กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 597

เจ้าของเรือนชุนฟานปรากฏตัวมารับรองฉีจิ่งหลงด้วยตัวเองอย่างที่หาได้ยาก

หลูสุ้ยช่วยชงชาให้เซียนกระบี่สองท่านที่อายุต่างกันมากอยู่ด้านข้าง เด็กหนุ่มป๋ายโส่วรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าเหตุใด ป๋ายโส่วไม่ค่อยมีความเคารพยำเกรงต่อสำนักกระบี่ไท่ฮุยมากนัก กับคนแซ่หลิวเขาก็ยิ่งไม่เกรงกลัว แต่คราวก่อนหลังจากที่ได้พบกับหวงถงเซียนกระบี่ผู้เป็นบรรพจารย์คุมกฎ ป๋ายโส่วกลับเริ่มตระหนกลนขึ้นมา

อันที่จริงเดินทางไกลมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ ต้องไปพบเจ้าสำนักอย่างหานไหวจื่อ นี่ทำให้ป๋ายโส่วยิ่งกลัวมากกว่าเดิม

เวลานี้ได้พบกับเส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟานที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับอาจารย์ตัวเอง ป๋ายโส่วก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน

ถึงอย่างไรก็เป็นเซียนกระบี่ในตำนานเชียวนะ

คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่สามารถยืนอยู่บนยอดเขาของอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆได้

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดอาจารย์ตนก็เป็นเซียนกระบี่เหมือนกัน แต่อยู่ด้วยกันทุกวัน เรียกอีกฝ่ายคนแซ่หลิวคำแล้วคำเล่า ป๋ายโส่วกลับเรียกได้อย่างคล่องปาก ไม่เคยตระหนกตกใจเช่นนี้มาก่อน เด็กหนุ่มกลับไม่เคยคิดให้ลึกซึ้ง

เพียงแต่พอมองอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้า ตอนที่เขาอยู่กับผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ ของเกาะกุ้ยฮวาอย่างจินซู่เป็นอย่างไร ยามมาอยู่ต่อหน้าเซียนกระบี่เจ้าของเรือนชุนฟานก็ดูเหมือนว่าจะยังคงเป็นอย่างนั้น

มือทั้งสองรับชาถ้วยหนึ่งมาจากมือของหลูสุ้ยด้วยรอยยิ้ม ป๋ายโส่วก้มหน้าดื่มชา จิตใจก็ค่อยๆ สงบลง

ฉีจิ่งหลงพูดถึงการจองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มพยักหน้าตอบตกลง แล้วยังตั้งราคาที่เป็นธรรมอย่างยิ่งด้วย

ฉีจิ่งหลงเอ่ยขอบคุณ

ป๋ายโส่วได้ยินตัวเลขก่อนจะตามมาด้วยคำว่าเงินฝนธัญพืช หน้าผากก็มีเหงื่อผุดออกมาแล้ว

เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ยว่า “นอกจากเป็นการค้าขายกันครั้งหนึ่งแล้ว สำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ไม่ถือว่าติดหนี้บุญคุณใดๆ เพียงแต่สหายฉีกลับติดค้างน้ำใจข้าครั้งหนึ่ง บอกตามตรงว่า สมมติน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สิบสี่ลูก สุดท้ายสามารถหลอมเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้สำเร็จเจ็ดลูก ภายในเวลาพันปีนี้ล้วนมีการจองไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้มีคนหนึ่งที่ไม่สามารถซื้อได้ตามสัญญา สหายฉีถึงมีโอกาสได้เปิดปาก แล้วข้าถึงได้กล้าพยักหน้าตอบตกลง ภายในหนึ่งพันปี การคืนน้ำใจก็แค่ต้องออกกระบี่หนึ่งครั้ง อีกทั้งสหายฉีก็สามารถวางใจได้ว่า การออกกระบี่ของเจ้าย่อมต้องเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล จะไม่ทำให้สหายฉีต้องลำบากใจเด็ดขาด”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ตกลง”

จากนั้นฉีจิ่งหลงก็เอ่ยอย่างลังเลว่า “หากมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เกินเจ็ดลูก ข้าสามารถจองอีกลูกได้หรือไม่?”

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “คงได้แต่มอบให้ผู้ที่ให้ราคาสูงที่สุดแล้ว ข้าเชื่อว่าคงยากที่สหายฉีจะสมใจปรารถนา”

ยังมีความจริงบางอย่างที่เส้าอวิ๋นเหยียนไม่ได้เอ่ยออกมาตามตรง ต่อให้มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เพิ่มอีกลูกให้ได้จองกันจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าใครจะซื้อไปก็ได้ การที่ฉีจิ่งหลงได้จองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ เหตุผลมีอยู่สามข้อ เรือนชุนฟานและเขาเส้าอวิ๋นเหยียนต่างก็เห็นดีในผลสำเร็จในอนาคตของฉีจิ่งหลงที่ทุกวันนี้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว ข้อที่สอง มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่สุดว่าฉีจิ่งหลงจะได้เป็นเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยคนถัดไป ข้อสาม เส้าอวิ๋นเหยียนเองก็มีชาติกำเนิดมาจากอุตรกุรุทวีป นี่ก็ถือเป็นสัมพันธ์ควันธูปที่จะมีหรือไม่มีก็ได้อย่างหนึ่ง

