เว่ยจิ้นเก็บกาเหล้าลงไป ขยับนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “ยินดีจะรับฟังคำสั่งสอนจากผู้อาวุโสจั่ว”
จั่วโย่วกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่ฝึกกระบี่ ให้ความสำคัญกับอะไรที่สุด?”
เว่ยจิ้นส่ายหน้า “คำตอบมากมายในใจข้าย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสคิดไว้อย่างแน่นอน”
จั่วโย่วยกมือขึ้นทำเป็นท่ากุมกระบี่ “คือคนกุมกระบี่ เป็นเหตุให้เวทกระบี่สูงแค่ไหน วิถีกระบี่กว้างใหญ่เท่าไร สำหรับผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราแล้วก็ล้วนถือเป็นเรื่องเล็ก ต่อให้ในมือเจ้าจะกุมกระบี่เซียนทั้งห้าเล่มในตำนานเอาไว้ ไม่ว่าขอบเขตของเจ้าในเวลานี้จะคืออะไร จะใช่เซียนกระบี่หรือไม่ เจ้าต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่กุมกระบี่”
จั่วโย่วดึงมือกลับ หันหน้ามาเอ่ยว่า “หากเพียงแค่ชอบสตรีคนหนึ่งก็ออกกระบี่ไม่ได้แล้ว จะถือว่าเป็นเซียนกระบี่ได้อย่างไร? เจ้าเว่ยจิ้นก็แค่มีคุณสมบัติในการฝึกกระบี่ที่ดี ถึงได้มีขอบเขตหยกดิบ นานวันเข้า หากอาศัยเพียงแค่พรสวรรค์และคุณสมบัติเพียงอย่างเดียว พวกมันก็ไม่สามารถประคับประคองให้เจ้าเดินไปสู่จุดสูงได้ ข้าแน่ใจเลยว่า หากเจ้าไม่ยอมฝ่าด่านในใจไปให้ได้เสียที ผลสำเร็จในท้ายที่สุดของเจ้าจะธรรมดามาก และวันหน้าก็ไม่ต้องมาพูดคุยกับข้าแล้ว”
เว่ยจิ้นกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ พึมพำว่า “แต่ผู้น้อยก็ยังคงรู้สึกว่า บนโลกนี้มีเพียงความรักชายหญิงเท่านั้นที่ยาวยิ่งกว่าปราณกระบี่ ข้าตัดใจสะบั้นมันให้ขาดไม่ลง ถึงขั้นไม่ยินดีจะทิ้งมันไป คิดถึงนางก็ดื่มเหล้า เลอะๆ เลือนๆ ดั่งคนที่ถูกผีบังตาอยู่ในภูเขา เมื่อเทียบกับการที่ต้องขาดคนที่ชอบไปหนึ่งคน ได้ดื่มเหล้าน้อยลงไปจากเดิม แล้วสะพายกระบี่เดินขึ้นสู่ที่สูง สำหรับข้าแล้วกลับกลายเป็นว่าแบบนั้นดียิ่งกว่า”
จั่วโย่วส่ายหน้า “แบบนี้ก็ไร้ทางเยียวยาแล้ว”
เว่ยจิ้นถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าผู้น้อยก็ไม่สามารถมาพูดคุยกับผู้อาวุโสได้อีกแล้วใช่ไหม?”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่เว่ยจิ้นไสหัวไปให้ไกล ผีขี้เหล้าเว่ยจิ้นสามารถมาบ่อยๆ ได้”
เว่ยจิ้นหัวเราะเสียงดังกังวาน กระดกเหล้าดื่มคำใหญ่ เตรียมจะถามว่าในใต้หล้าทั้งสี่นี้ มีกระบี่เซียนทั้งหมดสี่เล่ม นี่เป็นเรื่องจริงที่คนทั้งโลกล้วนรู้กันดี เหตุใดจั่วโย่วถึงได้บอกว่ามีห้าเล่ม?
