กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 586

หนิงเหยาดื่มเหล้าพลางเอ่ยว่า “หลังจากที่ท่านปู่เสี่ยวต่งตายไปได้ไม่นานก็มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า ปีนั้นที่ข้าถูกลอบสังหารในหอมายา ก็คือแผนการที่ท่านปู่เสี่ยวต่งวางแผนเองกับมือ”

หนิงเหยาหัวเราะ “ข้าไม่เชื่อหรอก เพียงแต่ว่ามีคนปากมาก ข้าจะขวางก็ขวางไม่อยู่”

เฉินผิงอันถาม “ไม่พูดถึงว่าความจริงเป็นอย่างไร ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น เจ้าเสียใจหรือไม่?”

หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นช่วงนี้นอกจากไปฝึกกระบี่ที่หัวกำแพง ข้าก็คงไม่ออกจากบ้านแล้ว”

หนิงเหยาถามอย่างสงสัย “นอกจากที่แม่หนูลวี่ตวนถูกลอบฆ่า ยังจะมีเรื่องเกิดขึ้นอีกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว มีคนคิดจะทดสอบฝีมือของข้า ขณะเดียวกันก็พยายามทำให้จวนหนิงโดดเดี่ยว พูดไปพูดมาก็คือยังอยากให้เจ้าเสียสมาธิ ขัดขวางการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้า เมื่อก่อนไม่มีโอกาส เกิดเรื่องคดีที่หอมายา เรื่องของต่งกวานพู่ แล้วยังมีการออกกระบี่ด้วยมือของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ใครก็ไม่กล้าลงมือต่อจวนหนิงอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้ข้ามาเยือนที่นี่ก็จะมีจุดให้ลงมือได้แล้ว”

หนิงเหยาถาม “ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้าไม่รำคาญเรื่องพวกนี้เลยสักนิด? อันที่จริงข้ารำคาญมาก เพียงแต่รู้ว่ารำคาญไปก็ไร้ประโยชน์ ก็เลยไม่ไปสนใจ แล้วก็ไม่คิดให้มากความด้วย”

เฉินผิงอันยื่นมือไปขอกาเหล้า หนิงเหยาจึงเตรียมจะยื่นส่งมาให้ตามจิตใต้สำนึก แต่ไม่นานก็หันมาถลึงตาใส่เฉินผิงอันแทน

เฉินผิงอันที่ไม่ได้สมใจจึงเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อต่อ “ฝีมือของเฉินผิงอันคนต่างถิ่นเป็นอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเรื่องของตบะและจิตใจ หมัดของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเป็นอย่างไร เริ่นอี้ ผู่อวี๋ ฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ได้ช่วยพิสูจน์ให้ข้าแล้ว ส่วนจิตใจคน หนึ่งอยู่จุดสูง หนึ่งอยู่จุดต่ำ หากอีกฝ่ายเชี่ยวชาญการวางแผนก็จะต้องลองหยั่งเชิงดู ยกตัวอย่างเช่นหากกวอจู๋จิ่วถูกลอบฆ่า จวนหนิงกับตระกูลกวอที่มีผู้ฝึกกระบี่กวอเจี้ยเฝ้าพิทักษ์ก็จะต้องห่างเหินกันไปอย่างสิ้นเชิง นี่ไม่เกี่ยวกับว่าเซียนกระบี่กวอเจี้ยเป็นคนมีคุณธรรมหรือไม่ เพราะตลอดทั้งตระกูลกวอได้มีหนามแหลมตำใจกันมานานแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้แม่นางน้อยไม่เป็นอะไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว จะทดสอบจุดต่ำของจิตใจคนได้อย่างไร ง่ายมาก หากมีเด็กในตรอกตายไปสักคนหนึ่ง กิจการร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างก็จบเห่แล้ว ข้าก็จะไม่ไปเป็นนักเล่านิทานที่นั่นอีก หากไป ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีใครมาฟังเรื่องเล่าสายน้ำขุนเขาจากข้าอีก สังหารกวอจู๋จิ่วยังต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่เล็ก แต่สังหารเด็กในตรอกไปคนหนึ่ง ใครจะสนใจ? แต่หากข้าไม่สนใจ ผู้ฝึกกระบี่มากมายขนาดนั้นในกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะมองข้าเฉินผิงอันอย่างไร? หากสนใจ ควรจะสนใจอย่างไรถึงจะถือว่าสนใจ?”