การที่เขาไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ให้มากความก็เป็นเพราะในใจของเจียวหลงบนบกที่อายุน้อยผู้นี้ย่อมเข้าใจดี

ฉีจิ่งหลงกล่าว “เป็นผู้น้อยที่คิดมากไปจริงๆ”

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “ได้พึ่งใบบุญของสหายฉี ข้าถึงได้ดื่มชาฝีมือแม่หนูหลู”

หลูสุ้ยคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เจ้าสำนักภูเขาสุ่ยจิงให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด

และคนผู้เดียวที่เส้าอวิ๋นเหยียนติดค้างในชีวิตนี้ ก็คืออาจารย์ของหลูสุ้ย

ปีนั้นเถาวัลย์น้ำเต้าสมบัติล้ำค่าก่อนกำเนิดต้นที่อยู่ในเรือนชุนฟาน เป็นคนทั้งสองที่ได้มาครอบครองพร้อมกันด้วยวาสนาที่ประจวบเหมาะ ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่านางเป็นคนออกแรงมากกว่า แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลนานาประการ คนทั้งสองกลับไม่อาจเดินไปด้วยกัน กลายเป็นคู่รักเทพเซียนได้ สำหรับเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้วเถาวัลย์น้ำเต้าต้องตกเป็นของใคร นางไม่เคยเปลี่ยนความคิดมาก่อน ยิ่งนางเป็นเช่นนี้ เส้าอวิ๋นเหยียนก็ยิ่งไม่สบายใจ เป็นเหตุให้เส้าอวิ๋นเหยียนที่ไร้บุตรหลานมองหลูสุ้ยลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของนางเป็นดั่งบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเอง นอกจากนี้หลูสุ้ยที่รักมั่นในตัวฉีจิ่งหลง ไยจะไม่เหมือนกับเส้าอวิ๋นเหยียนและอาจารย์ของหลูสุ้ยในปีนั้นเล่า?

ป๋ายโส่วรู้สึกอึดอัดนิดๆ เหตุใดเซียนกระบี่เส้าผู้นี้ถึงได้ไม่ต่างจากเฉินผิงอันสักเท่าไรเลย คนหนึ่งเรียกฉีจิ่งหลง คนหนึ่งเรียกสหายฉี

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ป๋ายโส่วเคยได้ยินข่าวลือเล็กๆ บางอย่างมาจากยอดเขาเพียนหราน ดูเหมือนว่าแรกเริ่มสุด แซ่เดิมของคนแซ่หลิวตอนอยู่ล่างภูเขาคือแซ่ฉี ภายหลังขึ้นมาฝึกตนบนภูเขา ได้รับการบันทึกชื่อไว้ในศาลบรรพจารย์ แต่กลับเขียนเป็นชื่อหลิวจิ่งหลง

เส้าอวิ๋นเหยียนดื่มชาไปแล้ว พูดคุยเรื่องน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยแล้วก็รีบขอตัวลาจากไป

หลูสุ้ยยังคงอยู่ต่อเพื่อต้มชาให้

ป๋ายโส่วมองฝีมือการชงชาของพี่สาวเทพเซียนคนนี้แล้วก็ให้รู้สึกสบายตาสบายใจนัก

หลูสุ้ยยิ้มบางๆ ถามว่า “จิ่งหลง มองเรื่องวงในบางอย่างของภูเขาห้อยหัวออกหรือไม่?”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “สถานที่ท่องเที่ยวแปดแห่งซึ่งมีศาลาจัวฟ่าง เรือนซือเตาเป็นหนึ่งในนั้น คือตาค่ายกลแปดจุดของค่ายกลใหญ่ ภูเขาห้อยหัวไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นตราประทับตัวอักษรภูเขาเท่านั้น แต่เป็นอาวุธเซียนที่ผ่านการหล่อหลอมชั้นแล้วชั้นเล่าจนได้ทั้งโจมตีและป้องกันมานานมากแล้ว ส่วนต้นกำเนิดของค่ายกลก็น่าจะมาจากหนึ่งในสามอาคมใหญ่ที่เก่าแก่ซึ่งท่านซานซานจิ่วโหวทิ้งเอาไว้ ความลี้ลับที่ใหญ่ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าใช้ภูเขามาหลอมน้ำ พลิกกลับจักรวาล หากเรียกออกมาก็จะเป็นวิชาอภินิหารที่สามารถพลิกตลบฟ้าดินได้”

หลูสุ้ยมีสีหน้าสดใส ต่อให้นางจะแค่มองคนแซ่หลิวแค่แวบเดียวแล้วก็ก้มหน้าจ้องไฟในเตาต่อ แต่กระนั้นก็ยังยากจะปิดบังความคิดของสตรีที่วกวนร้อยพันตลบของนางเอาไว้ได้

ทว่าความคิดของฉีจิ่งหลงกลับจมจ่อมอยู่กับค่ายกลใหญ่ของภูเขาห้อยหัว

ป๋ายโส่วที่มองดูอยู่นึกอยากจะทุบหัวทึ่มๆ ของคนแซ่หลิวยิ่งนัก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!