ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันจะตะกละอยากดื่มอะไรจริงๆ เพียงแค่รู้สึกว่าขายเหล้าอยู่ในถิ่นของตัวเอง แต่กลับหาเหล้าดื่มโดยไม่ต้องจ่ายเงินแค่ครึ่งชามก็ยังไม่ได้ ออกจะไม่เข้าท่า นี่ใช่เรื่องของเหล้าครึ่งชามหนึ่งชามหรือ?
ดังนั้นเมื่อเห็นผู้ฝึกกระบี่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสองคนข้างกายตัวเองที่ไม่ว่าจะดื่มเหล้า กินบะหมี่หรือคีบผักก็ล้วนจ้องตนเขม็ง เฉินผิงอันจึงต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจไปไม่น้อยกว่าจะเปลี่ยนพวกเขาจากนักพนันที่แพ้เงินเทพเซียนไปไม่น้อยให้กลายมาเป็นหน้าม้าของตัวเองได้ ค่าตอบแทนจากการขอเหล้าคนอื่นดื่ม ก็คือเฉินผิงอันแอบบอกกับสองฝ่ายว่า ครั้งหน้าจะมีตะพาบคนใดได้มานั่งเป็นเจ้ามือหาเงินไร้สำนึก เขาที่เป็นเถ้าแก่รองสามารถช่วยนำพาให้ทุกคนได้กำไรก้อนใหญ่ไปด้วยกัน ผลคือผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองแย่งกันจะเลี้ยงเหล้าเฉินผิงอัน แล้วยังไม่ใช่ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ราคาถูกที่สุดด้วย สุดท้ายผีขี้เหล้านักพนันชายโสดสองคนยืนกรานว่าจะรวมเงินกันซื้อเหล้ากาละห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะให้ได้ แล้วยังบอกด้วยว่าหากเถ้าแก่รองไม่ดื่มก็เท่ากับไม่เห็นแก่หน้าพวกเขา ดูแคลนสหาย
เฉินผิงอันวางชามและตะเกียบลง รอคอยให้คนอื่นหิ้วเหล้ามาเงียบๆ ด้วยความรู้สึกเปลี่ยวเหงาเล็กน้อย สหายมาก คิดจะไม่ดื่มเหล้าก็ยังยาก
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกำแพง เซียนกระบี่สิบท่านที่แข็งแกร่งที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เด็กผู้ชายตัวปลอมอย่างหยวนจ้าวฮว่าบอกมา อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างจากตัวเลือกในใจของเฉินผิงอันเท่าใดนัก
เซียนกระบี่ใหญ่อาวุโส ต่งซานเกิง อาเหลียง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว น่าหลันเซาเหว่ย เฒ่าหูหนวก ลู่จือ
หากเฉินชิงตูออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง พลังพิฆาตของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ ไม่เคยมีคำกล่าวที่แน่ชัด ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่เพียงแค่ในถ้อยคำและจินตนาการที่เต็มไปด้วยสีสันตระการตาของพวกเด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าเท่านั้น
เรื่องที่ต่งกวานพู่สมคบคิดกับเผ่าปีศาจจึงถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสังหารด้วยมือตัวเอง ทำให้ตระกูลต่งที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียหายไปถึงพลังต้นกำเนิด ตลอดหลายปีมานี้ก็ดูเหมือนว่าต่งซานเกิ่งจะปรากฏตัวน้อยครั้งเช่นกัน คราวก่อนที่มาดื่มเหล้าเลี้ยงส่งหวงถงเซียนกระบี่จากสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ถือว่าเป็นการแหกกฎแล้ว
อาเหลียงไม่ได้อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานมากแล้ว เขาสวมงอบสาน พกดาบไม่ไผ่ ภายหลังหลอกเอาลาตัวหนึ่งและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินลูกหนึ่งไปจากเว่ยจิ้น ต่อมาก็ได้มาเจอกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ข้างกายมีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอยู่ด้วย
ใต้เท้าอิ่นกวาน พลังการต่อสู้สูงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ชัดเจนดีอยู่แล้ว ข้อสงสัยเพียงหนึ่งเดียวก็คือ พลังการต่อสู้สูงสุดของใต้เท้าอิ่นกวานสูงแค่ไหนกันแน่ เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีใครได้เห็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่ว่าจะอยู่ในจวนหนิงหรืออยู่ที่ร้านเหล้า อย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ต่อให้มีลูกค้าพูดถึงใต้เท้าอิ่นกวาน หากเป็นคนละเอียดอ่อนสักหน่อยก็จะค้นพบว่า ดูเหมือนใต้เท้าอิ่นกวานจะเป็นเซียนกระบี่ที่ไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินซีคือเจ้าประมุขสกุลเฉินคนปัจจุบัน แต่เมื่ออยู่กับผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ เขากลับไม่เคยได้เงยหน้า ต่อให้อักษรเฉินตัวนั้นจะเป็นเฉินซีที่เป็นคนแกะสลักลงไป แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินชิงตู เขาก็ยังเป็นเหมือนเด็กที่ไม่โตอยู่ดี ดังนั้นท่ามกลางชนชั้นสูงแซ่ใหญ่ทั้งหมดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลูกหลานของสกุลเฉินจึงเป็นกลุ่มคนที่ไม่ชอบไปเยือนหัวกำแพงเมืองมากที่สุด