เต๋าเหล่าเอ้อร์แห่งใต้หล้ามืดสลัวมีกระบี่เซียนหนึ่งเล่ม เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ครอบครองเล่มหนึ่ง และยังมีบัณฑิตที่ถูกขนานนามว่าเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของโลกมนุษย์ผู้นั้นที่ได้ครอบครองเล่มหนึ่ง นอกจากนี้แล้วก็เล่าลือกันว่าหอสยบกระบี่หนึ่งในเก้าหอพิทักษ์เมืองของใต้หล้าไพศาล ได้สยบกำราบกระบี่เซียนเล่มสุดท้ายเอาไว้ ใต้หล้าทั้งสี่แห่งกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงไหน ทว่าอาวุธเซียนก็ยังคงมีอยู่ไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย แต่ก็มีเพียงกระบี่ที่คู่ควรกับคำว่า ‘กระบี่เซียน’ เท่านั้นที่ตลอดหมื่นปีมานี้มีอยู่แค่สี่เล่ม ไม่มีทางมีเพิ่มได้อีก
เพียงแต่ว่ารอจนเว่ยจิ้นดื่มเหล้าหมดแล้วถามคำถามนี้อีกครั้ง เขาก็ต้องออกมาจากหัวกำแพงเมืองแห่งนี้แล้ว
เพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาแล้ว
เว่ยจิ้นคารวะบอกลาแล้วออกมาจากหัวกำแพงเมือง
เฉินชิงตูยืนอยู่ริมกำแพง “แปลกใจมากใช่ไหมที่ตัวเองมีศิษย์น้องเล็กที่เป็นเช่นนี้ได้?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร
เด็กหนุ่มจ้าวเกาซู่ได้เรียนวิชากระบี่สิบแปดหยุด
ตอนนั้นจั่วโย่วใช้ปราณกระบี่ตัดขาดจากฟ้าดิน แล้วเฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยประโยคนี้ออกมา
ในความเป็นจริงแล้วตอนนั้นเฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูด แต่กลับเอ่ยอีกชื่อหนึ่ง จ้าวซู่เซี่ย
อายุน้อยๆ ก็ระมัดระวังได้ถึงขั้นนี้ ขนาดจั่วโย่วยังรู้สึกตกตะลึงนิดๆ
สำหรับการที่เซียนกระบี่จั่วโย่วเพียงแค่พยักหน้ารับแต่ไม่เอ่ยอะไรซึ่งมองดูเหมือนไม่ให้ความเคารพกันมากพอนี้ ผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้ถือสา หากแม้แต่ความเย่อหยิ่งน้อยนิดแค่นี้ของจั่วโย่วเขายังให้อภัยไม่ได้ เซียนกระบี่มากมายที่อยู่นครทางเหนือและบนหัวกำแพงแห่งนี้ อยู่ภายใต้กระบี่ของเขาเฉินชิงตู จะยังมีคนรอดชีวิตได้สักกี่คน?
และจั่วโย่วก็ไม่แปลกใจที่เฉินชิงตูรู้เรื่องนี้
อยู่เหนือหัวกำแพงเมืองใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองฝ่าย เฉินชิงตูก็คือบุคคลที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน คาดว่าคงเป็นรองแค่ยามที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์อยู่ในศาลบุ๋น มรรคาจารย์เต๋าเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิง และศาสดาพุทธประทับแท่นดอกบัวก็เท่านั้น
และนี่ก็คือจุดที่จั่วโย่วจนใจมากที่สุด
แต่ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้จั่วโย่วเคารพเลื่อมใสผู้เฒ่าท่านนี้ที่สุดเช่นกัน
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างพยายามจะโจมตีกำแพงเมืองมานานเป็นหมื่นปี แต่เพราะเหตุใดกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงยังตั้งตระหง่านไม่ล้มลง?
เหล่าปีศาจใหญ่ของตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ขอแค่เป็นวันหนึ่งที่เฉินชิงตูยังไม่ตาย ต่อให้ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่เหลืออยู่แล้ว พวกเขาก็ยังคงไปเยือนภูเขาห้อยหัว ไปเยือนใต้หล้าไพศาลไม่ได้อยู่ดี
แล้วก็มีเพียงเฉินชิงตูเท่านั้นที่สยบเหล่าผู้ฝึกกระบี่จอมพยศเย่อหยิ่งทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้นานเป็นหมื่นปี
มีเพียงผู้เฒ่าคนนี้ที่สามารถเอ่ยประโยคว่า ‘เจ้าอายุยังน้อย ข้าถึงใจกว้างยอมอภัย’ กับอิ่นกวานได้
เฉินชิงตูเอ่ย “รอให้ปัญหาน้อยใหญ่ในนครผ่านไปก่อน เจ้าบอกให้เฉินผิงอันมาพักที่กระท่อม ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี เมื่อไหร่ที่เขากลายเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างสมชื่อแล้ว ข้าก็จะออกจากหัวกำแพงเมือง ไปช่วยเขาสู่ขอภรรยาด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่มีหน้าจะเปิดปากนี้ จะให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคนหนึ่งแหกกฎทำเรื่องที่ไม่เคยทำ เหล้าหนึ่งร้าน โรงเรียนเล็กๆ หนึ่งแห่ง ยังซื้อไม่ได้หรอก”
จั่วโย่วเอ่ย “ต้องดูที่ความต้องการของเขา หากถึงเวลานั้นเจ้าไม่ไปตระกูลเหยา ข้าจะไปเอง”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “แบบนี้ไม่ประเสริฐแล้วนะ ไม่ว่าอาจารย์ของเจ้าอยู่ที่นี่ หรือศิษย์น้องเล็กของเจ้าที่อยู่ที่นี่ ก็ล้วนไม่มีทางพูดเช่นนี้”
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “เจ้าเองก็จับตามองพวกเด็กๆ ของตรอกเก่าโทรมแถวร้านเหล้าด้วยหรือ? เฉินชิงตูที่ไม่เคยสนใจเรื่องอะไร กลับสนใจเรื่องแบบนี้ด้วย?
“ทำไมเล่า?”
เฉินชิงตูย้อนถาม “เวทกระบี่ของข้าสูงกว่าเจ้า ปณิธานกระบี่สูงกว่าเจ้า วิถีกระบี่สูงกว่าเจ้า ความรู้ก็ใหญ่กว่าเจ้า ขนาดเจ้ายังเก็บมาใส่ใจ แล้วข้าจะมองให้มากหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”
จั่วโย่วสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าทนเจ้ามาสองครั้งแล้ว”
เฉินชิงตูยิ้มบางๆ “จุดที่ปราณกระบี่ยาวที่สุดก็ยังสู้คนอื่นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอดทนไปเสียแต่โดยดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!