ลั่วซานเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “คนชั่วก็ควรต้องถูกคนชั่วเคี่ยวเข็ญ เคี่ยวเข็ญจนพวกเขาเสียใจภายหลังที่ทำชั่ว พูดอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงอะไรจริงๆ นั่นแหละ ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างจะด่าต่งซานเกิงก็ยังได้ ขอแค่ต่งซานเกิงไม่ถือสาก็พอ แต่หากต่งซานเกิงลงมือ แน่นอนว่าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันผู้นั้นกำลังรอให้คนอื่นไปหาเรื่องเขา หากหวงโจวรู้กาลเทศะ ตอนที่เห็นกระดาษแผ่นแรกก็ควรหยุดแต่พอสมควรได้แล้ว จะใช่สายของเผ่าปีศาจหรือไม่ สำคัญนักหรือ? ตัวเองโง่เขลาก็อย่าโทษหากคนอื่นลงมือหนักเกินไป ส่วนเฉินผิงอันผู้นั้น เขาเห็นตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองกระบี่แล้ว? พูดจาโอ้อวดไม่รู้จักละอาย! ศึกใหญ่ทางทิศใต้คราวหน้า ข้าจะให้คนคอยบันทึกขั้นตอนการต่อสู้ของเฉินผิงอันโดยเฉพาะเลยล่ะ”
จู๋อานพูดหน้าเคร่ง “เรื่องแบบนี้เจ้าลั่วซานพูดให้น้อยหน่อยเถอะ”
เซียนกระบี่หญิงลั่วซานพอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคู่สามีภรรยาของจวนหนิงอยู่บ้าง เพราะในอดีตเคยทะเลาะกันมาก่อน
ส่วนคำพูดประโยคนี้ของลั่วซานก็ไม่ถือว่าเป็นการช่วยพูดแทนเฉินผิงอัน อย่างมากสุดก็แค่โบยไม้ใส่ฝ่ายละห้าสิบที (คือการลงโทษอย่างหนึ่งในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นการปฏิบัติเท่าเทียมกันต่อทั้งสองฝ่าย ความหมายคือให้ทั้งสองฝ่ายแบกรับความรับผิดชอบเท่าๆ กัน) เท่านั้น เพียงแต่ว่าไม้ครึ่งหนึ่งนั้นโบยใส่ศพของคนตาย
หวังไจ่มาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เจ็ดแปดปีแล้ว เคยเข้าร่วมศึกใหญ่หนึ่งครั้ง แต่ไม่ได้เข้าร่วมการเข่นฆ่าสักเท่าไร จะรับหน้าที่คล้ายอาจารย์กระบี่ที่ตรวจตรากองทัพ คอยบันทึกผลงานการต่อสู้ในสนามรบมากกว่า ใต้เท้าอิ่นกวานบอกแล้ว ในเมื่อเป็นวิญญูชน ก็แสดงว่าต้องมีวิชาความรู้อยู่เต็มท้อง อีกทั้งเนื้อหนังยังอ่อนนุ่มบอบบางเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปตีรันฟันแทงกับใครเลย ตอนนั้นหวังไจ่โมโหไม่น้อย แต่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับอริยะลัทธิขงจื๊อแล้วก็ยังไร้ผล
ลั่วซานหัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นความเห็นของเซียนกระบี่จู๋อานคืออะไรล่ะ? จะให้เรียกเฉินผิงอันมาถามไหม? เขาคือลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังมีศิษย์พี่ที่วิชากระบี่เลิศล้ำคอยมองอยู่ที่หัวกำแพงเมืองเชียวนะ”
สีหน้าของจู๋อานมืดทะมึน
เพราะตามกฎแล้ว แน่นอนว่าต้องถาม
ทว่าคนหนุ่มผู้นั้นวางตัวได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดก็ล้วนรัดกุมไร้ช่องโหว่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังมีที่พึ่งใหญ่ปานนั้น
หวังไจ่เอ่ย “เหวินเซิ่งไม่ใช่เหวินเซิ่งมานานแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ การกระทำก็ควรจะยิ่งสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ไม่ควรฆ่าคนตามอำเภอใจ ต่อให้อาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่มีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋นมานานแล้วผู้นั้นอยู่ด้วย ข้าก็จะยังพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ หากเซียนกระบี่ทั้งสองท่านไม่สะดวกจะออกหน้า ก็สามารถยกเรื่องนี้ให้ผู้น้อยเป็นคนไปถามเฉินผิงอันได้”
จู๋อานถาม “สถานที่ที่จะสอบถาม คือที่นี่ หรือว่าจวนหนิง?”
หวังไจ่ฟังออกถึงความนัยในคำพูดของเซียนกระบี่ท่านนี้ จึงถอยมาเลือกลำดับรองด้วยการเอ่ยว่า “ข้าสามารถไปเยี่ยมเยือนถึงจวนพวกเขา ไม่ทำให้เฉินผิงอันต้องรู้สึกลำบากใจมากเกินไป”
ลั่วซานกระตุกมุมปาก “แบบนี้ก็ดี ไม่อย่างนั้นข้าก็กลัวว่าเท้าหน้าของเฉินผิงอันเพิ่งจะมาถึงคฤหาสน์ เท้าหลังของเซียนกระบี่ใหญ่จั่วก็ตามมาติดๆ แล้ว”
ผังหยวนจี้ถอนหายใจ เก็บกาเหล้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หวงโจวจะใช่หมากที่เผ่าปีศาจวางไว้หรือไม่ ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปอาจจะยังสับสน แต่พวกเราจะยังไม่รู้อีกหรือ?”
