เฉินผิงอันสังเกตเด็กหนุ่มคนนี้มานานแล้วว่าเขาคือคนที่ตั้งใจฟังเรื่องเล่าและการอธิบายตัวอักษรอย่างจริงจังมากที่สุด
และเด็กหนุ่มก็คือหนึ่งในลูกศิษย์ของพวกช่างที่มาซ่อมผิวถนนก่อนหน้านี้
แต่เฉินผิงอันกลับค้นพบว่าร่างกายของเด็กหนุ่มอ่อนแอ ไม่เพียงแต่สูญเสียช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกหมัดไปแล้ว ร่างกายยังไม่เหมาะแก่การฝึกยุทธมาโดยกำเนิดด้วย นี่ไม่ค่อยเหมือนกับจ้าวซู่เซี่ยเท่าใดนัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถเรียนวิชาหมัดได้ เรียนได้ก็จริง แต่กลับยากที่จะประสบความสำเร็จ อย่างน้อยที่สุดความยากลำบากของขอบเขตสามก็คงจะผ่านพ้นไปไม่ได้
เฉินผิงอันยังไม่ถอดใจ หลังจากสอบถามหนิงเหยาแล้ว หนิงเหยามองเด็กหนุ่มอยู่ไกลๆ ครั้งหนึ่งก็ส่ายหน้า บอกว่าเด็กหนุ่มไม่มีคุณสมบัติของการฝึกกระบี่ ก้าวแรกข้ามผ่านไปไม่ได้ เรื่องนี้ไม่สำเร็จ เรื่องอื่นก็ไม่ต้องหวัง เรียกร้องอย่างไรก็ไม่ได้มาครอง เฉินผิงอันถึงได้ยอมตัดใจ
บางทีอาจไม่ได้เป็นเพราะเด็กหนุ่มรักการเรียนรู้ตัวอักษรสักเท่าไร เพียงแต่นับตั้งแต่เด็กก็ต้องมีชีวิตโดดเดี่ยวยากลำบาก ที่บ้านไร้คนให้พึ่งพา ไม่มีเรื่องอะไรให้ไขว่คว้า จึงคิดว่าควรจะต้องทำอะไรบางอย่าง หากไม่ต้องจ่ายเงินแล้วสามารถทำให้ตัวเองแตกต่างไปจากคนวัยเดียวกันได้สักเล็กน้อย เด็กหนุ่มผู้ยากจนก็จะตั้งใจมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “จางเจียเจิน การอธิบายตัวอักษรเหวิ่นของเจ้าถูกไปเกินครึ่ง ดังนั้นข้าจึงมอบกิ่งไผ่นี้ให้เจ้า”
เฉินผิงอันยื่นกิ่งไผ่ส่งไปให้ เด็กหนุ่มที่คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะรู้ชื่อแซ่ของตนพลันหน้าแดงซ่าน ตื่นตระหนกทำตัวไม่ถูก เขาส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่ต้องการสิ่งนี้”
เฉินผิงอันจึงเก็บกิ่งไผ่ไป ยิ้มถามว่า “ทำไม อยากเรียนวิชาหมัดหรือ?”
จางเจียเจินยังคงส่ายหน้า “มันจะถ่วงการทำงานในระยะยาว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีทักษะที่ตัวเองถนัดอย่างแท้จริง จึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืนที่สำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะมีชีวิตที่ดีได้ ถึงเวลานั้นคิดจะโทษฟ้าโทษคนอื่นก็มีเหตุผลให้ตัวเองได้ทุกเรื่อง รู้สึกว่าคนดีก็ยังผิด แบบนี้จะทำให้จิตใจย่ำแย่แล้ว”
เด็กหนุ่มคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ ต่อให้ในบรรดาคนวัยเดียวกันที่อยู่ในตรอกใกล้เคียง เขาจะเป็นคนที่รู้ตัวอักษรมากที่สุด แต่ความรู้ที่แท้จริง เขาจะรู้ได้อย่างไร?