หนิงเหยาฟังจนหัวคิ้วขมวดมุ่นเป็นปม

ฟังเข้าสิ ป๋ายหมัวมัวพูดผิดแล้ว เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าหมอนี่วางแผนรอบคอบรัดกุมไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คิดถึงไปหมด

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะต้องกลุ้มไปไย ในเมื่อข้าคิดได้แล้ว โอกาสของพวกเขาก็จะน้อยลงแล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องบางเรื่องต่อให้คิดได้ก็ต้องรอให้อีกฝ่ายลงมือเสียก่อน”

หนิงเหยาถาม “ยกตัวอย่างเช่น?”

“ยกตัวอย่างเช่นป่าวประกาศไปทั่วว่าข้าคือลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง คือศิษย์น้องของจั่วโย่ว เรื่องพวกนี้ยังดี ได้แค่ทำให้เจ็บๆ คันๆ เท่านั้น เพราะผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยอมรับในตบะที่แท้จริงของกันและกันมากกว่า”

เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “หรือยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มบางคนที่ไม่มีหลักแหล่งดื่มเหล้าเมามายแล้วยกเรื่องในอดีตของจวนหนิงมาพูดต่อหน้าข้า มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าคำพูดที่ใช้จะไม่สุดโต่งเกินไปนัก เพราะไม่อย่างนั้นจะดูเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผล มีแต่จะชักนำให้ฝูงชนเดือดดาล ไม่แน่ว่าพวกลูกค้าที่มาดื่มเหล้าคนอื่นๆ อาจลงมือช่วยเหลือข้าด้วย ดังนั้นอีกฝ่ายควรจะใช้คำพูดอย่างไรก็ต้องร่างบทมาไว้เสียก่อน ใคร่ครวญหากำลังไฟที่พอเหมาะพอดี ทั้งสามารถทำให้ข้าเดือดดาลจนลงมือ แล้วก็ไม่ถือว่าเขาเป็นคนที่ยั่วยุข้า เป็นคำพูดผดุงคุณธรรมที่มาจากความรู้สึกล้วนๆ สุดท้ายเมื่อหมัดของข้าปล่อยออกไป ไม่ว่าจะฆ่าเขาตายหรือไม่ หลังจบเรื่องล้วนต้องเป็นข้าที่ขาดทุน เลือดลมที่พลุ่งพล่านของคนหนุ่มอยู่ได้ไม่นาน กลอุบายลึกล้ำเกินไปไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่”

หนิงเหยาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าพวกเราไปที่ร้านเหล้าเตี๋ยจ้างให้น้อยลง? เจ้าไปกลับแค่ระหว่างหัวกำแพงเมืองกับจวนหนิง คงไม่มีใครตั้งใจมาขวางทาง ไม่อย่างนั้นร่องรอยจะเด่นชัดเกินไป ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเยอะ แต่คนโง่มีไม่มาก”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยังต้องไป”

หนิงเหยาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร

“นักบัญชีชอบดีดลูกคิดคำนวณ แต่ก็ยังมีชีวิตให้ต้องใช้ ไม่มีทางคิดคำนวณต้นทุนและผลกำไรอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ข้าเป็นใคร? ใช้ชีวิตที่ไม่มีอะไรเลยมาจนเคยชินแล้ว ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ยังต้องกลัวเรื่องพวกนี้อีกหรือไร?”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองไปทางลานประลองยุทธ แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าได้ยินคำพูดระยำมานานหลายปีขนาดนั้น ข้าเองก็อยากฟังกับหูตัวเองบ้าง เมื่อก่อนเจ้าไม่ยินดีจะสนใจพวกเขาก็ช่างเถิด ตอนนี้ข้าอยู่ข้างกายเจ้าแล้ว แต่ยังมีคนกล้าคิดร้ายต่อเจ้า พาตัวเองมารนหาที่ถึงถิ่นของเรา หากข้ายังไม่ปล่อยหมัดใส่เขาตรงๆ หรือยังจะต้องเลี้ยงเหล้าเขาด้วย?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าว “ต้องเป็นเรื่องของหมัดที่ปล่อยไปได้อย่างง่ายดายแน่นอน เพราะขอบเขตของอีกฝ่ายจะสูงมากไม่ได้ ต้องสู้เริ่นอี้ไมได้แน่ๆ เพราะถ้าสูงเกินไปก็จะไม่มีใครเห็นใจ”

