หลังจากที่จั่วโย่วจากไปโดยที่ไม่ได้ออกกระบี่ เฉินผิงอันก็ถอนหายใจโล่งอก หากจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็เท่ากับหลอกตัวเอง เขารีบเก็บเก้าอี้กลับไปไว้ในร้าน ตัวเองมานั่งอยู่บนธรณีประตู รอให้หนิงเหยากับเตี๋ยจ้างกลับมา
ตอนที่จั่วโย่วมาเยือน เขามาอย่างเงียบเชียบ ทว่าตอนจากไปกลับไม่ได้จงใจปกปิดร่องรอยของปราณกระบี่
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่เกินครึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็น่าจะรู้ชัดเจนถึงการที่จั่วโย่วออกมาจากหัวกำแพงในครั้งนี้
แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านี้จั่วโย่วยังมานั่งอยู่หน้าประตูร้านอย่างเปิดเผย เดิมทีนั่นก็เป็นคำพูดที่ไร้เสียงอย่างหนึ่ง
ก่อนที่ลูกศิษย์อย่างจั่วโย่วจะปรากฏตัว อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าได้ร่ายวิชาอภินิหาร ปิดบังฟ้าดิน มีเพียงคนในร้านเท่านั้นที่รู้
พอจั่วโย่วมาถึง ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ถอนเวทอาคมออก
สายของเหวินเซิ่ง แต่ไหนแต่ไรมามักจะคิดมากชอบไตร่ตรองให้มากอยู่เสมอ และการกระทำหลังจากผ่านการคิดการไตร่ตรองมาแล้วก็เด็ดขาดมาโดยตลอด เป็นเหตุให้มองดูเหมือนเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลที่สุด
หนิงเหยากลับมาที่ร้านพร้อมกับเตี๋ยจ้าง เฉินผิงอันลุกขึ้นยิ้มกล่าวว่า “ข้ารับรองแขกอยู่ที่นี่ รบกวนแม่นางเตี๋ยจ้างแล้ว”
เตี๋ยจ้างยิ้มถาม “สถานะของท่านผู้เฒ่า ข้าจะไม่ถาม แต่เหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่จั่วถึงได้มาดื่มเหล้ากับเจ้าที่นี่ เรื่องนี้ข้าคงต้องถาม หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าอยู่ดีๆ ทรัพย์สินในร้านของตัวเองหายไป ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะไปร้องทุกข์เอากับใคร”
เฉินผิงอันกล่าว “จั่วโย่วคือศิษย์พี่ใหญ่ของข้า ก่อนหน้านี้คนที่นั่งอยู่ตรงกลางคืออาจารย์ของพวกเราสองคน เหวินเซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาล”
ถึงอย่างไรอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่พึ่งอะไรล้วนมีความหมายไม่มาก การต่อสู้ที่ควรเกิดขึ้นก็ไม่เคยลดน้อยลง สนามรบที่ควรไปออกศึก จะอย่างไรก็ยังต้องไป
อีกอย่างชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์ก็พูดถูกแล้ว อาจารย์และศิษย์พี่ที่อาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงมา ไม่มีความจำเป็นที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ
เตี๋ยจ้างเดินเข้าร้านไปเงียบๆ
ไม่มีอะไรให้คุยแล้ว
หนิงเหยานั่งอยู่บนธรณีประตูกับเฉินผิงอัน เอ่ยเสียงเบาว่า “โชคดีที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่จับตามองหัวกำแพงเมืองด้วยตัวเอง ไม่อนุญาตให้ใครใช้ข้ออ้างใดๆ ไปทางทิศใต้ ไม่อย่างนั้นศึกใหญ่ครั้งถัดไป เจ้าจะอันตรายมาก พวกเผ่าปีศาจมีอุบายกันไม่น้อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทั้งอาจารย์และศิษย์พี่ต่างก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ “หลังจากนี้จะทำอะไรต่อ?”
