กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 585

เฉินผิงอันเก็บเรือยันต์แล้วพลิ้วกายลงบนหัวกำแพง

จั่วโย่วเก็บปราณกระบี่คล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา

ดังนั้นคนทั้งสองจึงอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบก้าว

จั่วโย่วลืมตามองฟ้าดินกว้างใหญ่ที่อยู่นอกหัวกำแพงเมืองแล้วถามคำถามหนึ่ง “เคยคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนบ้างไหม?”

ทางฝั่งทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นครที่ทั้งรากฐานและความลับล้วนลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งแห่งนั้นทั้งให้ความรู้สึกถึงกฎเกณ์ที่เข้มงวดต่อผู้คน แล้วก็ทั้งเหมือนว่าไม่มีกฎเกณฑ์อะไรให้พูดถึงด้วย

มีเซียนกระบี่ที่ยามอยู่ในศึกใหญ่สังหารศัตรูไปนับไม่ถ้วน ทว่าระหว่างเวลาว่างก่อนเกิดศึกกลับใช้ชีวิตเลอะเลือนดุจดั่งราชาในโลกมนุษย์ ดั่งคนเมามายอยู่ในความฝัน มีเรือข้ามทวีปลำหนึ่งนำผู้ฝึกตนหญิงของทวีปมาขายให้เซียนกระบี่ท่านนี้โดยเฉพาะ คนที่เข้าตาเขาก็จะถูกรับเข้าไปเป็นสาวใช้ในตำหนักโอ่อ่ามลังเมลือง คนที่ไม่เข้าตาก็จะถูกกระบี่บินตัดหัว แต่กระนั้นก็ยังจ่ายเงินให้

มีเซียนกระบี่ที่ชอบเฝ้าอยู่ในสวนผักสวนผลไม้เล็กๆ ใช้ชีวิตดั่งชาวไร่ชาวนาปีแล้วปีเล่า

มีเซียนกระบี่ที่ชอบร่ายเวทอำพรางตาใช้ชีวิตปะปนอยู่กับหมู่ชาวบ้านร้านตลาด มั่วสุมอยู่กับพวกอันธพาลในตรอกเก่าโทรมตลอดทั้งปี

มีลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ใจคิดแต่จะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปขอศึกษาต่อที่สถานศึกษาสำนักศึกษา แล้วก็มีคุณชายชนชั้นสูงที่ทำตัวเสเพลเอาแต่ใจ อารมณ์แปรปรวนไม่แน่นอน ชอบทุ่มทองเป็นพันชั่ง ทั้งยังชอบสังหารข้ารับใช้อย่างทารุณ

อริยะลัทธิขงจื๊อคนก่อนที่มาเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยคิดอยากจะทวงความเป็นธรรมในเรื่องนี้ ทว่าเฉินชิงตูเซียนกระบี่ผู้อาวุโสกลับเอ่ยประโยคเดียวว่า ตีกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน

อริยะท่านนั้นจึงลงศึกใหญ่สามครั้ง ชนะสองแพ้หนึ่ง แล้วจึงออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างหม่นหมอง หวนกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาล ชนะเซียนกระบี่ในท้องถิ่นสองท่าน แพ้ให้กับใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้น

ความผิดความถูกในเรื่องนี้ ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิดเอาไว้

ต่อให้จั่วโย่วจะแค่ได้ยินได้ฟังมาในภายหลัง ก็ยังรู้ชัดเจนถึงปราณสังหารอันเข้มข้นที่ซ่อนอยู่ภายใน

เรื่องราวบนโลกมนุษย์ กลัวก็แต่ว่าจะไม่มีจุดยืน ความผิดความถูกปะปนกันมั่วซั่ว กลัวก็แต่ว่าจะเอาแต่พูดเรื่องจุดยืน แบ่งแค่ขาวกับดำอย่างเดียวเท่านั้น

สิ่งที่จั่วโย่วกลัวที่สุด ยังคงเป็นคนฉลาดที่เชื่อมั่นว่าขอแค่โลกใบนี้มีจุดยืนก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอีกแล้ว

เฉินผิงอันถาม “ไกลหรือใกล้?”

