กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 581

เตี๋ยจ้างมองไปทางนอกร้าน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บัณฑิตของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้มีไม่มากจริงๆ ที่นี่ไม่มีโรงเรียนอะไร แล้วก็ไม่มีอาจารย์สอนหนังสือ เด็กๆ จากตรอกเก่าโทรมที่มีชาติกำเนิดอย่างนางเตี๋ยจ้าง มักจะรู้จักตัวอักษรได้ด้วยการจำตัวอักษรน้อยใหญ่บิดๆ เบี้ยวๆ บนป้ายศิลาที่ตั้งอยู่ตามมุมตามตรอกเล็กแคบของถนนน้อยใหญ่ แต่ละวันจะรู้จักตัวอักษรมากขึ้นทีละนิด นานวันเข้า หากตั้งใจจริงๆ ก็สามารถอ่านหนังสือออก ส่วนความรู้ที่มากกว่านั้น ก็แค่ไม่มีเท่านั้น

แม้ว่าหนิงเหยาจะไม่เคยพบเหวินเซิ่งมาก่อน แต่ก็ยังพอจะเดาตัวตนของอาจารย์ผู้เฒ่าออก ตอนนี้นางไม่ได้รู้สึกอะไรลึกซึ้งนัก ความรู้สึกเดียวก็คือเขาดูไม่เหมือนในภาพเหมือนเหวินเซิ่งที่ยังไม่ถูกทำลายทิ้งซึ่งตนได้เห็นตอนเดินทางท่องไปในใต้หล้าไพศาลสักเท่าไร ภาพเหมือนในตำราเหล่านั้นไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นภาพครึ่งตัวหรือภาพเต็มตัวก็ล้วนวาดเหวินเซิ่งให้ดูองอาจผึ่งผาย ตอนนี้มองดูแล้ว อันที่จริงเขากลับเป็นผู้เฒ่าร่างผอมบางคนหนึ่ง

เตี๋ยจ้างรู้สึกสงสัยเล็กน้อย หนิงเหยาจึงเอ่ยว่า “พวกเราคุยเรื่องของพวกเราไป ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา”

ด้านนอก คือการกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนานซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดฝัน

นอกจากรอยยิ้มแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

ซิ่วไฉเฒ่าหันไปมองแม่นางน้อยสองคนที่อยู่ในร้าน แล้วถามเบาๆ ว่า “คนไหน?”

เฉินผิงอันตอบเสียงเบาว่า “คนที่หน้าตาดีกว่าหน่อย”

ซิ่วไฉเฒ่าเป็นปลื้มสุดขีด เขากุมหมัดวางไว้ตรงหน้าอกแล้วยกนิ้วโป้งขึ้น

เฉินผิงอันบอกให้อาจารย์ผู้เฒ่ารอสักครู่ จากนั้นตนเองก็เข้าไปในร้าน บอกกล่าวแก่เตี๋ยจ้างคำหนึ่งแล้วก็ยกเก้าอี้ออกไป ได้ยินว่าในร้านของเตี๋ยจ้างไม่มีกับแกล้มจึงถามหนิงเหยาว่าช่วยไปซื้อมาให้หน่อยได้หรือไม่ หนิงเหยาพยักหน้ารับ เพียงไม่นานก็หิ้วกล่องอาหารมาจากร้านเหล้าใกล้เคียง นอกจากกับแกล้มหลายอย่างแล้ว ยังมีครบทั้งถ้วยชาม เฉินผิงอันกับอาจารย์ผู้เฒ่ามานั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กแล้ว ใช้เก้าอี้ตัวนั้นต่างโต๊ะเหล้า มองดูแล้วชวนขบขันเล็กน้อย เฉินผิงอันลุกขึ้นเตรียมจะรับเอากล่องอาหารมาเปิดออกด้วยตัวเอง ผลกลับถูกหนิงเหยาขึงตาใส่ นางจัดวางกับแกล้มและจานชามไว้ให้เรียบร้อย แล้วจึงเอากล่องอาหารที่ว่างเปล่าวางไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เอ่ยกับซิ่วไฉเฒ่าว่า อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเชิญดื่มเหล้าให้อร่อย ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืนนานแล้ว เขายืนอยู่คู่กับเฉินผิงอัน เวลานี้ยิ่งยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง คำว่าอารมณ์ดีราวกับบุปผาผลิบานก็หนีไม่พ้นเป็นเช่นนี้เอง

