กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 582

จนกระทั่งหนิงเหยาและเตี๋ยจ้างกลับมาที่ร้านอีกครั้ง เตี๋ยจ้างก็พลันหยุดเดิน ไม่กล้าขยับเดินหน้าไปอีก

เพราะเตี๋ยจ้างเคารพนับถือบุรุษที่ปรากฏตัวอยู่หน้าร้านของตนโดยไม่คาดคิดอย่างมาก

อีกฝ่ายเป็นถึงเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่วที่มีชื่อเสียงด้านความเย็นชาไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใครเชียวนะ

ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปของทวีปอื่น ต่อให้ตอนอยู่บ้านเกิดจะมีนิสัยแย่แค่ไหน พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ล้วนต้องเก็บนิสัยร้ายๆ ของตัวเองไป

แต่ผู้อาวุโสจั่วกลับไม่เหมือนกัน ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินในท้องถิ่นที่ปักหลักอยู่บนหัวกำแพงเมืองคนหนึ่งพยายามที่จะถามกระบี่กับจั่วโย่วที่ถูกมองว่าเป็นบุคคลที่มีวิชากระบี่สูงที่สุดในใต้หล้าศาล ผลกลับกลายเป็นว่าผู้อาวุโสจั่วเอ่ยกับเขาเพียงประโยคเดียวว่า ‘วิชากระบี่ของข้า เจ้าทำตามไม่ได้ แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เจ้าสามารถเรียนรู้ไปจากข้าได้ หากสู้ไม่ชนะ ก็อย่าสู้เลยจะดีกว่า’

ตอนนั้นใต้เท้าอิ่นกวานที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยคล้อยตามไปด้วยว่า ‘ดูเหมือนว่าจะใช่นะ’

การประลองบนหัวกำแพงที่เดิมทีเป็นที่จับตามองของผู้คนมากมาย สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้น

เวลานี้หลังจากความตกตะลึงผ่านพ้นไป เตี๋ยจ้างก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้อีกครั้ง เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้เก็บปราณกระบี่ลงไป เพราะคนทั้งเมืองล้วนรู้กันดีว่า เซียนกระบี่จั่วโย่วจะต้องมีปราณกระบี่ล้อมวนอยู่รอบกายตลอดเวลา ท่ามกลางศึกใหญ่ ใช้ปราณกระบี่เปิดทางบุกลึกเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจเป็นเช่นนี้ ยามที่ขัดเกลาปณิธานกระบี่อยู่บนหัวกำแพงเพียงลำพังก็เป็นเช่นนี้

แต่วันนี้ผู้ที่มีวิชากระบี่สูงที่สุดในใต้หล้าไพศาล กลับเก็บปราณกระบี่ทั้งหมดบนร่างลงไป ไม่ปล่อยออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หนิงเหยาจึงพาเตี๋ยจ้างออกไปเดินเล่นต่ออีกครั้ง

หนิงหยารู้ว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจากไปแล้ว นางถึงได้กลับมา คิดไม่ถึงว่าจั่วโย่วจะยังไม่จากไป

ก่อนที่อาจารย์ผู้เฒ่าจะจากไปยังตั้งใจมาบอกกล่าวนางโดยเฉพาะ อีกทั้งยังเอ่ยขอบคุณนาง อันที่จริงตอนนี้หนิงเหยาก็ยังสับสนอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าตัวเองมีเรื่องอะไรที่ถึงกับต้องให้ผู้อาวุโสเหวินเซิ่งมาเอ่ยขอบคุณ

เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างเฉินผิงอันกับจั่วโย่ว หนิงเหยาไม่รู้ความคิดของพวกเขาแต่ละคน ดังนั้นจึงไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับจั่วโย่วให้เฉินผิงอันฟัง

ไม่ว่านางพูดอะไรก็ไม่เหมาะ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต เฉินผิงอันก็ย่อมมีความคิดเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นางหนิงเหยาไปชี้ไม้ชี้มือบงการ แม้แต่ช่วยวางแผนให้ก็ยังไม่ต้อง

เตี๋ยจ้างข่มกลั้นความอยากรู้อยากเห็นในใจไว้ไม่ไหวจริงๆ พอเดินจากมาไกลแล้วจึงใช้ริ้วทะเลสาบหัวใจสอบถามหนิงเหยา “เฉินผิงอันรู้จักเซียนกระบี่ใหญ่จั่วหรือ?”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “รู้จักมานานแล้ว”

ในบันทึกภูเขาสายน้ำเล่มนั้นของเฉินผิงอันก็มีเขียนไว้ อีกทั้งยังเป็นบทที่ไม่เล็กด้วย

เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?”

หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่ได้”

เตี๋ยจ้างกระตุกชายแขนเสื้อของหนิงเหยาแล้วแกว่งเบาๆ ท่าทางออดอ้อนอย่างชัดเจน พูดอย่างน่าสงสารว่า “พี่หญิงหนิง เล่าเรื่องอะไรก็ได้ ถึงอย่างไรก็น่าจะมีอะไรที่เล่าได้บ้างแหละ”

หนิงเหยาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้าไปถามจากเฉินผิงอันเองดีกว่า เขาวางแผนว่าจะเปิดร้านร่วมกับเจ้า เจ้าก็เอาเรื่องนี้ไปเป็นเงื่อนไข อย่าเพิ่งตอบตกลงเขา”

เตี๋ยจ้างใคร่ครวญความนัยในถ้อยคำนี้ได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าหนิงเหยากำลังขุดหลุมพรางใส่ตน เตี๋ยจ้างจึงพูดยิ้มๆ ปนฉุนว่า “ข้าไม่คิดจะตกลงทำการค้าร่วมกับเขาสักหน่อย หนิงเหยา ท่านหยุดแต่พอสมควรเลยนะ”

หนิงเหยายิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าเห็นคนนอกดีกว่าจริงๆ แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันพูดถูก เจ้าไม่มีไหวพริบในการทำการค้ามากพอ หากเปลี่ยนมาเป็นเขา รับรองว่าจะเป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว มีเงินทองไหลมาเทมาอย่างแน่นอน”

เตี๋ยจ้างขมวดคิ้ว ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

หนิงเหยาชำเลืองตามองนางก็รู้ทันทีว่าในใจนางคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยอธิบายว่า “บนร่างของเฉินผิงอันมีวัตถุฟางชุ่นหนึ่งชิ้น วัตถุจื่อชื่อสองชิ้น นอกจากเหล้าทั่วไปของบ้านเกิดและแผ่นไม้ไผ่กองใหญ่แล้วก็แทบไม่ได้พกอะไรมาอีก หากแค่คิดจะขายของเล็กๆ น้อยๆ คิดจะหาเงินเทพเซียนไปจากมือของผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราเลียนแบบพวกพ่อค้ามากมายที่นั่งเรือข้ามทวีปมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ เขาเฉินผิงอันก็ไม่มีทางย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้เสียเปล่าเช่นนี้ ป่านนี้คงยัดของมาจนเต็มแน่นแล้ว ดังนั้นการที่เฉินผิงอันอยากจะทำการค้าร่วมกับเจ้า หวังแค่เงินที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ก็แค่เกิดจากความเคยชินเท่านั้น เพราะเฉินผิงอันชอบหาเงินมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่แค่ชอบมีเงินอย่างเดียวเท่านั้น ข้อนี้ข้าจำเป็นต้องพูดทวงความเป็นธรรมให้เฉินผิงอัน”

เตี๋ยจ้างรู้สึกโล่งอก กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง “แบบนี้ก็ดี ไม่อย่างนั้นข้าก็คงด่าว่าเขาถูกน้ำมันหมูบดบังหัวใจไปแล้ว และเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันนี้ ข้าไม่รับไว้ก็ได้”

ซิ่วไฉเฒ่าเพิ่งจากไปได้ไม่นาน

จั่วโย่วก็โยนกาเหล้าไปวางไว้บนเก้าอี้เบาๆ แล้ว

เดิมทีเขาก็ไม่ชอบดื่มเหล้า และการที่ต้องระงับปราณกระบี่ของทั้งร่างเอาไว้ก็ยุ่งยากมากเหมือนกัน

ใต้หล้านี้คนที่รังเกียจว่าตัวเองมีปราณกระบี่มากเกินไป ก็คงมีแค่จั่วโย่วคนเดียวเท่านั้น

เฉินผิงอันยังคงจิบเหล้าคำเล็กๆ มองดูแล้วสบายอารมณ์ไม่น้อย

จั่วโย่วพูดเสียงเย็น “ไม่มีอาจารย์คอยลำเอียงเข้าข้าง แสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น ลำบากหรือไม่เล่า?”

เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดอะไร

จั่วโย่วถาม “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าอาจารย์จะมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าเชิญเฉินชิงตูให้ช่วยออกหน้า ย่อมไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้อาจารย์มาแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่เป็นฝ่ายเปิดปากพูด จะรับปากหรือไม่ก็เป็นเรื่องของอาจารย์ แต่จะถามหรือไม่ คือมารยาทของลูกศิษย์อย่างเจ้า”

