ใบไม้ร่วงจากไป ฤดูหนาวมาเยือน กาลเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปอย่างเนิบช้า
หากไม่เป็นเพราะแค่เงยหน้ามองก็จะเห็นเค้าโครงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทางทิศใต้อยู่ไกลๆ เฉินผิงอันคงเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่มงคลกระดาษขาว หรือไม่ก็เคยดื่มเหล้าลืมทุกข์ของพื้นที่มงคลวหวงเหลียงไปแล้ว
ต่อให้เฉินผิงอันจะมานะฝึกตน ทุกวันไม่เคยเกียจคร้าน ถึงขั้นพูดได้ว่ายุ่งมาก แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่ายังดีไม่พอ ดังนั้นจึงขอให้ป๋ายหมัวมัวมาช่วยป้อนหมัดให้ คิดไม่ถึงว่าไม่ว่าอย่างไรป๋ายหมัวมัวก็ไม่ยอมออกแรงเต็มกำลัง อย่างมากสุดก็แค่ถ่ายทอดกระบวนท่าหมัดบางส่วนให้แก่ท่านเขยในอนาคตเท่านั้น นอกจากการฝึกซ้อมหมัดที่ไม่สาแก่ใจเต็มที่แล้ว เฉินผิงอันก็ได้แต่เรียกให้ท่านปู่น่าหลันไปที่ลานประลองยุทธฟ้าดินเล็กเมล็ดงานั่นด้วยกัน เพื่อทำความเข้าใจกับพลังสังหารของกระบี่บินผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เรียนรู้วิชาการอำพรางตัวอย่างคร่าวๆ มาจาก ‘นักฆ่า’ ที่ขอบเขตถดถอยมาจากขอบเขตเซียนเหรินผู้นี้ วิธีการลี้ลับมหัศจรรย์หลายอย่างที่เกี่ยวพันกับรากฐานการฝึกตน ‘ตอนกลางวันขยับเข้าใกล้เหมือนเดินตอนกลางคืน’ จำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ถึงจะทำได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
นอกจากนี้แล้วพอมีเวลาว่าง เฉินผิงอันก็จะพยายามแวะไปที่ร้านเหล้าให้บ่อย ทุกครั้งที่ไปจะอยู่นานเป็นชั่วยาม แต่กลับไม่ค่อยได้ช่วยขายเหล้าสักเท่าไร เอาแต่ใช้เวลาอยู่กับกลุ่มเด็กตัวเท่าก้นและพวกเด็กหนุ่มเด็กสาว ทำตัวเป็นนักเล่านิทานของเขาต่อไป อย่างมากสุดก็เป็นอาจารย์ที่ท่องหนังสือและสอนตัวอักษรให้กับพวกเขา ไม่เกี่ยวพันกับการถ่ายทอดวิชาความรู้ใดๆ
แม้จะบอกว่าเฉินผิงอันเป็นเถ้าแก่ที่ไม่สนใจจะดูแลร้าน แต่เถ้าแก่ใหญ่อย่างเตี๋ยจ้างก็ไม่เคยว่ากล่าวหรือบ่นอะไร เพราะวิธีการหาเงินให้กับร้านที่แท้จริงล้วนเป็นเถ้าแก่รองเฉินที่เป็นผู้ดูแล ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะแอบอู้ได้บ้างแล้ว ถึงอย่างไรเตี๋ยจ้างก็แค่ควักเงินทุนและใช้แรงกายบางส่วนที่เป็นเรื่องตายตัวเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่หลังจากที่ร้านเหล้าเปิดกิจการได้อย่างราบรื่นเป็นมงคล ลูกเล่นหลังจากนั้นก็ยังมีอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่นหลังจากแขวนคำโคลงคู่แนวตั้งคู่นั้นข้างประตูไปแล้ว ภายหลังยังมีกลอนแนวขวางที่แปะไว้เหนือบานประตูใหม่เอี่ยมอีกบทหนึ่งด้วย
‘ผู้ที่ดื่มสุราข้าจะได้ฝ่าทะลุขอบเขต’
พวกเถ้าแก่ร้านเหล้าเหลาสุราที่อยู่บนถนนใหญ่ใกล้บ้ากันเต็มที ไม่เพียงแต่แย่งลูกค้าไปไม่น้อย ประเด็นสำคัญคือฝั่งตนยังแพ้ในด้านพลังอำนาจอย่างเห็นได้ชัด นี่จึงเป็นเหตุให้สถานที่ทั้งหลายที่ขายเหล้าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แทบทุกที่ล้วนพากันติดคำโคลงคู่แนวตั้งและคำคมแนวนอนกันบ้างแล้ว
