กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 585

สรุปบท บทที่ 585.2 เจ้ามาเป็นศิษย์พี่: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 585.2 เจ้ามาเป็นศิษย์พี่ – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 585.2 เจ้ามาเป็นศิษย์พี่ ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ผลกลับกลายเป็นว่านางยังอยู่ในจอกเหล้าของเว่ยจิ้น ต่อให้จะดื่มเหล้ามากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ดื่มไปจอกหนึ่ง เทจอกถัดไปเต็มแก้ว นางก็อยู่ในนั้นแล้ว

เว่ยจิ้นชูจอกเหล้าขึ้น ตะโกนถามเสียงดังว่า “เหตุใดคนที่ไม่ชอบเหล้าถึงได้เมามายยากนัก?”

แล้วเว่ยจิ้นก็กระดกดื่มจนหมดจอก “คนที่หมักเหล้าคนแรกของโลกใบนี้น่ารังเกียจที่สุด น่ารังเกียจเกินไปแล้ว”

เตี๋ยจ้างชินเสียแล้ว

ยามที่เซียนกระบี่เว่ยจิ้นดื่มเหล้าก็มักจะเป็นเช่นนี้บ่อยๆ เพียงแค่พูดพึมพำกับตัวเองมากหน่อยเท่านั้น ไม่ได้เมาคลุ้มคลั่งจริงๆ ไม่อย่างนั้นร้านเหล้าเล็กๆ ไหนเลยจะต้านรับความบ้าคลั่งของเซียนกระบี่ท่านหนึ่งได้

ตอนนี้ไม่มีคนร้องเรียกให้ไปเติมเหล้า เตี๋ยจ้างจึงแอบอู้งานด้วยการไปนั่งอยู่บนธรณีประตู ถอนหายใจเบาๆ

เอาอีกแล้ว

เว่ยจิ้นยืนอยู่ที่เดิม รินเหล้าไม่หยุด กวาดตามองไปรอบด้านแล้วเริ่มดื่มคารวะไปทีและทิศ เรียกชื่อคนเสร็จก็ถึงเวลาดื่มคารวะ พอดื่มคารวะเสร็จก็บอกว่าทำไมเขาต้องดื่มคารวะ แน่นอนว่าพูดถึงเรื่องการเข่นฆ่าทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมือง บอกว่ากระบี่ไหนของพวกเขาที่ส่งออกไปยอดเยี่ยมที่สุด บางครั้งก็บอกให้อีกฝ่ายดื่มลงโทษตัวเอง ซึ่งก็พูดถึงเรื่องสงครามเหมือนกัน บอกว่ามีปีศาจตนใดที่สมควรฆ่า แต่ดันได้แค่ฟันให้มันปางตาย ไม่น่าให้อภัยตัวเองเลย

อยู่ดีๆ ร่างของเว่ยจิ้นก็หายวับไปพร้อมเสียงคำรามเดือดดาลที่ดังก้อง “ต่ำช้า!”

……

ในตรอกเล็กแห่งหนึ่ง กวอจู๋จิ่วเดินอืดเอื่อยอยู่ในนั้น

มีเด็กหนุ่มใบหน้าเหลืองตอบคนหนึ่งวิ่งอยู่ในตรอกก่อนหน้าที่นางจะเดินเข้ามา ฝีเท้าของอีกฝ่ายรีบเร่งคล้ายกำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง คอยหันหน้ากลับมามองด้านหลังเป็นระยะ พอเห็นกวอจู๋จิ่วก็ให้ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะชะลอฝีเท้าลง แล้วยังขยับตัวแนบติดผนังไปตามจิตใต้สำนึก ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ คนมีเงิน ขอแค่ไม่ตายก็จะยิ่งมีเงินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นตระกูลหนึ่งที่หากมีเซียนกระบี่ ตระกูลก็จะกลายเป็นตระกูลชนชั้นสูง คนยากจนที่อยู่ในนครแห่งนี้ แค่มองจากการแต่งกายก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายใช่ลูกหลานคนรวยหรือไม่

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มรู้สึกว่ากวอจู๋จิ่วก็คือลูกหลานชนชั้นสูง อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้มองผิดจริงๆ ตระกูลกวอที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือตระกูลอันดับต้นๆ นอกเหนือจากตระกูลใหญ่ชั้นสูงสุดพวกนั้น