หนิงเหยาเรียกเตี๋ยจ้างให้ออกจากร้านไปเดินเล่นด้วยกัน

ซิ่วไฉเฒ่าสูดเหล้าดังซู้ดเสียงดัง แล้วก็ตัวสั่นเยือกราวกับหนาว เขาสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ในที่สุดก็ได้กลับมาเป็นเทพเซียนเสียที”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าช้าๆ ยิ้มมองอาจารย์ผู้เฒ่าที่ราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงผู้นี้

ซิ่วไฉเฒ่าคีบกับแกล้มขึ้นมา เห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีความเคลื่อนไหวก็ยกตะเกียบในมือขึ้น พูดเสียงอู้อี้ว่า “รีบกินเร็วเข้า เอาแต่เลียนแบบเรื่องดื่มเหล้าอย่างเดียวไม่ได้หรอก ดื่มเหล้าโดยไม่กินกับแกล้มคู่ไปด้วยก็ไร้รสชาตินัก ปีนั้นเป็นเพราะว่าข้ายากจน ได้แต่อาศัยตำราของอริยะปราชญ์มากินต่างกับแกล้ม เจ้าตะพาบน้อยชุยฉานนั่น แรกเริ่มยังดื้อดึง เข้าใจผิดคิดว่าดื่มเหล้าไปอ่านตำราไปก็คือเรื่องที่สุภาพสง่างามจริงๆ ภายหลังถึงได้ยอมเรียนรู้เสียใหม่ ไหนเลยจะรู้ว่าหากในกระเป๋าของข้ามีเงิน ก็คงวางกับแกล้มไว้เต็มโต๊ะนานแล้ว หนังสืออริยะปราชญ์กับมารดาอะไรนั่นไปให้พ้นๆ เลย”

คนที่ด่าตัวเองได้อำมหิตที่สุด ถึงจะด่าได้อย่างมีเหตุผลที่สุด

เฉินผิงอันคีบกับแกล้มขึ้นมาเคี้ยวละเอียดแล้วกลืนช้าๆ จิบเหล้าหนึ่งคำ ท่าทางคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด

ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องให้พูดคุย แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากอย่างไร ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่พูดได้ เรื่องอะไรที่พูดไม่ได้

ซิ่วไฉเฒ่าจ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน ดื่มเหล้าไม่หยุด ก็โชคดีที่หนิงเหยาซื้อมาเยอะมากพอ

ถ้วยเหล้าของอาจารย์ผู้เฒ่าว่างเปล่าแล้ว เฉินผิงอันจึงค้อมตัวเอื้อมมือไปช่วยรินเหล้าให้

กินกับแกล้มอิ่ม ดื่มเหล้ากันไปแล้ว เฉินผิงอันก็เก็บจานกับแกล้มทั้งหมดใส่กลับลงไปในกล่องอาหาร ซิ่วไฉเฒ่าใช้ชายแขนเสื้อเช็ดคราบเหล้าที่อยู่บนเก้าอี้

ผลคือจั่วโย่วมาพลิ้วกายลงหน้าประตูร้านในชั่วพริบตา

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “มาทำไม?”

จั่วโย่วตอบ “ศิษย์อยากจะมาดูอาจารย์สักหน่อย”

ซิ่วไฉเฒ่าชี้ไปยังเก้าอี้ที่ว่างเปล่า ยิ้มพูดฉุนๆ ว่า “วิชากระบี่ของเจ้าสูงที่สุด ถ้าอย่างนั้นเจ้านั่งตรงนี้?”

จั่วโย่วชำเลืองตามองเฉินผิงอัน เฉินผิงอันจึงได้แต่ยกม้านั่งตัวเล็กที่ตัวเองนั่งให้อีกฝ่าย ลุกขึ้นเดินอ้อมไปยืนอยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่า

ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้แต่มานั่งบนเก้าอี้ ส่วนเฉินผิงอันก็นั่งลงบนม้านั่ง

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “พวกเจ้าสองคนรับศิษย์พี่ศิษย์น้องกันหรือยัง?”