จั่วโย่วเก็บความคิดที่กระจัดกระจายวุ่นวายกลับมา เอ่ยว่า “เรื่องที่อยู่ตรงหน้า เรื่องที่อยู่ข้างกายของทางฝั่งนครแห่งนั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เคยเตือนไว้แล้ว ข้าเองก็รู้ดีถึงกระแสนิยมของสังคมที่นั่น คำพูดคำจาไร้ความยำเกรง เพราะฉะนั้นอีกไม่นานก็จะมีคลื่นใต้น้ำ ผ่านไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถ้อยคำซุบซิบนินทาพวกนั้นก็จะค่อยๆ แจ่มชัด สาเหตุที่ข้าชนะสี่ครั้งติด สาเหตุที่ข้าอยู่ในจวนหนิง ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์ คือศิษย์น้องของศิษย์พี่ ก็คือเหตุผล การที่ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้นก็เพราะเซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งพาคนไปดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง นี่ถึงทำให้คนหลายคนที่เดิมทีเปิดปากแล้วจำต้องหุบปากกลับไปอีกครั้ง”

จั่วโย่วเอ่ย “พูดถึงแค่ผลลัพธ์”

เฉินผิงอันกล่าว “มีคนไม่น้อยที่กลัวมากกว่าเรื่องของจวนหนิงจะถูกพลิกบัญชีอีกครั้ง ดังนั้นจึงไม่ค่อยยินดีให้ความสัมพันธ์ของจวนหนิงและจวนเหยากลับมากลมเกลียวกัน ความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ระหว่างข้า หนิงเหยาและเฉินซานชิว ต่งฮว่าฝูและเยี่ยนจั๋ว จะกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ขุ่นมัวสกปรกในสายตาของคนบางคน ก่อนหน้านั้นอาจไม่เท่าไร แต่ตอนนี้กลับจะไม่ค่อยยินดีเท่าไรแล้ว อาจยังต้องเพิ่มตระกูลกวอเข้าไปอีกตระกูล ดังนั้นต่อจากนี้สถานการณ์จะซับซ้อนอย่างมาก มีความเป็นไปได้สูงว่าช่วงนี้กวอจู๋จิ่วจะถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน เพราะอีกไม่นานจะมีถ้อยคำที่ไม่น่าฟังดังเข้าสู่ตระกูลกวอ ยกตัวอย่างเช่นบอกว่าความสามารถในการประจบสอพลอผู้มีอำนาจของตระกูลกวอมีไม่น้อย หรืออาจจะมีคนบอกว่าเซียนกระบี่ตระกูลกวอวางแผนได้ดีนัก ให้แม่นางน้อยคนหนึ่งออกหน้าไปสานสัมพันธ์ ช่างเป็นวิธีการที่ดีจริงๆ ไม่ว่าจะพูดอะไร ผลลัพธ์มีเพียงอย่างเดียว ตระกูลกวอได้แต่ห่างเหินจากจวนหนิงไปชั่วคราว เพราะถึงอย่างไรตระกูลกวอก็ไม่ใช่เรื่องของเซียนกระบี่กวอคนเดียว คนทั้งบนและล่างร้อยกว่าคนล้วนยังต้องหยัดยืนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่”

หากเป็นอย่างนี้ยังนับว่าดี เฉินผิงอันกลัวก็แต่ว่าจะมีวิธีการต่ำช้าที่ทำให้คนสะอิดสะเอียนมากกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นในกลุ่มพวกเด็กๆ ในตรอกที่อยู่ใกล้กับร้านเหล้า มีคนตายไปกะทันหัน

เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยออกมา

จั่วโย่วเอ่ยว่า “เว้นเสียแต่ว่าเฉินชิงตูออกหน้าเป็นพ่อสื่อสู่ขอให้ด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

จั่วโย่วถาม “ทำไมถึงไม่ร้อนใจเลยสักนิด”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่กล้า แล้วก็ไม่ยินดีจะไปเร่งรัดผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วข้าก็ล้วนมีแผนการรับมือเสมอ”

จั่วโย่วถามต่อ “หมายความว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบ “หากเป็นเพียงแค่คำพูด ไม่ต้องไปสนใจ เพราะควบคุมอะไรไม่ได้ หากมีการยื่นมือเข้ามา ข้าก็มีหมัดแล้วก็มีกระบี่ หากยังไม่พอ ก็ขอยืมจากศิษย์พี่”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มน้อยๆ “ไม่เลว วิธีการที่เป็นรูปธรรม ข้าก็คร้านจะถามแล้ว เจ้าลองใคร่ครวญดูให้ละเอียด เรื่องไม่คาดฝันในกำแพงเมืองปราณกระบี่มักจะเรียบง่ายและตรงไปตรงมาผิดปกติเสมอ จึงกลายเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่คาดฝันมากเป็นพิเศษ”

“รู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตอนนี้ไปขัดเกลาวิถีกระบี่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีกี่คน?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ความลับชั้นยอดเช่นนี้ ข้าไม่รู้หรอก”

จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้อะไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้ารู้แค่ชื่อแซ่ รากฐานโดยคร่าวๆ ของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินและเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงบุคคลสำคัญหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดคนของตระกูลใหญ่สิบกว่าตระกูลที่รวมต่ง เฉิน ฉีเป็นหนึ่งในนั้น แม้จะมีความหมายไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย”

จั่วโย่วกล่าวอย่างกังขา “เจ้าว่างขนาดนี้เชียว?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นความเคยชินตามธรรมชาติ อีกทั้งเรื่องนี้ข้าเองก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญ ไม่ถ่วงเวลาการฝึกหมัดและการฝึกตนเด็ดขาด ศิษย์พี่วางใจได้เลย”

จั่วโย่วถาม “เจ้าเอนเอียงไปทางสำนักการค้าและสำนักคำนวณหรือ?”

เฉินผิงอันอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เคยสัมผัสกับตำราและความรู้ของสองสำนักนี้มาก่อน”

จั่วโย่วชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า “ความรู้ของสองสำนักนี้ แม้ว่าจะเป็นปลายแถวของสามลัทธิเก้าสำนัก ถูกลัทธิขงจื๊อดูแคลนและผลักไสมากเป็นพิเศษ และเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าหากเจ้าจะอ่านตำราของพวกเขาสองสำนักในระดับที่พอเหมาะสม ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าอย่าดึงดันมากเกินไปนัก ความรู้มากมายบนโลกใบนี้ แรกเห็นมักจะชวนตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ ส่วนใหญ่มักจะตื้นเขิน มองแรกๆ เหมือนกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูตา แล้วก็มักจะรกชัฏเหมือนกอวัชพืช หลังจากอ่านและทำความเข้าใจจนกระจ่างแล้วถึงได้รู้สึกว่าที่แท้ก็มีแค่นี้เอง แต่ส่วนที่ต้องอ่านก็ยังต้องอ่านอยู่ดี กลัวก็แต่เจ้าอ่านเข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้ สามารถอ่านหลักการพื้นฐานในตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนักเล่มหนึ่งออกมาได้ ก็จะได้รับผลเก็บเกี่ยวอย่างใหญ่หลวง”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “ได้รับคำสั่งสอนแล้ว”

จั่วโย่วลุกขึ้นยืน “เว้นเสียแต่ว่าชมการต่อสู้ของนครทางทิศเหนือ ในสถานการณ์ทั่วไปแล้ว เซียนกระบี่จะไม่ใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือมาตรวจสอบความเคลื่อนไหวในนคร นี่ก็คือกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องบางเรื่องต้องให้เจ้าจัดการด้วยตัวเอง แบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าสามารถคอยช่วยจับตามองให้เจ้าได้ เจ้าคิดว่าเรื่องไหน? เจ้าหวังให้เป็นเรื่องไหนมากที่สุด?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ข้าอยากให้ศิษย์พี่ช่วยจับตามองพวกเด็กๆ ในตรอกที่อยู่ใกล้กับร้านเหล้า อย่าให้พวกเขาต้องมาตายเพราะข้า”

จั่วโย่วไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ แต่ถามอีกคำถาม “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เล็กที่สุดหรอกหรือ? ควรค่าให้ข้าจั่วโย่วจับตามองหรือไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในสายตาของบัณฑิต โลกมนุษย์ไร้เรื่องเล็ก”

จั่วโย่วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เฉินผิงอัน หากเจ้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เร็วกว่านี้ก็คงดี อาจารย์จะได้ไม่ต้องกลัดกลุ้มอยู่นานเป็นร้อยปี เจ้าสามารถดูแลถุงเงินของอาจารย์แทนข้าได้ เจ้าสามารถพูดคุยกับอาจารย์บ่อยๆ ได้ สิ่งเหล่านี้ข้าล้วนไม่ถนัดเลย”

หัวข้อสนทนาแบบนี้ เฉินผิงอันไม่มีทางรับคำเด็ดขาด

จั่วโย่วพลันเอ่ยว่า “ปีนั้นอาจารย์กลายเป็นอริยะก็ยังคงมีคนด่าอาจารย์ว่าเป็นตาเฒ่าปีศาจบุ๋น บอกว่าอาจารย์เหมือนคนที่ฝึกลมปราณจนกลายเป็นมาร อีกทั้งยังเป็นตบะที่แช่มาจากถังน้ำหมึก อาจารย์ได้ยินแล้วก็เอ่ยแค่สองคำ ประเสริฐยิ่ง”

เฉินผิงอันกล่าว “ราชสำนักต้าสุย หลังจากที่ฮ่องเต้สกุลเกาลงนามพันธมิตรขุนเขากับราชวงศ์ต้าหลี ประชาชนพากันเดือดดาล คำด่าหนึ่งในนั้นก็คือด่าว่าศิษย์พี่เหมาคือปีศาจบุ๋น ตอนนี้ลองมานึกดูแล้ว ตอนนั้นศิษย์พี่เหมาคงจะดีใจอย่างมาก”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!