ทะเลาะเบาะแว้งกับลูกหลานตระกูลใหญ่ จุดจบมักจะไม่ค่อยดีเสมอ ไม่ต้องให้อีกฝ่ายยกเอาที่พึ่งออกมา หากอีกฝ่ายคือผู้ฝึกกระบี่ ส่วนใหญ่แค่ลงมือด้วยตัวเองก็พอแล้ว

กวอจู๋จิ่วชะลอฝีเท้า กระโดดขึ้นลงอยู่สองที เห็นว่าด้านหลังเด็กหนุ่มคนนั้นมีคนวัยเดียวกันอีกสี่คนวิ่งตามเข้ามา ในมือของพวกเขาถือไม้กระบอง ร้องไล่เสียงดังโหวกเหวกท่าทางเดือดดาล

เด็กหนุ่มคงจะนึกว่ากวอจู๋จิ่วไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ คาดว่าคงเป็นแค่คนมีเงินของถนนใหญ่ๆ ที่กินอิ่มว่างงานก็เลยมาเดินเล่นที่นี่เท่านั้น

เด็กหนุ่มจึงรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย เขาหันไปโบกมืออย่างแรงให้กวอจู๋จิ่ว บอกเป็นนัยให้นางรีบถอยออกไปจากตรอก

กวอจู๋จิ่วเกาหัว แล้วจึงหยุดเดิน พอหมุนตัวได้ก็ชักเท้าเผ่นหนีทันที

เรื่องของการวิ่งหนีนี้ นางถนัดที่สุด แล้วก็ชอบด้วย

น่าเสียดายที่พอถูกกวอจู๋จิ่วมาถ่วงเวลาไว้เช่นนี้ พวกคนวัยเดียวกันที่ถือไม้ถือกระบองไล่ตามมาด้านหลังเด็กหนุ่มจึงตามมาทัน กระบองหนึ่งที่ไม่หนักไม่เบาฟาดเข้าที่ศีรษะของเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งคนนั้น เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะหลบมาได้ก็เจอไม้อีกท่อนหนึ่งเหวี่ยงเข้าแสกหน้า จึงได้แต่ใช้มือปกป้องศีรษะเอาไว้ หลบไปถอยไปด้วย ไม้หนึ่งฟาดเข้าที่แขน เจ็บจนเด็กหนุ่มหน้าซีดขาว แล้วก็ถูกเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่งถีบเข้าที่หน้าอก

เด็กหนุ่มใบหน้าเหลืองผอมตอบถอยหลังไปหลายก้าว มุมปากมีเลือดซึมออกมา เขาใช้มือหนึ่งพยุงผนัง เอียงศีรษะเบี่ยงหลบกระบองนั้นมาได้ก็หมุนตัวกลับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน

กวอจู๋จิ่วที่อยู่ตรงมุมเลี้ยวยื่นศีรษะออกมา รู้สึกว่าตนควรจะผดุงความเป็นธรรมได้แล้ว ไม่อย่างนั้นดูจากท่าทางแล้วก็น่าจะมีคนตายเข้าจริงๆ

การต่อยตีต่อสู้กันทั่วไป ต่อให้จะขากะเผลกหรือขาเป๋อะไร ไม่ว่าใครในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ล้วนไม่สนใจ แต่หากฆ่าคนตาย ถึงอย่างไรก็มีให้เห็นได้น้อย กวอจู๋จิ่วเคยได้ยินผู้อาวุสในตระกูลบอกว่า คนที่ต่อยตีได้อย่างอำมหิตที่สุด แท้จริงแล้วไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่เป็นเด็กหนุ่มในหมู่ชาวบ้านที่กำลังอยู่ในวัยเลือดร้อนทั้งหลาย และเวลานี้ก็คือเหตุการณ์ที่ว่านั่น

แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้นางกวอจู๋จิ่วเรียนวิชาหมัดมาแล้วก็คือคนในยุทธภพแล้ว กวอจู๋จิ่วจึงเดินกลับเข้ามาในตรอกอีกครั้ง

เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งคนนั้นถูกเตะจนร่างปลิวกระเด็นไปอีกครั้ง แต่ถูกกวอจู๋จิ่วยื่นมือมาจับไหล่เอาไว้

สีหน้าของเด็กหนุ่มเฉยชา วินาทีนั้นเขาพลันหมุนตัวกลับ ขณะเดียวกันก็สะบัดข้อมือ มีดสั้นเล่มหนึ่งไถลออกมาจากชายแขนเสื้อ เขาพลิกมือกลับแล้วจ้วงแทงเข้าใส่นาง

กวอจู๋จิ่วยกข้อศอกขึ้นเบาๆ กระแทกข้อพับของแขนข้างที่ถือมีดนั้นให้หักงอลงโดยตรง

มืออีกข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มพลันกำเป็นหมัดแล้วปล่อยออกมา พายุหมัดสะเทือนรุนแรง พลังอำนาจดุจสายอสนี

พวกคนวัยเดียวกันที่ก่อนหน้านี้ซ้อมเด็กหนุ่มจนสภาพเหมือนหมาตกน้ำ แต่ละคนตกใจจนใบหน้าไร้สีเลือด พากันขยับตัวแนบชิดผนัง

กวอจู๋จิ่วเองก็มีสีหน้าเฉยชาไม่ต่างจากเด็กหนุ่มนักฆ่าผู้นั้น นางเองก็ปล่อยหมัดหนึ่งออกไป ใช้หมัดปะทะหมัด แขนทั้งข้างของเด็กหนุ่มนักฆ่าฉีกขาดจนกระดูกโผล่ สองแขนห้อยลู่ตกลง กวอจู๋จิ่วเบี่ยงตัวหันข้างเล็กน้อยขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ใช้ไหล่กระแทกเข้าที่หน้าอกของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มนักฆ่าตายคาที่ทันที ร่างกระเด็นออกไป แต่กลับมีประกายแสงเส้นหนึ่งพุ่งวาบผ่านข้างหูของนักฆ่า พุ่งเข้ามาหากวอจู๋จิ่วอย่างรวดเร็ว นั่นคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่ มันพุ่งเข้าหาหว่างคิ้วของกวอจู๋จิ่วโดยตรง

กวอจู๋จิ่วหันหน้าเบี่ยงหลบเล็กน้อย บนหน้าผากถูกกรีดเป็นรอยเลือดที่ลึกจนเห็นกระดูก

หันกลับมามองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เรียกกระบี่ออกมา ตลอดทั้งศีรษะล้วนถูกแทงทะลุ เลือดเม็ดหนึ่งเริ่มมาก่อตัวตรงหน้าผาก ศพที่เอนหลังพิงกำแพงค่อยๆ ไถลลงมาที่พื้นช้าๆ

กวอจู๋จิ่วขมวดคิ้ว ยื่นฝ่ามือมาเช็ดหน้าผาก

เว่ยจิ้นที่ยืนอยู่หน้าปากซอยถอนหายใจโล่งอก เก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาเงียบๆ เซียนกระบี่จากศาลลมหิมะผู้นี้ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่แท้ตนก็ทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น

ไม่เพียงแต่แม่นางน้อยที่แค่ตกใจแต่ไร้อันตราย สามารถรับมือกับการลอบฆ่าที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ได้

อีกอย่างก็คืออีกฝั่งหนึ่งของตรอกมีผู้เฒ่าหลังค่อมใบหน้าประดับรอยยิ้มคนหนึ่งเผยตัวขึ้น

เว่ยจิ้นผงกศีรษะให้อีกฝ่าย ผู้เฒ่าก็ยิ้มแล้วพยักหน้าทักทายกลับคืนเช่นกัน

เว่ยจิ้นจึงกลับไปที่ร้านเหล้า ดื่มเหล้าของตัวเองต่ออีกครั้ง

ผู้เฒ่าก้าวออกไปหนึ่งก้าว มาหยุดอยู่ข้างกายกวอจู๋จิ่ว ยิ้มกล่าวว่า “แม่หนูลวี่ตวน ใช้ได้เลยนี่นา”