เพียงแต่ว่าอ่านไปอ่านมา สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่ผีขี้เหล้าทั้งหลายก็ยังคงรู้สึกว่าเป็นบทกลอนของที่นี่ที่มีท่วงทำนองดีที่สุด หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าหน้าด้านที่สุด
ในขณะที่ร้านเหล้าแทบทั้งหมดเริ่มทำเลียนแบบนั้น ร้านนี้ก็เริ่มมีวิธีการใหม่โผล่มาอีก
ด้านในร้านแขวนป้ายไม้เล็กๆ ที่ลักษณะเหมือนป้ายสงบสุขปลอดภัยไว้จนเต็ม เป็นป้ายที่เอาไว้ให้ผู้ฝึกกระบี่ที่เตี๋ยจ้างเชื้อเชิญให้มาดื่มเหล้าใช้ปราณกระบี่สลักชื่อ หรือไม่ก็ทิ้งบทประพันธ์คำกลอนลงไป ทุกแผ่นล้วนถูกนำไปแขวนไว้บนผนัง บอกว่าถือเป็นนิมิตหมายที่ดี
ไม่แบ่งขอบเขตสูงต่ำ ไม่แบ่งว่าใครได้แขวนจุดสูงจุดต่ำ ใครเขียนก่อนก็แขวนป้ายไม้ของคนนั้นก่อน ด้านหน้าล้วนเขียนชื่อของนักดื่มเหมือนกันทั้งหมด หากยินดี ด้านหลังแผ่นไม้ยังสามารถเขียนได้อีก อยากเขียนอะไรก็เขียน เขียนมากเขียนน้อย ทางร้านก็ไม่ว่า
ตอนนี้นักดื่มที่มีป้ายสงบสุขแขวนไว้บนผนังของร้าน ลำพังเพียงแค่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนก็มีถึงสี่ท่านแล้ว มีเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะของแจกันสมบัติทวีป เกาขุยเซียนกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หยวนชิงสู่เซียนกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป และยังมีเถาเหวินผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ครั้งหนึ่งมาดื่มเหล้าที่ร้านกลางดึกเพียงลำพัง พวกเขาล้วนเขียนอักษรไว้ด้านหลังป้ายสงบสุขกันทุกคน ไม่ใช่ว่าตัวพวกเขาเองอยากเขียน เดิมทีเซียนกระบี่ทั้งสี่ท่านแค่เขียนชื่อไว้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ภายหลังเฉินผิงอันหาโอกาสไปพบพวกเขา ยืนกรานว่าจะให้พวกเขาเขียนเพิ่มให้ได้ ต่อให้ไม่เขียนก็มีวิธีทำให้พวกเขาเขียน ทำเอาเตี๋ยจ้างที่มองดูอยู่ด้านข้างอย่างอึดอัดขัดเขินได้เปิดโลกกว้าง ที่แท้การค้าก็สามารถทำกันแบบนี้ได้ด้วย
ดังนั้นเว่ยจิ้นจึงทิ้งอักษรคำว่า ‘ตกอยู่ในห้วงรัก กระบี่มิอาจชักออกจากฝัก’
เกาขุยบุรุษตาเดียวเคราดกที่มองดูหยาบกระด้าง เขียนประโยคว่า ‘บุปผางามดวงจันทร์กลมโต คนอายุยืนยาว’
หยวนชิงสู่ผู้สง่างามเขียนว่า ‘ใต้หล้าแห่งนี้ควรรู้ว่าข้าหยวนชิงสู่คือเซียนกระบี่’
เถาเหวินเป็นงานที่สุด ได้ยินว่าจะได้ดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ไหหนึ่งโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เขียนประโยคว่า ‘สุราของที่นี่รสชาติดีซ้ำยังราคาถูก ยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด หากเชื่อไว้ก่อนได้จะยิ่งดี’
ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ผู้มีพรสวรรค์ที่ถือว่าอายุน้อยที่สุดก็มีสิบกว่าคนซึ่งรวมผังหยวนจี้ เยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝูเป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่ายังมีแม่นางน้อยกวอจู๋จิ่วรวมอยู่ด้วย นอกจากที่นางจะเขียนชื่อจริงกวอจู๋จิ่วและชื่อเล่นว่า ‘ลวี่ตวน’ เอาไว้แล้ว ด้านหลังยังแอบเขียนว่า ‘อาจารย์ขายเหล้า ลูกศิษย์ซื้อเหล้า มิตรภาพระหว่างอาจารย์และศิษย์ชวนให้คนซาบซึ้งใจ คงอยู่ตราบชั่วฟ้าดินสลาย’
และยังมีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอีกไม่น้อยที่ยังกลัวว่าจะเสียหน้า อย่างมากก็แค่เขียนชื่อทิ้งไว้ ไม่เขียนอย่างอื่นอีก อีกทั้งเฉินผิงอันเองก็ไม่ค่อยได้มาดูแลกิจการของร้านสักเท่าไร เตี๋ยจ้างก็ไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเช่นไร ภายหลังเฉินผิงอันรู้สึกว่าจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเอากระดาษหลายแผ่นมามอบให้เตี๋ยจ้าง บอกว่าหากเจอผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ถูกชะตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ยินดีจะทิ้งผลงานการประพันธ์ไว้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะเขียนอะไร ตอนที่คิดเงินก็สามารถส่งกระดาษแผ่นใดแผ่นหนึ่งในนี้ไปให้พวกเขา
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดท่านหนึ่งที่นิสัยหยาบกระด้าง ไม่ถนัดเรื่องการเขียนบทกลอน พอเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งแล้ว เดิมทียังวางท่าปฏิเสธเถ้าแก่อย่างเตี๋ยจ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะหน้าเปลี่ยนสีทันใด แอบเก็บกระดาษแผ่นนั้นมา บอกให้เตี๋ยจ้างปลดแผ่นไม้สงบสุขลงมาโดยเร็ว แล้วเขียนกลอนประโยคนั้นในกระดาษลงไปบนแผ่นไม้ด้วยท่าทางจริงจังราวกับเผชิญหน้ากับปีศาจใหญ่ ตอนที่จากไปยังซื้อเหล้าภูเขาชิงเสินที่ราคาแพงที่สุดไปด้วยอีกหนึ่งกา จงใจกดปราณกระบี่บนร่างตัวเองไว้ เขาที่ดื่มเหล้าอย่างเต็มคราบจึงเดินโซเซพลางร้องเพลงเสียงดังไปด้วย เป็นบทเพลงที่ร้องซ้ำไปซ้ำมา เนื้อหาก็มาจากกลอนที่ ‘ความคิดพรั่งพรู จรดพู่กันเขียน’ บทนั้น
‘ความทรงเสน่ห์ในอดีตมิต้องพูดถึง ร้อยศึกผันผ่านหลายฤดูกาล ดื่มให้สาแก่ใจเมามายหนุนกระบี่ต่างหมอน เฝ้าฝันว่าให้ชิงเสินรินสุรา’
หนึ่งคืนผ่านไป ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อยู่ดีๆ ก็แต่งกลอนเป็นผู้นี้ก็มีชื่อเสียงเลื่องระบือในหมู่นักพนันและผีขี้เหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่
แต่ว่ากันว่าสุดท้ายเขากลับโดนกระบี่บินของเซียนกระบี่ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนไปทีหนึ่ง ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงหลายวัน
