เฉินผิงอันมาดื่มเหล้าที่ร้านอีกครั้งก็ห่างจากมรสุมครั้งก่อนไปสิบวันแล้ว เป็นช่วงปลายปี แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไม่มีกลิ่นอายของวันสิ้นปีเข้มข้นเหมือนที่ใต้หล้าไพศาล
เถ้าแก่ใหญ่อย่างเตี๋ยจ้างยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นจากฝีมือของเถ้าแก่รอง และเตี๋ยจ้างเองก็ได้เรียนรู้คัมภีร์การทำการค้าจากเฉินผิงอันไปไม่น้อย ยิ่งนานก็ยิ่งคุ้นเคยกับการต้อนรับขับสู้ลูกค้า พูดง่ายๆ ก็คือนางได้ทุ่มศักดิ์ศรีหน้าตาทั้งหมดที่มีแล้ว
หากมีคนถามว่า ‘เถ้าแก่ใหญ่ วันนี้เลี้ยงเหล้าหรือไม่? ได้เงินเทพเซียนไปจากพวกเรามากมายขนาดนี้ก็น่าจะเลี้ยงสักครั้งสิ?’
เตี๋ยจ้างก็จะตอบว่า ‘เซียนกระบี่อย่างเจ้า จ่ายเงินซื้อเหล้าดื่มกับออกกระบี่สังหารปีศาจ ไหนเลยจะต้องให้คนอื่นทำแทนด้วย?’
ต่อให้ลูกค้าทุกคนจะพากันผิวปากแซว ทุกวันนี้เตี๋ยจ้างก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว
หลังจากทักทายเตี๋ยจ้างกับลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเรียบร้อย เฉินผิงอันก็หิ้วม้านั่งตัวเล็กไปนั่งตรงมุมตรอก เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่มีใครมาฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำจากนักเล่านิทาน เด็กหนุ่มเด็กสาวหลายคนที่พอเห็นเงาร่างของคนชุดเขียวก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเลือกที่จะเดินอ้อมผ่านไป
นอกจากเด็กตัวเท่าก้นที่กอดไหเงินคนนั้นซึ่งถูกพ่อแม่กักตัวไว้ที่บ้านแล้ว จางเจียเจินต้องไปทำงานหาเงินที่อื่น ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่กล้ามา
อาจไม่ได้รู้สึกว่าเฉินผิงอันเป็นคนเลวเสมอไป แต่ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็ฆ่าคนตายที่ร้านเหล้า มีเด็กๆ หรือไม่ก็ผู้ปกครองของพวกเขาเห็นเองกับตา
นี่คืออารมณ์ทั่วไปของมนุษย์ เฉินผิงอันไม่ประหลาดใจ ยิ่งไม่ถึงขั้นผิดหวัง นั่งอยู่พักหนึ่ง อาบแสงแดดอันอบอุ่นของช่วงปลายฤดูหนาวพลางแทะเมล็ดแตงไปด้วย จากนั้นก็หิ้วม้านั่งกลับไปที่ร้าน แล้วก็ไม่ได้ช่วยงาน แต่ไปดีดลูกคิดตรวจสอบบัญชีอยู่ที่หลังโต๊ะคิดเงิน เตี๋ยจ้างฉวยโอกาสที่ว่างจากการยกกับแกล้มยกเหล้าไปให้ลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน หลังจากลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “กิจการไม่ได้แย่”
เฉินผิงอันปิดสมุดบัญชีลง แบฝ่ามือลูบลงไปบนลูกคิดเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้น ยิ้มถามว่า “อยากถามข้ามาตลอดใช่ไหมว่า คนผู้นั้นใช่สายของเผ่าปีศาจหรือไม่? ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เจ้าเตี๋ยจ้างที่เป็นสหายของหนิงเหยาและของข้าเฉินผิงอันก็หวังว่าข้าจะบอกคำตอบที่แน่ชัดให้แก่เจ้า?”
เตี๋ยจ้างส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้อยากถามเรื่องนี้ ในใจข้ามีคำตอบอยู่นานแล้ว”
เฉินผิงอันดีดลูกคิดอย่างคล่องแคล่วพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “ฝีมือของทั้งสองฝ่ายต่างกัน หรือไม่อีกฝ่ายก็ใช้แผนการที่ลึกล้ำยาวไกล แพ้แล้ว แต่กลับไม่ยอมแพ้ ปากไม่ยอมแพ้ ในใจก็ยิ่งรู้ดีว่าควรทำอย่างไร สถานการณ์เช่นนี้ข้าเคยแพ้มาก่อน และยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว อีกทั้งยังมีสภาพอนาถมากอีกด้วย แต่พอข้ามาทบทวนดูหลังจบเรื่อง กลับได้ประโยชน์มาไม่น้อย กลัวก็แต่ว่าวิธีการที่เจ้ามองออกได้ในปราดเดียว แต่กระนั้นมันก็ยังสร้างความสะอิดสะเอียนให้เจ้าได้อยู่ดีพวกนั้น อีกฝ่ายไม่ได้คิดเลยว่าได้กำไรกี่มากน้อย แค่คิดอยากจะปั่นหัวเจ้าเล่นก็เท่านั้น”
มีอีกประโยคหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดออกมา เพราะอีกไม่นานใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะลงมือโจมตีกำแพงเมืองอย่างสุดกำลัง ต่อให้ไม่ใช่สงครามครั้งถัดไป ก็คงไม่ห่างไปไกลมากนัก ดังนั้นหมากตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีความสำคัญในนครแห่งนี้จึงสามารถนำมาใช้อย่างสิ้นเปลืองได้แล้ว
และนี่ก็เป็นการเตือนพวกหมากในมุมมืดที่ซ่อนอยู่ในจุดลึกยิ่งกว่าอีกทางหนึ่ง