เขาก็คือข้ารับใช้ของจวนหนิง น่าหลันเย่สิง

ว่าที่ท่านเขยเคยกำชับเขาไว้ว่า ขอแค่กวอจู๋จิ่วมาพบเขาเฉินผิงอัน หรือไม่ก็เดินเข้ามาในจวนหนิง ถ้าอย่างนั้นจนกว่าจะถึงนาทีที่กวอจู๋จิ่วย่างเท้าเข้าประตูใหญ่ของตระกูลกวอ ก็ล้วนจำเป็นต้องให้ท่านปู่น่าหลันช่วยดูแลแม่นางน้อยให้หน่อย

กวอจู๋จิ่วกล่าวอย่างลำพองใจว่า “ก็ใช่น่ะสิ เอาชนะพี่หญิงหนิงและพี่หญิงต่งไม่ได้ แต่ข้ายังจะสู้โจรตัวเล็กๆ แค่ไม่กี่คนไม่ได้ด้วยหรือ?”

แม่นางน้อยเดินไปข้างหน้าหลายก้าว มองเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งที่ตายตาไม่หลับ ขนาดกำลังจะตายสีหน้าก็ยังไม่สะทกสะท้านคนนั้นแล้วพูดบ่นว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเพิ่งจะฝึกวิชาหมัดล้ำโลกมา? หืม?!”

น่าหลันเย่สิงยื่นนิ้วมาเคาะหน้าผากตัวเอง ปวดหัวจริงๆ

การลอบฆ่าที่ผ่านการวางแผนการมาเป็นอย่างดี ซึ่งเอามาใช้กับลูกหลานตระกูลใหญ่โดยเฉพาะเช่นนี้ ไม่ต้องหวังว่าจะโชคดีใดๆ อย่าได้คิดว่าจะสืบสาวเบาะแสไปพบเจอคนบงการ ไม่มีทางทำได้แน่นอน

……

น่าหลันเย่สิงไม่ได้ตรงกลับไปที่จวนหนิง แต่ไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อนรอบหนึ่ง

ไปที่จวนหนิง ยายแก่ป๋ายเลี่ยนซวงไม่เชี่ยวชาญกับการจัดการเรื่องพวกนี้ ได้ยินข่าวก็มีแต่จะร้อนใจทำให้ไฟสุมทรวงนางเสียเปล่าๆ

ปรึกษาเรื่องนี้กับคุณหนูต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน ตลอดหลายปีมานี้หากเป็นเรื่องใหญ่ๆ ของจวนหนิงก็ล้วนเป็นคุณหนูที่เป็นผู้ตัดสินใจ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้จวนหนิงมีท่านเขยอย่างเฉินผิงอันอยู่ น่าหลันเย่สิงจึงไม่ต้องการให้คุณหนูแบ่งสมาธิมาสนใจกับเรื่องโสมมพวกนี้มากเกินไป แต่ท่านเขยกลับเป็นคนที่ไม่กลัวความวุ่นวายที่สุดและชอบที่จะคิดให้เยอะที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเป็นการตัดสินใจของท่านเขย คุณหนูต้องยอมรับฟังอย่างแน่นอน

อำพรางลมปราณไปตลอดทางจนกระทั่งมาถึงหัวกำแพงเมือง มีใครเขาฝึกวิชาหมัดและวิชากระบี่เช่นนี้กันบ้าง?

เห็นเพียงว่าเฉินผิงอันพลิกตัวกลับไปกลับมา ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าซึ่งแต่ละหมัดเพิ่มพูนขึ้นเป็นทบทวี ขณะเดียวกันก็บังคับกระบี่บินของจริงสองเล่มและจำลองสองเล่ม รวมเป็นสี่เล่ม พยายามที่จะหาช่องว่างจากปราณกระบี่ ราวกับว่าขอแค่ขยับเดินไปข้างหน้าได้แค่ก้าวเดียวก็พอแล้ว

ดูท่าคงต้องใช้ยาวิเศษที่ช่วยให้เนื้องอกบนกระดูกของจวนหนิงอีกแล้ว

โชคดีที่คราวนี้ยายแก่ป๋ายนั่นไม่อาจโยนความผิดมาให้ตนได้

ปราณกระบี่รวมตัวอยู่ในระยะสามสิบก้าวรอบกายจั่วโย่ว แต่บางครั้งก็จะมีปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งพุ่งพรวดออกมา แต่ละครั้งจะลอยอยู่ตรงช่องโพรงลมปราณที่สำคัญถึงแก่ชีวิตของเฉินผิงอันครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายวับไป

น่าหลันเย่สิงมองแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ว่า “เป็นคนเหมือนกัน เหตุใดถึงได้มีปราณกระบี่มากมายขนาดนี้ อีกทั้งยังเกือบจะหลอมปราณกระบี่ให้เป็นปณิธานกระบี่ได้แล้วด้วย”

จั่วโย่วไม่ได้สนใจผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย เขาเก็บปราณกระบี่ไว้ในระยะสิบก้าว พูดกับเฉินผิงอันว่า “วันนี้พอแค่นี้ ออกหมัดใช้ได้ ออกกระบี่ตายตัวแล้วก็ช้า วันนี้แค่ให้เจ้าปรับตัวให้ชินเท่านั้น การฝึกกระบี่ครั้งหน้าถึงจะถือว่าเป็นการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ อีกอย่าง วันนี้เท่ากับว่าเจ้าตายไปแล้วเก้าสิบหกครั้ง คราวหน้าพยายามตายให้น้อยหน่อย เป็นศิษย์พี่ที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง ยากขนาดนั้นเลยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้เอ่ยอะไร

ยังมีหน้ามาถามข้าว่ายากหรือไม่ยากอีกหรือ?

ปราณกระบี่เข้มไม่เข้ม มากไม่มาก ศิษย์พี่ ในใจท่านจะไม่รู้เลยหรือ?

แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้มองดูเหมือนนอกจากสองแขนสองหมัดแล้ว ช่องโพรงลมปราณผู้ฝึกตนของเฉินผิงอันจะไม่เป็นไร แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ทุกครั้งที่ปราณกระบี่ของจั่วโย่วมาหยุดลอยอยู่ มองดูเหมือนว่าไม่เคยสัมผัสโดนช่องโพรงใหญ่ๆ แต่ละแห่งของเฉินผิงอัน แต่แท้จริงแล้วปณิธานกระบี่ที่อึมครึมกลับแทรกซอนเข้าไปในไขกระดูกนานแล้ว มันเข้าไปพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทรอยู่ในช่องโพรงลมปราณ เวลานี้เฉินผิงอันสามารถพูดได้โดยที่ตัวไม่สั่นก็ถือว่าแบกรับความเจ็บปวดได้เก่งพอตัวแล้ว

เฉินผิงอันก้าวออกไปไม่กี่ก้าวก็ขยับห่างไปหลายสิบจั้ง เขามาหยุดอยู่ข้างกายน่าหลันเย่สิง ถามเสียงเบาว่า “กวอจู๋จิ่วได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”

น่าหลันเย่สิงกล่าว “ข้าจับตามองอยู่ตลอด จงใจไม่ลงมือ ให้แม่หนูนั่นได้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง บาดแผลจึงไม่หนักนัก กวอเจี้ยรีบรุดมาเยือนด้วยตัวเอง ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก ถึงอย่างไรเขาก็คือกวอเจี้ย เพียงแต่ว่าปัญหาต่อจากนี้…”

เฉินผิงอันประกบสองนิ้วปาดลงด้านล่างเบาๆ หนึ่งที ประหนึ่งใช้กระบี่กรีดเส้นยาวๆ เส้นหนึ่ง แล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ปัญหาแล้ว สำหรับจวนหนิงและตระกูลกวอแล้ว อันที่จริงนี่กลับเป็นเรื่องดี ลูกศิษย์อย่างกวอจู๋จิ่วผู้นี้ ข้ารับไว้แน่นอนแล้ว”

เฉินผิงอันบังคับเรือยันต์ออกมาแล้วย้อนกลับไปยังนครพร้อมกับน่าหลันเย่สิง

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ท่านปู่น่าหลัน ท่านสามารถขยับเข้าใกล้ร่างของศิษย์พี่ข้าได้ไหม?”

“แน่นอนว่าต้องได้!”

แล้วน่าหลันเย่สิงก็ยิ้มกล่าวว่า “จากนั้นข้าก็ตาย”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!