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของอุตรกุรุทวีปที่อายุค่อนข้างน้อยคนหนึ่งบอกว่าตนดื่มเหล้าใต้แสงจันทรา จึงบังเกิดความคิดขึ้นมาโดยบังเอิญ เลยเขียนประโยคหนึ่งไว้บนป้ายสงบสุขว่า ‘เซียนกระบี่ครึ่งหนึ่งบนโลกคือสหายข้า สตรีคนใดในใต้หล้าไม่เขินอาย ข้าใช้สุราเข้มข้นล้างกระบี่ ใครเล่าไม่กล่าวว่าข้าสง่างาม’
เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของที่ร้านแบ่งออกเป็นสามระดับ หนึ่งไหหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ รสชาติเจือจางที่สุด
ดีขึ้นมาหน่อยคือหนึ่งไหห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่ทางร้านก็ป่าวประกาศว่าเหล้าทุกๆ ร้อยไหของที่ร้านจะมีใบไผ่จากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่มีมูลค่าควรเมืองใบหนึ่งซ่อนอยู่ เซียนกระบี่เว่ยจิ้นและแม่นางน้อยกวอจู๋จิ่วล้วนเป็นพยานให้ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเท็จ
เหล้าภูเขาชิงเสินระดับหนึ่งนั้นต้องจ่ายสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ และยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ดื่มด้วย เพราะทุกวันทางร้านจะขายแค่ไหเดียว ขายไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ดื่มอีก ลูกค้าได้แต่รอวันถัดไปเท่านั้น
จึงมีช่วงเวลาหนึ่งที่ร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนี้มีคนมาเยือนจนเต็มแน่น แต่เมื่อช่วงเวลาของความครึกครื้นผ่านไป ก็ไม่ได้มีภาพที่ผู้ฝึกกระบี่มากมายมานั่งยองดื่มเหล้าอยู่กับพื้น มาแย่งชิงกันซื้อเหล้าอีกแล้ว แต่โต๊ะหกตัวก็ยังมีคนมานั่งจนเต็ม
แม้เตี๋ยจ้างจะพึงพอใจกับรายรับของร้านมากแล้ว แต่ก็อดรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ไม่ได้ เป็นอย่างที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไว้จริงๆ หลังจากที่ร้านมีชื่อเสียงแล้ว การหาซื้อเหล้าก็กลายเป็นเรื่องยากที่ใหญ่เทียมฟ้า ร้านเหล้าจำนวนมากยินยอมผิดคำสัญญาชดใช้เงินคืนให้แก่เตี๋ยจ้าง แต่ไม่ยอมขายเหล้าขาวเปล่าๆ ให้ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะตัดแหล่งสินค้าของที่ร้าน หากลูกค้ามาซื้อเหล้าแต่กลับไม่มีเหล้าขาย กิจการก็จะต้องเดินลงเนิน ความคึกคักที่เป็นดั่งดอกราตรีบานชั่วค่ำคืนยากจะทำให้การค้าคงอยู่อย่างยาวนานได้
ขนาดเตี๋ยจ้างยังเห็นปัญหาระยะใกล้นี้ เถ้าแก่รองที่สะบัดมือทิ้งร้านย่อมรู้ชัดเจนดียิ่งกว่า แต่เฉินผิงอันกลับไม่เคยพูดอะไร พอมาถึงที่ร้าน หากไม่พูดคุยทักทายกับลูกค้าที่สนิทสนมกัน ขอเหล้าพวกเขาดื่มเล็กๆ น้อยๆ ก็จะไปเป็นนักเล่านิทานตรงหัวมุมเลี้ยวของถนน ใช้เวลาอยู่กับพวกเด็กๆ เตี๋ยจ้างไม่อยากรบกวนเฉินผิงอันทุกเรื่อง จึงได้แต่ครุ่นคิดหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
กลางดึกคืนนี้ เฉินผิงอันกับหนิงเหยามาที่ร้านซึ่งกำลังจะปิดลง เวลานี้ไม่มีลูกค้าแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!