หวังไจ่เอ่ย “ข้าก็แค่ว่าไปตามเนื้อผ้า หวงโจวผู้นี้มีชื่อเสียงที่ดีอยู่ในตรอกต้าอวี่หลิ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ บันทึกการเข่นฆ่าในสนามรบของเขา ข้าได้อ่านมาอย่างละเอียดแล้ว ซึ่งตัวเขาก็คู่ควรกับคำประเมินว่าทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ ขอข้าพูดประโยคไม่น่าฟังสักคำ ผู้ฝึกกระบี่อย่างหวงโจวนี้ แม้ว่าขอบเขตจะไม่สูง สังหารศัตรูไปไม่มาก แต่กลับเป็นรากฐานในการหยัดยืนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แม้แต่จะทำให้พอเป็นพิธีสักนิดก็ยังไม่ทำ ข้าก็กล้าแน่ใจเลยว่า มีแต่จะทำให้ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปหลายคนรู้สึกเสียขวัญกำลังใจ แยกแยะการลงโทษและการให้รางวัลอย่างชัดเจนก็คือกฎเหล็กของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทำไม เป็นลูกศิษย์ของอริยะ เป็นศิษย์น้องของเซียนกระบี่ใหญ่แล้วก็ร้ายกาจมากนักหรือ?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หวังไจ่ที่มีสีหน้าหนักแน่นก็มองไปยังเซียนกระบี่สองท่านอย่างจู๋อานและลั่วซาน เวลานี้บนร่างของวิญญูชนลัทธิขงจื๊อมีพลังอำนาจของคำกล่าวที่ว่าแม้คนนับพันนับหมื่นจะขัดขวาง ข้าก็ยังบุกรุดไปเบื้องหน้าอย่างห้าวหาญอยู่
ใต้เท้าอิ่นกวานลืมตาขึ้น มายืนอยู่ริมขอบของเก้าอี้แล้วโยกตัวไปมาหน้าทีหลังทีเหมือนตุ๊กตาล้มลุก นางไม่คิดจะหันไปมองบัณฑิตผู้นั้นแม้แต่น้อย เพียงพูดอย่างเกียจคร้านว่า “คนอย่างหวงโจวผู้นี้ หากในนครมีหนึ่งหมื่นคน ข้าสังหารไปแค่เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็คงด่าว่าข้าบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว แล้วก็คงต้องลงโทษไม่ให้ข้าดื่มเหล้าไปนานอีกกี่ปีกี่ปีกี่ปี”
หลังจากที่นางเปิดปากพูด
เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านอย่างจู๋อานและลั่วซานต่างก็พากันลุกขึ้นยืน
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด ตั้งท่าเงี่ยหูราวกับรอฟังพระราชโองการอย่างไรอย่างนั้น
ใต้เท้าอิ่นกวานยกมือขึ้นปิดปากที่กำลังหาวหวอด “เพราะสงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นติดๆ กันหลายครั้ง สมองของพวกเจ้าก็เลยกระทบกระเทือนจนใช้การไม่ได้แล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็กินข้าวเยอะๆ ดื่มน้ำมากๆ อย่าเอาแต่ฝึกกระบี่ ฝึกกระบี่แล้วก็ฝึกกระบี่ เพราะง่ายที่จะฝึกจนสมองเสียหาย พวกเจ้ายังถือว่าดี ส่วนคนบางคนที่เรียนหนังสือจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว ข้าคงช่วยไม่ได้หรอก”
สีหน้าของวิญญูชนหวังไจ่เป็นปกติ
ใต้เท้าอิ่นกวานยังคงพยักหน้าพูดอยู่กับตัวเอง “แม้ว่าข้าจะไม่ชอบเฉินผิงอันผู้นั้น แต่เวลานี้พอเอามาเปรียบเทียบดูกลับรู้สึกว่ามองเขาแล้วสบายตาขึ้นมาก เฮ้อ นี่เพราะอะไรกันนะ? เพราะอะไรกันนะ?”
นางชี้ไปที่ลั่วซาน “ไหนเจ้าลองว่ามาสิ”
ลั่วซานยิ้มกล่าว “เพราะคืนนี้พระจันทร์สวย”
ใต้เท้าอิ่นกวานพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
หวังไจ่ยืนนิ่งไม่ขยับ
ใต้เท้าอิ่นกวานรู้สึกนับถือหนังหน้าของพวกบัณฑิตเหล่านี้จริงๆ จึงหันไปขยิบตาให้จู๋อาน ฝ่ายหลังจึงเริ่มหาข้ออ้างพาหวังไจ่ออกไปจากห้องโถงที่ปรึกษางานทันที
และลั่วซานก็พาผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นจากมาด้วย
จึงเหลือแค่อาจารย์และศิษย์สองคน
ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “อาจารย์ สายของหย่าเซิ่งเกลียดชังสายของเหวินเซิ่งขนาดนี้เลยหรือ?”
ใต้เท้าอิ่นกวานกวักมือเรียก ผังหยวนจี้จึงเดินมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ไท่ซือตัวนั้น ผลกลับถูกใต้เท้าอิ่นกวานจับแก้มแล้วบิดเต็มแรง “หยวนจี้ เจ้านี่แหละที่ถือว่าฝึกกระบี่จนหัวสมองเลอะเลือนมากที่สุด!”
ยามอยู่กับอาจารย์สองคน ผังหยวนจี้ก็ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก เขาสลัดหลุดจากมือเล็กๆ ของใต้เท้าอิ่นกวาน นวดคลึงแก้มของตัวเองแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “อาจารย์โปรดไขข้อข้องใจให้ด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!