ฟ่านต้าเช่อที่วันนี้ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ กำลังนั่งเหม่อลอยขณะที่ดื่มเหล้าอยู่ในร้านเหล้า
เฉินซานชิวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร เขาเองก็บาดเจ็บไม่น้อย
ตกลงกันไว้แล้วว่าห้าคนร่วมแรงกันล้อมสังหารเซียนกระบี่น่าหลันเย่สิงในฟ้าดินขนาดเล็กเมล็ดงาซึ่งเป็นลานฝึกวรยุทธ
ผลกลับกลายเป็นว่านอกจากเฉินผิงอันแล้ว เฉินซานชิว เยี่ยนจั๋ว ต่งฮว่าฝู บวกกับฟ่านต้าเช่อที่เป็นตัวถ่วงที่สุดล้วนไม่มีใครมีจุดจบที่ดี ต่างกันแค่ว่าใครบาดเจ็บมาก ใครบาดเจ็บน้อยเท่านั้น
เยี่ยนจั๋วกลับไปฝึกกระบี่ต่อ ต่งถ่านดำก็ไม่รู้ว่าไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหน จากนั้นก็คงจะกินๆ ดื่มๆ ซื้อนั่นซื้อนี่ แต่สรุปแล้วก็คือบัญชีทั้งหมดล้วนลงไว้ในนามเฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วทั้งสิ้น
ฟ่านต้าเช่อเอ่ย “ซานชิว อยู่ดีๆ ข้าก็เริ่มกลัวว่าจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองซะแล้ว กลายเป็นโอสถทองก็จะไม่มีอาจารย์กระบี่คอยปกป้องอยู่ข้างกายอีก”
เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ดีกว่าเจ้าหน่อย มาเกิดในครรภ์ที่ดี แซ่สกุลใหญ่ ในบ้านมีเงินมีคน ต่อให้กลายเป็นโอสถทองแล้วก็ยังมีอาจารย์กระบี่ของตระกูลคอยคุมหลังให้ ดีใจ ดีใจจริงๆ ข้าจะดื่มก่อนล่ะ”
แล้วเฉินซานชิวก็ยกชามเหล้าของตัวเองดื่มไปก่อนหนึ่งอึกจริงๆ
ทุกวันนี้เฉินซานชิวเองก็ค้นพบแล้วว่า ยามพูดคุยกับสหายที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมอย่างฟ่านต้าเช่อ ไม่สู้พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายให้มากเกินไปนัก
ฟ่านต้าเช่อหัวเราะตามไปด้วย ก่อนจะเอ่ยว่า “เฉินผิงอันรับปากว่าศึกใหญ่ครั้งถัดไป ข้าจะติดตามพวกเจ้าออกจากหัวกำแพงเมืองด้วย ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คืออาจารย์กระบี่ของข้าไงล่ะ”
ฝึกกระบี่บนลานประลองยุทธมาหลายครั้งขนาดนี้ ต่อให้ฟ่านต้าเช่อจะโง่แค่ไหนก็ยังพอจะมองความตั้งใจบางอย่างของเฉินผิงอันออก นอกจากจะช่วยขัดเกลาขอบเขตให้ฟ่านต้าเช่อแล้ว ยังต้องการให้ทุกคนร่วมมือกันอย่างคุ้นเคย เพื่อที่ว่าทุกคนจะได้รอดชีวิตท่ามกลางการเข่นฆ่าครั้งถัดไป ขณะเดียวกันก็พยายามสังหารปีศาจให้ได้มากขึ้น
เฉินซานชิวยกชามเหล้าขึ้นมาชนกับฟ่านต้าเช่อเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเจ้าฟ่านต้าเช่อร้ายกาจ ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทำให้เฉินผิงอันกลายมาเป็นองค์รักษ์ของตัวเองได้”
ฟ่านต้าเช่อรินเหล้าอีกชาม เช็ดปากแล้วเอ่ยว่า “พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกเต็มใจอยากจะเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว”
ฟ่านต้าเช่อกดเสียงลงเอ่ยว่า “ตอนนี้เฉินผิงอันเป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตห้าแล้ว อีกทั้งยังมาฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่พอดี เหตุใดตัวเขาเองไม่มาโพนทะนาที่ร้านเหล้าบ้างเลย?”
เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “คาดว่าคงอายเกินกว่าจะป่าวประกาศกระมัง เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตเลย”
ฟ่านต้าเช่อส่ายหน้า “เขามีอะไรให้ต้องอายกัน”
ก่อนหน้านี้มาดื่มเหล้าด้วยกันที่นี่ เฉินผิงอันลุกขึ้นดื่มคารวะลูกค้าทุกคน พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดีว่า เซียนกระบี่ทุกท่าน เหตุใดพวกเจ้ายังไม่ฝ่าทะลุขอบเขตกันเสียที ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก เรื่องแบบนี้มีอะไรให้ต้องเกรงใจกัน ดื่มเหล้าที่ถูกที่สุด กินบะหมี่หยางชุนที่อร่อยที่สุดและผักดองที่ไม่เก็บเงินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว แล้วยังไม่ฝ่าทะลุขอบเขตเสียที นี่ก็เท่ากับว่านั่งยองในห้องส้วมแล้วไม่ยอมขี้เลยนะ พวกเจ้าไม่รู้สึกผิดต่อเหล้า ต่อคำโคลงคู่และคำกลอนของร้านข้าหรือ? หากพวกเจ้าไม่มานะยิ่งกว่านี้ วันหน้าคนโสดที่มาดื่มเหล้าที่นี่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเหมือนกันหมดทุกคน!
ตอนนั้นพวกนักดื่มฟังจนอึ้งงันกันไปหมด รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ดูเหมือนว่าหากจะคิดเป็นจริงเป็นจัง ยกตัวอย่างเช่นพูดกระทบกระเทียบประโยคว่านั่งยองในห้องส้วมแล้วไม่ขี้นั้น คนที่เสียเปรียบกลับจะกลายเป็นตัวเอง
อันที่จริงเรื่องพวกนี้ยังถือว่าดี เรื่องที่ทำให้คนเต้นผางอยากด่ามารดามากที่สุดยังเป็นเรื่องที่เดิมพันกันว่าต่งฮว่าฝูจะควักเงิน พวกนักพนันน้อยใหญ่แทบไม่มีใครที่ชนะการเดิมพันได้ แรกเริ่มทุกคนยังอารมณ์ดีกันอยู่มาก เพราะถึงอย่างไรเถ้าแก่รองกับเจ้าอ้วนน้อยตระกูลเยี่ยนก็ต้องเสียเงินมากมายเป็นเพื่อนพวกเขาเหมือนกัน ภายหลังผังหยวนจี้ที่เป็นคนเดียวซึ่งถือว่าลงเดิมพันชนะมาดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน ดังนั้นทุกคนจึงค่อยๆ เริ่มตระหนักได้ บวกกับที่นึกขึ้นมาได้ว่าตาเฒ่าก่อกำเนิดที่เป็นเจ้ามือก็เป็นคนเดียวกับเจ้าตะพาบที่ก่อนหน้านี้อยู่ดีๆ ก็แต่งบทกวีขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ
เจ้าชาติสุนัข ช่างทำได้อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคยนัก!