จั่วโย่วกล่าว “ไม่คิดว่าต้องรับ”

เฉินผิงอันเอ่ย “เหตุผลเดียวกัน”

ซิ่วไฉเฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ย่อมต้องลำเอียงเข้าข้างลูกศิษย์คนสุดท้ายของตน ดังนั้นจึงตบเข้าที่หัวจั่วโย่วซึ่งนั่งอยู่ต่ำกว่าตนไปเล็กน้อย “เป็นศิษย์พี่ภาษาอะไรกัน ก็แค่กราบอาจารย์ขอเล่าเรียนก่อนก็เท่านั้น เจ้าร้ายกาจอะไรนัก เป็นโสดมาตั้งกี่ปีแล้ว? อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังเพียงแค่เรื่องใหญ่นี้ สายเหวินเซิ่งของพวกเรา ตอนนี้ก็ได้แต่พึ่งศิษย์น้องของเจ้าให้ช่วยประคับประคองหน้าตาแล้ว! พกกระบี่วิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ที ช่วยทำให้ผ้าห่มเจ้าอุ่นได้หรือ ช่วยยกน้ำส่งชาให้เจ้าได้หรือไร”

เฉินผิงอันพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกำแพงผู้อาวุโสจั่วคิดว่าจะสอนวิชากระบี่ให้กับผู้น้อย ผู้อาวุโสจั่วกังวลว่าผู้น้อยขอบเขตต่ำเกินไป เลยค่อนข้างจะลำบากใจ”

โดนตบอีกทีอย่างไม่ต้องสงสัย จั่วโย่วหน้าดำ ในใจคิดว่ารอให้อาจารย์ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนเถอะ ข้าจั่วโย่วจะไม่ลำบากใจเลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “แต่ตอนที่ผู้อาวุโสจั่วได้พบกับท่านผู้เฒ่าเหยา ยังช่วยหนุนหลังให้ผู้น้อยด้วย”

ซิ่วไฉเฒ่าร้องอ้อหนึ่งที หันหน้ามาพูดง่ายๆ ว่า “ฝ่ามือเมื่อครู่นี้ อาจารย์ตีผิดไป จั๋วโย่วเอ๋ย ทำไมเจ้าไม่รู้จักอธิบายบ้างเลย เป็นอย่างนี้มาแต่เล็กแต่น้อย วันหน้าต้องปรับปรุงบ้างนะ ตีเจ้าผิด เจ้าคงไม่อาฆาตอาจารย์กระมัง? หากในใจรู้สึกไม่อยุติธรรม จำไว้ว่าต้องพูดออกมานะ รู้ผิดแล้วแก้ไข แก้ไขอย่างไม่ลังเล คือความประเสริฐอันใหญ่หลวง ปีนั้นข้าก็อาศัยประโยคนี้ถึงได้ร่ายเหตุผลสูงส่งลึกล้ำออกมาได้เป็นกระบุงโกย ทำเอาพวกลูกศิษย์ลัทธิพุทธลัทธิเต๋าทั้งหลายอึ้งกันไปเลย ถูกไหม?”

แน่นอนว่าอาจารย์ต้องถูกทั้งหมด เพราะฉะนั้นจั่วโย่วจึงปิดปากสนิท แต่ตัดสินใจแล้วว่าจะสอนวิชากระบี่ให้เจ้าเด็กนี่สองครั้ง แค่ครั้งเดียวไม่พอแน่

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยา คิดถึง…อาจารย์มาตลอด”

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเรียกอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอย่างเรียบง่ายว่าอาจารย์

ซิ่วไฉเฒ่าแผดเสียงเรอดังเอิ้ก แล้วทำท่าเงี่ยหู แสร้งกล่าวอย่างสงสัยว่า “ใคร อะไรนะ? พูดอีกรอบสิ”

จั่วโย่วกลอกตามองบน

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ศิษย์พี่เหมาคิดถึงอาจารย์มาก”

ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามา ฟุบตัวลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้ มองเฉินผิงอัน ยิ้มร่าเอ่ยว่า “เสี่ยวตงน่ะหรือ ยินดีใช้วิธีที่โง่ที่สุดอบรมสั่งสอนคนที่สุด มีความอดทนเป็นเลิศ เหมือนข้าที่สุด แต่ก็ไม่ต่างกับจั่วโย่วสักเท่าไร บทจะดื้อขึ้นมาก็รั้งไม่อยู่ ปีนั้นขาดก็แค่ข้าไม่ได้จับเหมาเสี่ยวตงมัดยัดใส่กระสอบป่าน แล้วโยนเขาไปที่สถานศึกษาหลี่จี้ก็เท่านั้น ข้าอุตส่าห์ยอมขายขี้หน้าแก่ๆ ของตัวเอง แอบไปช่วยปูทางหาเส้นสายช่วยเขา เขาดันไม่ไป ข้าที่เป็นอาจารย์ก็จนปัญญาแล้วจริงๆ”

จั่วโย่วพลันเอ่ยว่า “ทำไมปีนั้นไม่ยินดีรับอาจารย์เป็นอาจารย์ ตอนนี้ขอบเขตสูงแล้ว กลับกลายเป็นยอมรับอาจารย์แล้ว?”

เฉินผิงอันตอบ “ปีนั้นข้าไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน อาศัยอะไรมารับอาจารย์ อาศัยว่าอาจารย์คือเหวินเซิ่งงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นหากปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าข้า พวกเขายินดีรับข้าเป็นศิษย์ ข้าก็ต้องยอมด้วย? อาจารย์ยินดีรับลูกศิษย์ ก่อนที่ลูกศิษย์จะเข้าสำนักก็ต้องเลือกอาจารย์ได้! อ่านตำราของสามลัทธิร้อยสำนักมาแล้วก็เหมือนการเปรียบเทียบของสามร้านนั่นแหละ สุดท้ายเมื่อแน่ใจว่าความรู้ของอาจารย์ดีที่สุดจริงๆ ข้าถึงได้ยอมรับ ต่อให้อาจารย์เปลี่ยนใจไม่รับข้าเป็นศิษย์แล้ว ตัวข้าเองก็จะยังคอยกราบอาจารย์ขอศึกษาความรู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แบบนี้ถึงจะถือว่าจริงใจจริงๆ”

จั่วโย่วอึ้งไปนาน

เคยเห็นคนหน้าไม่อายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครหน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน เจ้าเด็กเฉินผิงอันนี่ บ้านเจ้าเปิดร้านขายเหตุผลหรือไร?

สามครั้ง!

ซิ่วไฉเฒ่าเตะจั่วโย่วหนึ่งที “มัวนั่งอึ้งอยู่ทำไม เอาเหล้ามาสิ”

จั่วโย่วกล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ ข้าไม่ชอบดื่มเหล้าสักหน่อย อีกอย่างบนร่างของเฉินผิงอันก็มีเหล้าตั้งเยอะ”

“จั่วโย่วเอ๋ย ก็เจ้าเป็นโสดน่ะสิ ติดหนี้อะไรก็ไม่ต้องกลัว”

ซิ่วไฉเฒ่าใช้น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดีเอ่ยหลักการเหตุผลโน้มน้าวใจคน ค่อยๆ หลอกล่อไปทีละนิดว่า “แต่ศิษย์น้องเล็กของเจ้ากลับไม่เหมือนกัน เขามีทั้งภูเขาเป็นของตัวเอง แล้วอีกเดี๋ยวก็ต้องสู่ขอภรรยาแล้ว นี่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากแค่ไหน? ปีนั้นเจ้าช่วยดูแลเรื่องเงินทองให้อาจารย์ จะไม่รู้ถึงความลำบากในการหาเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวได้หรือ? เอามาดของศิษย์พี่ออกมาใช้เสียบ้าง อย่าให้คนอื่นดูแคลนสายของพวกเรา ไม่เอาสุรามาดื่มคารวะอาจารย์ก็ได้ ไป เจ้าไปตะโกนอยู่ที่หัวกำแพงนั่น บอกไปว่าตัวเองคือศิษย์พี่ของเฉินผิงอัน หลีกเลี่ยงไม่ให้อาจารย์ไม่อยู่ที่นี่แล้วศิษย์น้องของเจ้าถูกคนรังแก”

จั่วโย่วแสร้งทำตัวเป็นหูหนวกเป็นใบ้

ในชีวิตของการขอศึกษาเล่าเรียนในอดีต นี่ก็คือการต่อต้านที่ใหญ่ที่สุดที่จั่วโย่วมีต่ออาจารย์ของตัวเองแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!