ทว่าถึงอย่างไรถ้อยคำเหล่านี้ของเฉินผิงอันก็ไม่ใช่หลักการของอริยะปราชญ์ คือเรื่องในชีวิตประจำวันทั่วไปที่ตื้นเขิน จางเจียเจินจึงพอจะฟังเข้าใจบางส่วน ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันยอมรับเรื่องที่เขาทำงานใช้แรงงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง นี่จึงทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มสงบสุขขึ้นมาเยอะมาก
การที่ได้รับการยอมรับจากคนอื่น ต่อให้จะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยแค่ไหน แต่สำหรับเด็กหนุ่มอย่างจางเจียเจินแล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
เด็กที่กอดไหไว้ในอ้อมอกคนนั้นโหวกเหวกขึ้นมาว่า “ข้าไม่เป็นช่างก่ออิฐปูกระเบื้องหรอกนะ! ไม่มีทางได้ดิบได้ดี เมียที่แต่งมาได้ก็มีทางสวย!”
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะของเด็กข้างกายแล้วโยกเบาๆ “เจ้ามันมีปณิธานสูงส่งยาวไกล พอใจแล้วหรือยัง? ตอนเจ้ากลับไปถึงบ้านก็ลองถามท่านพ่อเจ้าดูนะว่า ท่านแม่ของเจ้าสวยหรือไม่? หากเจ้ากล้าถาม ด้วยความกล้าหาญนี้ ข้าจะเล่าเรื่องประหลาดพิสดารให้เจ้าฟังคนเดียวเลย การค้าครั้งนี้ จะทำหรือไม่?”
“ข้าคันหนังหรือไงล่ะ? เรื่องเล่าเจ้าต้องเล่าให้ฟังบ่อยๆ อยู่แล้ว ไม่ได้หนีไปไหนสักหน่อย แต่หากท่านแม่ข้าโมโหขึ้นมา ท่านพ่อก็มีแต่จะผลักให้ข้าไปโดนซ้อมแทนเขา”
เด็กคนนั้นชูไหขึ้น พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เฉินผิงอัน สรุปว่าเจ้าจะสอนวิชาหมัดให้ข้าหรือไม่?! มีเงินมายื่นให้ถึงมือแต่ไม่ยอมรับไว้ เจ้าเป็นคนโง่หรือไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันนี้เล่าเรื่องช่วงหลังเสร็จ ข้าจะสอนวิชาหมัดหยาบๆ ชุดหนึ่งให้พวกเจ้า ทุกคนล้วนสามารถเรียนได้ แต่บอกไว้ก่อนว่า วิชาหมัดนี้น่าเบื่ออย่างมาก เรียนไปแล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องได้ดิบได้ดี อย่างมากสุดยามหน้าหนาวที่หิมะตกลงมาก็จะไม่หนาวมากเหมือนเดิมอีก”
เด็กชายร้องอ้อหนึ่งที รู้สึกว่าแบบนี้ก็ได้ ไม่เรียนก็เสียเปล่า ดังนั้นจึงรีบกอดไหไว้แน่น
เฉินผิงอันหัวเราะพูดกับเด็กคนนั้น “ยังไม่ส่งไหเงินมาให้ข้าอีก?”
เด็กชายถาม “เจ้าเฉินผิงอันก็หลอกเอาเงินจากเด็กได้ลงคอหรือ? ยอดฝีมืออย่างเจ้าไม่รู้สึกอายบ้างหรือไร ดีนะที่ข้าไม่เรียนวิชาหมัดจากเจ้า ไม่อย่างนั้นหากวันหน้าได้เป็นยอดฝีมือแล้วจะไม่ยอมเป็นเหมือนเจ้าเด็ดขาดเลย”
เสียงหัวเราะดังครืนรอบม้านั่งตัวเล็ก
ต่อให้จะเป็นเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างจะอายุมากอย่างจางเจียเจินก็ยังรู้สึกอิจฉาความใจกล้าของเด็กคนนั้นที่กล้าพูดกับเฉินผิงอันแบบนี้
เฉินผิงอันเล่าเรื่องขุนเขาสายน้ำที่มีทั้งภูตผีก่อกวน แล้วก็มีผู้ฝึกตนมากำจัดปีศาจปราบมารเรื่องนั้นต่อไป จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน วางกิ่งไผ่ไว้บนม้านั่งตัวเล็ก พวกเด็กๆ พากันแหวกพื้นที่ว่างให้กับเขา แล้วก็มองดูบุรุษชุดเขียวคนนั้นค่อยๆ เดินนิ่งหกก้าวไปช้าๆ
เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง ยิ้มกล่าว “ทำเป็นแล้วหรือยัง?”