ฉีถิงจี้คือเซียนกระบี่ ‘หนุ่ม’ หน้าตาหล่อเหลาที่เฉินผิงอันเคยพบเมื่อครั้งฝึกหมัดอยู่บนหัวกำแพงตอนที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งแรก เขาก็คือเจ้าประมุขตระกูลฉี
จั่วโย่ว ศิษย์พี่ใหญ่ของตน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก
น่าหลันเซาเหว่ยปิดด่านมานานมากแล้ว น่าหลันคือแซ่ใหญ่อันดับหนึ่งในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ว่าน่าหลันเซาเหว่ยไม่ได้ปรากฏตัวมานานเกินไป จึงทำให้ตระกูลน่าหลันค่อนข้างจะเงียบหายไปจากวงสังคม ส่วนน่าหลันเย่สิงจะใช่คนของตระกูลน่าหลันหรือไม่ เฉินผิงอันไม่เคยถามมาก่อน แล้วก็ไม่คิดจะจงใจไปสืบเสาะด้วย
คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ข้อสงสัยมีมากมาย แต่ก็จะต้องมีอยู่ไม่กี่คนไม่กี่เรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอย่างที่ในใจคิดไว้
ผู้เฒ่าหูหนวกก็คือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่เล่าลือกันว่ามีชาติกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจ คอยดูแลคุกที่ขังปีศาจใหญ่ไว้หลายตน
ลู่จือ ทุกวันนี้ผู้คนหลงลืมสถานะผู้ฝึกตนอิสระจากใต้หล้าไพศาลของนางไปแล้ว ขอบเขตโอสถทอง เมื่อมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ฝ่าทะลุขอบเขตไปทีละก้าว ผลการศึกเหี้ยมหาญน่ายำเกรง
ทุกครั้งที่มีการเฝ้าเมือง ก็จะต้องมีศึกตาย
อาเหลียงเคยมาดื่มเหล้าร่วมกับนาง พูดประโยคที่น่าสนใจประโยคหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าแพร่สะพัดไปได้อย่างไร ครั้งนั้นคนทั้งสองก็แค่ดื่มเหล้าร่วมกันเท่านั้น
‘ผู้ที่แยกตัวออกจากฝูง หากไม่ใช่สัตว์ป่าก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์’
คนที่ต่งปู้เต๋อกับเตี๋ยจ้างเลื่อมใสที่สุดก็คือลู่จือ
ยามที่อาเหลียงดื่มเหล้า เขาตบโต๊ะด่าอย่างเดือดดาลท่าทางน่าเชื่อถือ บอกไม่รู้ว่าเป็นเซียนกระบี่คนไหนที่หน้าด้านเกินไปแล้ว ถึงขนาดแอบฟังข้ากับลู่จือคุยกัน! คำพูดส่วนตัวที่แอบกระซิบพูดคุยกับสตรีเช่นนี้ เอามากระจายเป็นข่าวลือตามใจชอบได้หรือ? ต่อให้ประโยคนี้จะมีความรู้อย่างยิ่ง ชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง มีมาดองอาจอย่างยิ่ง แต่แล้วจะอย่างไรล่ะ ได้รับคำอนุญาตจากเขาอาเหลียงและแม่นางลู่แล้วหรือยัง?
เฉินผิงอันดื่มเหล้าที่ไม่ต้องจ่ายเงินแล้วก็รู้สึกว่าตนเองอายุน้อยๆ แต่สามารถอยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดในใจของหยวนจ้าวฮว่าได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
มีผีขี้เหล้าคนหนึ่งถามชวนคุยขึ้นมาว่า “เถ้าแก่รอง ได้ยินมาว่าเจ้ามีเพื่อนเป็นเซียนกระบี่จากอุตรกุรุทวีปอยู่คนหนึ่ง มีความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารไม่น้อย ความสามารถในการดื่มเหล้าก็ยิ่งร้ายกาจหรือ?”
เฉินผิงอันยื่นมือมานวดคลึงปลายคาง ใคร่ครวญอย่างจริงจังแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเจ้ารวมกันแล้วยังสู้เขาไม่ได้เลยกระมัง”
แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครเชื่อ
ท่ามกลางเสียงอึกทึกดังจอแจ จางเจียเจินมองอาจารย์เฉินที่มีสีหน้าเหม่อลอย
ดูเหมือนว่าตอนนี้อาจารย์เฉินจะอยากดื่มเหล้ากับคนผู้นั้นกระมัง?
เฉินผิงอันพลันคลี่ยิ้ม หันหน้าไปมองถนนเส้นเล็กแล้วจินตนาการถึงภาพภาพหนึ่ง
ฉีจิ่งหลงเดินเคียงไหล่กับเฉาฉิงหล่าง
เฉินผิงอันกระดกเหล้าถ้วยหนึ่งดื่มอย่างเต็มคราบ หยิบตะเกียบถ้วยและกาเหล้าขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วพูดเสียงก้องกังวานว่า “เซียนกระบี่ทุกท่าน ค่าเหล้าในวันนี้!”
ลูกค้าทุกคนเงียบเสียงลงในชั่วพริบตา
ทำไม วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เถ้าแก่รองจะเลี้ยงเหล้าอย่างนั้นหรือ?!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!