หนิงเหยาถาม “จะไปที่ร้านเมื่อไหร่?”

นี่ก็คือนิสัยของหนิงเหยา

เฉินผิงอันไม่แปลกใจแม้แต่น้อย

ปีนั้นตอนอยู่ที่เมืองเล็ก หากไม่พูดถึงความรักความชื่นชอบ อันที่จริงนิสัยการลงมือทำเรื่องต่างๆ ของหนิงเหยาได้ส่งอิทธิพลต่อเฉินผิงอันอย่างมาก

หนึ่งในนั้นก็คือประโยคที่ว่า ‘มหามรรคาไม่ควรเล็กแค่นี้’ นี่ทำให้ภายหลังที่เฉินผิงอันเดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วมองการฝึกตนบนภูเขา จึงไม่เคยต้องแหงนหน้ามองเทพเซียนบนภูเขาอย่างแท้จริงมาก่อน

และการลงมือรวดเร็วฉับไวของหนิงเหยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีที่ว่า ‘เรื่องมาถึงขั้นนี้ ควรจะทำอย่างไร’ ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดนั้น เฉินผิงอันก็ยังจดจำได้อย่างลึกซึ้งมาจนถึงวันนี้

มีจิตใจที่ใสกระจ่างและปรุโปร่งเช่นนี้ ถึงได้ไม่กลัวปัญหายุ่งยากร้อยพันที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็แค่จัดการแก้ไขมันไปเท่านั้น

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “รอให้ข้ารักษาบาดแผลให้หายดีเสียก่อน อีกฝ่ายจะได้มีโอกาสวางแผนได้เรียบร้อยด้วย บอกตามตรง มีหลายๆ ครั้งที่ข้าร้อนใจแทนศัตรูด้วยซ้ำ นึกอยากจะสอนพวกเขาเสียเลยว่าควรจะออกกระบวนท่าอย่างไรถึงจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันยังทำให้คนเคียดแค้นสะอิดสะเอียนได้ที่สุดด้วย”

หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไร

เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายหนิงเหยา เอ่ยเบาๆ ว่า “อย่ารู้สึกว่าข้าเปลี่ยนไป กลายไปเป็นคนแปลกหน้า ข้าเป็นแบบนี้มาโดยตลอด แต่ก็เหมือนอย่างที่พูดกับเจ้าก่อนหน้านี้ มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ข้าไม่เคยคิดมาก นี่ไม่ใช่ถ้อยคำไพเราะน่าฟังอะไร เป็นเพียงถ้อยคำที่มาจากใจจริงเท่านั้น”

หนิงเหยาเอ่ยเบาๆ “หากไม่ชอบข้า หากไม่มาที่นี่ เจ้าก็ไม่ต้องเจอกับเรื่องมากมายขนาดนี้ เจ้าสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ ถึงขั้นสามารถรอให้อนาคตกลายเป็นเซียนกระบี่ก่อนแล้วค่อยมาหาข้าก็ยังได้ ข้าก็จะยังรอเจ้าอยู่เหมือนเดิม”

ป๋ายหมัวมัวพูดถูกแล้ว หนิงเหยาต้องเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็ต้องเชื่อใจเฉินผิงอัน ถ้อยคำที่เก็บไว้ในใจก็ควรพูดกับเขาไป มีหนึ่งประโยคก็พูดหนึ่งประโยค ไม่ต้องสนใจว่ามีเหตุผลหรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ชอบใช้เหตุผลที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่มีเรื่องให้พูดคุยกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!