนตัวเดินไปที่กระท่อม พลางเอ่ยว่า “หากครั้งนี้ไม่อาจโน้มน้าวเฉินชิงตูได้ ข้าก็คงต้องไสหัวไปแล้วจริงๆ”
จั่วโย่วรอคอยคำตอบอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา ยามเที่ยงวัน ซิ่วไฉเฒ่าก็เดินลูบหนวดออกมาจากกระท่อมเงียบๆ
จั่วโย่วเอ่ยเสียงเบา “เฉินผิงอันจะไปสู่ขอที่จวนหนิง ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ตอบตกลงแล้วว่าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้”
ซิ่วไฉเฒ่าอึ้งตะลึง จากนั้นก็ตีอกชกตัว “ตาแก่อย่างเฉินชิงตูนี่หน้าไม่อายเอาซะเลย! เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย เห็นว่าอาจารย์อย่างข้าตายไปแล้วหรือไร ก็ได้ ต่อให้ข้าร่อแร่ใกล้ตาย…”
เสียงปังดังขึ้นหนึ่งที
เรือนกายของซิ่วไฉเฒ่าที่เดิมทีล่องลอยไม่หยุดนิ่งก็กลายเป็นเงามายากลุ่มหนึ่งที่หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าอยู่ดีๆ ก็หายไปจากใต้หล้าแห่งนี้
จั่วโย่วหรี่ตาลง มือจับด้ามกระบี่ หันหน้ามาทางกระท่อม
ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็มีแรงสั่นริ้วกระเพื่อมบางเบาเกิดขึ้น ซิ่วไฉเฒ่าหยุดยืนนิ่ง ท่าทางดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางอย่างเห็นได้ชัด เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมาตบแขนข้างที่กำกระบี่ของจั่วโย่วเบาๆ
จั่วโย่วยังคงไม่ปล่อยด้ามกระบี่
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ช่างเถอะ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว”
เฉินชิงตูปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูกระท่อม ยิ้มถามว่า “เจ้าคิดจะเล่นแง่ไม่ยอมจากไปอยู่แบบนี้น่ะหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!