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปนอกประตู “นี่คือการเตรียมลงมือของคนที่อยู่เบื้องหลัง หากข้าประมาทเลินเล่อ คิดว่าแผนการลับในกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่อยู่ในระดับเดียวกันกับที่ใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นข้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าหากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ แล้วยังจะพาให้คนข้างกายเดือดร้อนไปด้วย คนวางแผนที่หลบอยู่เบื้องหลังคนนั้นกำลังจ่ายยาให้ถูกกับอาการของโรค มองออกว่าข้าไม่ชอบความผิดพลาด จึงจงใจให้ข้าคว้าชัยชนะเล็กๆ ไปทีละก้าว”
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ชัยชนะเล็กๆ? ผังหยวนจี้และฉีโซ่วได้ยินแล้วต้องเต้นผางสถบด่าหยาบคายแน่นอน ไม่พูดถึงฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ต้องไม่มีทางมาดื่มเหล้าอีกแน่ ต่อให้เป็นเหล้าที่ราคาถูกที่สุดก็ไม่ยินดีจะซื้อ”
เฉินผิงอันหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็คือชัยชนะเล็กๆ ครั้งหนึ่ง ผังหยวนจี้และฉีโซ่วรู้ชัดเจนดี เซียนกระบี่ที่ชมศึกก็รู้ คนที่ควรรู้ล้วนรู้หมด เพราะข้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง อีกทั้งข้าไม่ใช่คนในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่แต่กำเนิด คำพูดของคนผู้นั้นก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะจงใจทำให้คนโมโห แต่หลายๆ คำของเขาล้วนพูดตรงประเด็นจริงๆ น่าเสียดายก็แต่ถ้อยคำทั้งหมดไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน จึงยากที่จะเอาชนะข้าได้ ก่อนหน้านี้ที่ข้าต่อสู้กับฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ ก็ชนะเพราะข้ามี ‘เรื่องไม่คาดฝัน’ เยอะ”
เตี๋ยจ้างถอนหายใจ “เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าน่ากลัวมาก”
ก็เหมือนกับคนสองคนที่เล่นหมากล้อมด้วยกัน แล้วอีกฝ่ายเดาออกทุกก้าวว่าอีกคนจะหมากวางตรงไหน แล้วจะให้อีกคนรู้สึกเช่นไร?
เรื่องบางเรื่องเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่แม้แต่พวกเฉินซานชิว เจ้าอ้วนเยี่ยนก็ยังไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เฉินผิงอันเขียนตัวอักษรแล้วให้เตี๋ยจ้างช่วยถือกระดาษให้นั้น ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าวว่าการเฝ้าตอรอกระต่ายของตนในครั้งนี้ อีกฝ่ายต้องเป็นคนหนุ่ม ขอบเขตไม่สูง แต่ต้องเคยไปเยือนสนามรบทางทิศใต้มาแล้วอย่างแน่นอน นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปหลายคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ‘มีความรู้สึกร่วม’ เกิดความเห็นใจ รวมถึงรู้สึกเคียดแค้นราวกับมีศัตรูร่วมกัน ไม่แน่ว่าคนผู้นี้ที่อยู่ในหมู่ชาวบ้านของกำแพงเมืองปราณกระบี่อาจจะเป็น ‘คนธรรมดา’ ที่มีชื่อเสียงดีมากคนหนึ่ง มักจะคอยช่วยเหลือพวกเด็กสตรีและคนชราที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง หลังจากที่คนผู้นั้นตายไป ผู้บงการเบื้องหลังไม่จำเป็นต้องผลักดันอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่อยู่เฉยๆ ก็พอ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เห็นเซียนกระบี่ที่ลาดตระเวนตรวจตรากำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นเซียนกระบี่เกินไปหน่อยแล้ว คำวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชาวบ้านก็จะเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ จากตรอกซอกซอยในหมู่ชาวบ้าน ไปถึงร้านเหล้าเล็กใหญ่ ร้านค้าต่างๆ ค่อยๆ ลามไปถึงจวนตระกูลใหญ่ทีละนิด ดังเข้าหูเซียนกระบี่ใหญ่มากมาย บางคนคงไม่สนใจ บางคนก็จดจำไว้ในใจเงียบๆ แต่ตอนนั้นเฉินผิงอันก็บอกแล้วว่า นี่เป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่สถานการณ์ก็คงไม่เลวร้ายไปยังไง ถึงอย่างไรก็เป็นแค่กระดานหมากเล็กๆ ที่ผู้บงการเบื้องหลังแสดงฝีมือเล็กๆ น้อยๆ กระดานเดียวเท่านั้น
เวลานี้เดิมทีเตี๋ยจ้างยังกังวลว่าเฉินผิงอันจะโกรธ คิดไม่ถึงว่ารอยยิ้มของเฉินผิงอันจะยังคงเดิม อีกทั้งยังไม่ใช่รอยยิ้มที่ฝืนใจ ราวกับว่าประโยคนี้ได้อยู่ในการคาดการณ์ของเขาอยู่แล้ว
นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินผิงอันได้ยินคำพูดทำนองนี้
“สามารถพูดประโยคนี้ต่อหน้าข้าได้ ก็แสดงว่าเห็นข้าเป็นเพื่อนจริงๆ แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คนที่เป็นศัตรูกับข้า ตามหลักแล้วก็ควรจะรู้สึกเช่นนี้”
เตี๋ยจ้างเอ่ย “เจ้าอยู่ข้างกายหนิงเหยา ข้าสบายใจขึ้นมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลังจากศึกใหญ่ทางทิศใต้ครั้งหน้าผ่านไป หากเจ้ายังยินดีเอ่ยประโยคนี้ ข้าก็จะสบายใจไม่น้อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!