เฉินผิงอันตอบ “มานะฝึกตน หลอมลมปราณให้เยอะ พยายามเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตในเร็ววัน หลอมใหญ่ชูอีสืออู่ให้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้เสร็จสิ้น ขณะเดียวกันก็ต้องขัดเกลาขอบเขตร่างทอง หากเลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกลเมื่อไหร่ ยามที่เปิดฉากเข่นฆ่าจะมีประโยชน์มากกว่าเดิม แต่สองเรื่องนี้ล้วนยากที่จะทำให้สำเร็จได้โดยเร็ว ลำพังเพียงแค่รวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุให้ครบก็ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์แล้ว วัตถุแห่งชะตาชีวิตอย่างทอง ไฟนั้น ได้แต่พานพบมิอาจเรียกร้อง หากไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องเรียกร้องให้ระดับขั้นสูงนัก ถึงอย่างไรก็ควรต้องสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาเพื่อรับศึกใหญ่ครั้งต่อไปเสียก่อน หนิงเหยา เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้า ข้าชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว ตอนนี้ระดับขั้นของวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งสามชิ้น หากไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ บนเส้นทางของการฝึกตน พูดถึงแค่วัตถุแห่งชะตาชีวิต อันที่จริงก็มากพอจะประคับประคองให้ข้าเดินไปถึงเซียนดิน หรือแม้กระทั่งขอบเขตหยกดิบแล้ว เรื่องนี้จะแสวงหาความสมบูรณ์แบบมากเกินไปไม่ได้ บนเส้นทางการฝึกตนจะเดินช้าเกินไปไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นหากไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางได้เสียที ปราณวิญญาณย่อมสลายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าขอบเขตของผู้ฝึกยุทธกลับมาถึงขอบเขตเจ็ดแล้ว ยามที่โคจรปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขึ้นมา ย่อมต้องเกิดความขัดแย้งกับปราณวิญญาณไม่มากก็น้อย ซึ่งจะถ่วงพลังการต่อสู้ ช่วงเวลาระหว่างนี้…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ขมวดคิ้วมุ่น ถอนหายใจ “ยังต้องเรียนกระบี่กับศิษย์พี่ด้วย”
หนิงเหยากล่าว “ก็ดีมากนี่นา เดิมทีผู้อาวุโสจั่วก็เป็นคนที่เหมาะที่สุดแล้วก็มีคุณสมบัติมากที่สุดที่จะสอนวิชากระบี่ให้แก่เจ้า อย่าลืมล่ะว่า ตัวของศิษย์พี่เจ้าเองก็ไม่ได้เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดอะไร”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แต่จะให้นอนดื่มยาอยู่ในจวนหนิงทุกๆ สามวันห้าวันก็คงไม่ดีกระมัง”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นที่ข้าอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็เรียนรู้วิธีการต้มยามาจากเจ้าแล้ว แต่ไม่เคยได้มีโอกาสนำมาใช้สักที”
เฉินผิงอันอดทนแล้วอดทนอีก แต่สุดท้ายก็ยังทนไม่ไหว “ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นฝีมือการต้มยาของเจ้าสักหน่อย เจ้ากล้าต้ม ข้าก็ไม่กล้าดื่มหรอก”
หนิงเหยาจุ๊ปากพูด “รับศิษย์พี่แล้ว คำพูดคำจาก็แข็งข้อขึ้นเยอะเลย”
เฉินผิงอันรีบพูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้าจะดื่ม ดื่มแทนเหล้า”
เตี๋ยจ้างมองคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าประตูแล้วก็ส่ายหน้า ไม่เห็นใจคนโสดบ้างเลย
เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “แม่นางเตี๋ยจ้าง ขอแค่ข้าสามารถช่วยทางร้านหาเงินได้ พวกเรามาแบ่งกำไรกันสี่ต่อหกเป็นอย่างไร?”
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “เจ้าได้น้อยเกินไปหรือเปล่า?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แค่สามต่อเจ็ดแล้วสินะ? แม่นางเตี๋ยจ้าง เจ้าทำการค้าเสี่ยงอันตรายเกินไปหน่อยจริงๆ นะ มิน่าเล่ากิจการถึงได้…ดีขนาดนี้”
เตี๋ยจ้างโมโหจนพูดไม่ออก
หนิงเหยาทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ร้านขายของเบ็ดเตล็ดแห่งนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะหาเงินมาเพิ่มได้ ข้ารู้ว่าครั้งนี้ตัวเองต้องมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นาน ก็เลยเอาเหล้าธรรมดาของบ้านเกิดมาด้วยมากหน่อย ไม่สู้พวกเรามาร่วมกันเปิดร้านเหล้าเล็กๆ ดีไหม แค่เอาโต๊ะเอาม้านั่งไปวางไว้นอกร้านให้มากหน่อย ไม่ต้องกลัวว่าหากลูกค้าเยอะแล้วจะไม่มีที่นั่ง ขอแค่สุราดี นั่งยองดื่มบนพื้นก็รสชาติดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!