กวอจู๋จิ่วมองตาไม่กะพริบ วิชาหมัดเลิศล้ำ มีมาดของปรมาจารย์อย่างเต็มเปี่ยม!
เด็กที่กอดไหเงินพูดอย่างอึ้งตะลึง “จบแล้ว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่อย่างนั้นจะให้เป็นยังไงอีกล่ะ?”
เด็กชายวางไหลงเบาๆ ลุกขึ้นแล้วออกกระบวนท่ากางเล็บแยกเขี้ยว หลังจากเก็บหมัดพร้อมกับเสียงหอบหายใจดังฮักๆ แล้ว เด็กชายก็เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “นี่ต่างหากถึงจะเป็นวิชาหมัดที่ก่อนหน้านี้เจ้าเอาชนะเซียนกระบี่น้อยมากมายขนาดนั้นมาได้ เฉินผิงอัน! เจ้าคิดจะหลอกใครกัน? เดินธรรมดาทีละก้าว แถมยังช้าแทบตายแบบนี้ ข้ายังร้อนใจแทนเจ้าแล้วด้วยซ้ำ!”
เฉินผิงอันชี้ไปยังตัวอักษรบนพื้น ยิ้มกล่าว “ลืมไปแล้วรึ?”
เฉินผิงอันเดินนิ่งหกก้าวอีกรอบ เขายังคงเดินเนิบช้าพลางค่อยๆ ปล่อยหมัด เดินไปพร้อมพูดไปด้วยว่า “การฝึกวิชาหมัดทุกชนิดล้วนแสวงหาคำว่ามั่นคง สักวันหนึ่งเมื่อฝึกวิชาหมัดได้สำเร็จ พอปล่อยหมัดนี้ออกไป…”
หมัดสุดท้ายของท่าเดินนิ่ง เฉินผิงอันหยุดฝีเท้า แล้วปล่อยหมัดขึ้นสู่ม่านฟ้าในแนวเฉียง
พวกเด็กๆ พากันเบิกตากว้างมองท้องฟ้า
เฉินผิงอันเก็บหมัดมาเงียบๆ แล้ว เขาหยิบกิ่งไผ่และหิ้วม้านั่งขึ้นมา เตรียมจะกลับร้านแล้ว
เด็กคนนั้นถามอย่างเหม่อลอยว่า “หมัดนี้ปล่อยออกไป ไม่มีเสียงฟ้าร้องสักหน่อยหรือ?”
คนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้ารับ รู้สึกไม่สาแก่ใจเลยสักนิด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้ปล่อยหมัดจริงๆ สักหน่อย”
บรรยากาศพลันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
กวอจู๋จิ่วกดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน แล้วตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “ครืนๆๆ!”
เฉินผิงอันยกมือกุมขมับด้วยรู้สึกอับอายไม่น้อย แต่จะทำร้ายจิตใจแม่นางน้อยก็ไม่ได้ เลยยอมผิดต่อมโนธรรมในใจเค้นรอยยิ้มส่งไปให้พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้นาง
เด็กคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเด็กเล็กเด็กโตต่างก็หันมามองหน้ากันเอง
แยกย้ายๆ น่าเบื่อจริงๆ ไว้รอฟังเรื่องเล่าครั้งต่อไปดีกว่า
เฉินผิงอันเรียกจางเจียเจินเอาไว้ เด็กหนุ่มมึนงง แต่ก็ยังเดินมาหยุดข้างกายเฉินผิงอันด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย
สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว บุรุษที่ชื่อว่าเฉินผิงอันคนนี้ก็คือ…คนบนฟ้า
เฉินผิงอันออกเดินช้าๆ บิดหมุนข้อมือ แอบหยิบใบไผ่ใบหนึ่งออกมายัดใส่มือจางเจียเจิน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ให้เจ้า เวลาปกติสามารถพกติดตัวได้ ต่างก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกับวิชาหมัดนั้น ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจจะทดสอบอะไรเจ้า แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ทว่าขอแค่เจ้ายินดีจะเรียนวิชาหมัด ทุกวันฝึกเดินท่านี้หลายๆ รอบ บวกกับใบไผ่เล็กๆ ใบนี้ มันจะช่วยให้เจ้าต้านทานลมหนาวได้อีกนิด อีกไม่นานหิมะก็จะตกแล้ว ช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ คิดจะทำงานใช้แรงงานให้สบายขึ้นมาหน่อยก็ยังพอจะช่วยได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!