เฉินผิงอันเองก็วางกาเหล้าไว้บนเก้าอี้ สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มร่างไปด้านหน้า มองถนนที่กำลังซ่อมแซมพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนนี้อาจารย์มีสภาพการณ์อย่างไร ใช่ว่าข้าจะไม่รู้เสียหน่อย จะให้ข้าเปิดปากพูดเพื่อให้อาจารย์ลำบากใจงั้นหรือ? อาจารย์ไม่ลำบากใจ แต่มโนธรรมในใจของศิษย์จะสงบได้หรือ? ต่อให้ข้าไม่รู้สึกผิด การที่สร้างปัญหาให้กับตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง ชักนำให้ศึกใหญ่ของสองฝ่ายเปิดฉากขึ้นโดยตรง พออาจารย์จากไปแล้ว จะไม่รู้สึกลำบากใจเลยจริงๆ หรือ?”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ ถือว่ายอมรับคำตอบข้อนี้แล้ว

อาจารย์มีเรื่องให้กลัดกลุ้มมากมาย ลูกศิษย์ก็ควรจะช่วยแบ่งเบาภาระ

จั่วโย่วนึกถึงเหมาเสี่ยวตงที่เรือนกายสูงใหญ่ผู้นั้นขึ้นมาได้ ความทรงจำค่อนข้างจะพร่าเลือนแล้ว จำได้แค่ว่าเขาคือคนหนุ่มที่มาขอศึกษาซึ่งมีท่าทางจริงจังตลอดเวลา ท่ามกลางลูกศิษย์มากมายที่ได้รับการบันทึกชื่อ ถือเป็นคนกลุ่มเล็กที่ไม่ฉลาดที่สุด เล่าเรียนได้อย่างเชื่องช้า ชอบที่จะถามปัญหาข้อยากกับคนอื่นมากที่สุด หัวสมองก็ช้า ชุยฉานจึงมักจะเยาะเย้ยเหมาเสี่ยวตงว่าเป็นตอไม้ทึ่มทื่อไร้สติปัญญา เขาจึงมักจะแค่ให้คำตอบ แต่ไม่เคยอธิบายอย่างละเอียด มีเพียงเสี่ยวฉีที่มีน้ำอดน้ำทนค่อยๆ อธิบายให้เหมาเสี่ยวตงเข้าใจ

จั่วโย่วเอ่ยเนิบช้าว่า “ในอดีตเหมาเสี่ยวตงไม่ยอมไปหลบภัยที่สถานศึกษาหลี่จี้ ดึงดันจะมัดตัวเองติดกับสายเหวินเซิ่ง แล้วก็จะไปสร้างสำนักศึกษาซานหยาที่แจกันสมบัติทวีปกับเสี่ยวฉี ตอนนั้นอันที่จริงอาจารย์พูดแรงมาก บอกว่าเหมาเสี่ยวตงไม่ควรเห็นแก่ตัวเช่นนี้ คิดแต่จะให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น ทำไมไม่ดึงปณิธานให้สูงขึ้นไปอีก ไม่ควรมีความคิดเหมือนชาวบ้านร้านตลาด หากสามารถใช้ความรู้ที่ใหญ่ยิ่งกว่าไปสร้างประโยชน์ให้กับวิถีทางโลกได้ จะอยู่ในสายของเหวินเซิ่งหรือไม่ก็ไม่สำคัญ จากนั้นเหมาเสี่ยวตงที่ตลอดชีวิตข้าไม่คิดจะเห็นดีในตัวเขาสักเท่าไรก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้ข้านับถืออย่างมาก ตอนนั้นเหมาเสี่ยวตงตะเบ็งเสียงเรียกอาจารย์ดังลั่น บอกว่าศิษย์เหมาเสี่ยวตงเกิดมาโง่เขลา รู้แต่ว่าควรเคารพอาจารย์ก่อน ถึงจะสามารถเคารพวิชาความรู้ได้อย่างไม่ละอาย ลำดับของทั้งสองอย่างนี้จะให้ผิดพลาดไม่ได้ อาจารย์ได้ยินแล้วก็ทั้งดีใจและเสียใจ เพียงแต่ว่าไม่บังคับให้เหมาเสี่ยวตงเปลี่ยนไปอยู่สายหลี่เซิ่งอีก”

เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าขึ้นมาดื่มอีกครั้ง “ข้าเคยไปเยือนสำนักศึกษาต้าสุยสองครั้ง ศิษย์พี่เหมาล้วนเป็นห่วงข้ามาก กลัวว่าข้าจะหลงเดินทางผิด เวลาที่ศิษย์พี่เหมาอธิบายเหตุผลก็มีมาดของอริยะลัทธิขงจื๊อและมาดของอาจารย์อย่างมาก”

จั่วโย่วหัวเราะ “นั่นก็เพราะเจ้าไม่เคยเห็นสภาพที่เขาถูกข้ารัดคอจนพูดไม่ออก พูดคุยกับอาจารย์ ต่อให้เหตุผลจะดีแค่ไหนก็ควรพ่นน้ำลายเต็มหน้าอาจารย์ เจ้าเห็นด้วยไหม? ศิษย์น้องเล็ก!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!