ดังนั้นวันนี้เฉินผิงอันจึงไม่ได้ตามเฉินซานชิวและฟ่านต้าเช่อไปดื่มเหล้าที่ร้าน แต่ไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แทน
ระหว่างที่เดินทางไป เฉินผิงอันที่หลังจากแบ่งส่วนแบ่งแล้วก็ยังได้เงินฝนธัญพืชมาหลายเหรียญตั้งใจไว้ว่าจะต้องเปลี่ยนคนที่มาเป็นเจ้ามือในคราวหน้า ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่เถาเหวิน เพราะมองดูแล้วเหมือนเป็นคนซื่อ
ไปถึงหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันไม่ได้บังคับเรือยันต์ให้หยุดลงข้างกายของศิษย์พี่โดยตรง แต่เลือกจะเดินเท้าไปอีกร้อยกว่าลี้
ระหว่างนี้ก็เจอเด็กๆ ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างกลุ่มหนึ่งที่กำลังฝึกกระบี่อยู่กับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง
มองดูการฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ
เฉินผิงอันนั่งลงบนหัวกำแพงเมือง มองดูอยู่ไกลๆ ห่างไปไม่ไกลมีเด็กตัวเท่าก้นเจ็ดแปดคนกำลังโต้เถียงกัน กำลังเถียงกันเรื่องที่ว่าต้องมีหลินจวินปี้กี่คนกันแน่ถึงจะเล่นงานเถ้าแก่รองคนหนึ่งได้พอดี
เด็กที่ขึ้นมาเล่นบนหัวกำแพงเมืองได้ อันที่จริงล้วนไม่ธรรมดา หากไม่รวยก็ต้องเป็นชนชั้นสูง หรือไม่ก็มีคุณสมบัติของการฝึกกระบี่มาตั้งแต่ก่อนกำเนิด
เด็กๆ ที่อยู่ในตรอกอย่างตรอกเหยียนชือ ตรอกหลิงซีจะไม่มีทางมาที่นี่ หนึ่งเพราะตัวนครอยู่ห่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไกลเกินไป เด็กๆ ชาวบ้านธรรมดามีกำลังเท้าไม่มากพอ นอกจากนี้บนหัวกำแพงเมืองก็มีปณิธานกระบี่หนักเกินไป ปราณกระบี่เข้มข้นเกินไป พวกเด็กๆ ร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจแบกรับความทรมานเช่นนี้ได้
นี่ก็คือชีวิตคน คนบางคนเป็นเหมือนปลาได้น้ำมาตั้งแต่เด็ก แต่คนบางคนยิ่งเติบใหญ่กลับเหมือนจมน้ำลึกไม่ก็ตกอยู่ท่ามกลางกองเพลิง
มีเด็กคนหนึ่งหันมาเห็นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงตะโกนขึ้นมาว่า “เถ้าแก่รอง เจ้าลองบอกหน่อยว่าเจ้าสามารถจัดการหลินจวินปี้ห้าคนได้ด้วยฝ่ามือเดียวหรือไม่ หากเจ้าพยักหน้าตอบตกลง วันหน้าเจ้าก็จะกลายเป็นเพื่อนของข้าหยวนจ้าวฮว่าแล้ว!”
เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้ามา เพียงแค่โบกมือบอกเป็นนัยให้เขาไสหัวไป
เด็กน้อยที่ชื่อน่าสนใจไม่น้อยคนนั้นยังไม่ยอมถอดใจ ถามต่ออีกว่า “สามคนล่ะ? สามคนก็น่าจะได้แล้วกระมัง?!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เคยสู้กับเขา ไม่รู้เหมือนกัน”
หยวนจ้าวฮว่าตะโกนว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเขียนจดหมายท้ารบฉบับหนึ่งให้เจ้าดีไหม? บอกว่าเถ้าแก่รองคิดจะใช้ฝ่ามือข้างเดียวท้ารบกับทุกคนซึ่งมีทั้งหลินจวินปี้ เหยียนลวี่และเจี่ยงกวนเฉิงเป็นหนึ่งในนั้น!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พุ่งวูบมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กคนนั้นที่ยืนเอาสองมือเท้าเอว แล้วเขาก็ต้องอึ้งตะลึงไป ที่แท้ก็เป็นเด็กผู้ชายตัวปลอม เขาจึงจับศีรษะของนางแล้วบิด ยกเท้าถีบเข้าที่ก้นของนางเบาๆ “ไปไหนก็ไปเลย เจ้าเขียนหนังสือเป็นหรือ ถึงได้บอกว่าจะเขียนจดหมายท้ารบน่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!